ตั้งแต่ประธานคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง ฉันก็หัวหมุนไม่เว้นวัน งานที่ทำหนักขึ้นเป็นสองเท่า ส่งผลให้ตอนนี้เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว แต่ฉันยังไม่ก้าวขาออกจากบริษัทเลย
“เอ้า! คุณอลิสา ยังไม่กลับอีกเหรอครับเนี่ย”
ยามที่ขึ้นมาชั้นบนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันไปเปิดไฟให้สว่างวาบ หลังจากที่เพิ่งกดปิดเพราะนึกว่าไม่มีคนอยู่
“กำลังจะกลับแล้วค่ะ”
ฉันเร่งรีบปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเก็บของใช้ส่วนตัวเข้ากระเป๋าสะพายสีดำใบเล็ก ใบใหญ่ก็ใช้สะดวกอยู่แล้ว ไม่น่าหยิบใบเล็กให้มันหรูหราเข้ากับลุคเลย
“โห ตั้งแต่เปลี่ยนประธานมานี่งานหนักเหรอครับ”
“สุด ๆ เลยค่ะ ไปก่อนนะคะ”
ว่าแล้วก็วิ่งตัวปลิวผ่านหน้าพี่ยามออกมาอย่างลนลาน ก่อนจะตรงไปที่ชั้นจอดรถที่มีเพียงรถเก๋งสีขาวจอดอยู่คันเดียว หลังจากที่ยัดตัวเองเข้ารถเสร็จ ฉันก็เหยียบคันเร่งออกมาทันที แต่ยังไม่ทันไปถึงไหนก็ต้องรีบเบรก เพราะรู้สึกถึงความผิดปกติของล้อรถ
“อย่าบอกนะ...”
ฉันเปิดประตูแล้วเดินออกมาดูล้อรถด้านหน้าด้วยใจที่ห่อเหี่ยว มันแบนได้ยังไงเนี่ย แบนตั้งแต่ตอนไหน
“อะไรมันจะซวยขนาดนี้เนี่ย”
มือเล็กขยำกำเส้นผมตัวเองแล้วยีแรง ๆ ไล่ความหงุดหงิด ถ้าไม่ใช่วันนี้ ก็ไม่รู้จะหาวันไหนเหมาะได้มากเท่านี้อีกแล้ว
ฉันยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาอีกรอบ พบว่าตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว คุณเหมันต์อาจจะกลับไปแล้ว หรือไม่ก็กำลังจะกลับ ฉันควรถอดใจ หรือเดินหน้าดี
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งฉันก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อ ยังไงร้านอาหารญี่ปุ่นนั่นก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของฉันนัก ถ้าไปทันก็คงเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ แล้วละ
เมื่อตัดสินใจได้ฉันก็ไม่รีรอ รีบออกมาที่ถนนใหญ่แล้วกวักแท็กซี่ที่ผ่านไปมา โชคดีที่วันนี้ได้รถไว ขอให้ไปถึงแล้วพบเจอคุณเหมันต์ทีเถอะ สาธุ!
“ขับเร็ว ๆ เลยพี่”
ฉันเร่งเร้าคนขับ พลางชะเง้อคอมองถนน พี่คนขับก็ใจดี จัดให้ตามคำสั่งจนแผ่นหลังฉันแทบติดไปกับเบาะ รอไม่นานก็ใกล้ถึงที่หมายแล้ว
จริงสิ! ฉันควรเติมหน้าหรือเปล่า
นึกขึ้นได้ก็ล้วงมือเข้ากระเป๋า หยิบแป้งพัฟขึ้นมาโปะหน้า ตามด้วยลิปสติกสีแดงแท่งสวยที่เพิ่งถอยมาเมื่อวานสด ๆ ร้อน ๆ แต่ในจังหวะที่กำลังบรรจงทาลิปสติกอยู่นั้น จู่ ๆ พี่คนขับก็เหยียบเบรกกะทันหันจนหน้าคว่ำ คะมำไปด้านหน้า และที่ทำให้ฉันแทบน้ำตาไหล คงเป็นลิปสติกที่หักอย่างน่าเวทนา ซ้ำร้าย ก่อนที่มันจะหักนั้นได้แฉลบถูริมฝีปากลากไปถึงแก้มจนเป็นทางยาว โอ๊ยยย ซวยซ้ำซวยซ้อนจริง ๆ
“ถึงแล้วหนู พี่รีบบินมาให้เลย อู้ยย!”
ทันทีที่คนขับหันมาและพบว่าหน้าฉันถูกขีดไปด้วยลิปสติกจนถึงแก้มก็สะดุ้ง ก่อนจะขำแห้งส่งให้
“เท่าไหร่คะพี่”
“220 น้อง”
“โห! ทำไมมันแพงจังอะ”
ฉันไม่ได้ขึ้นรถแท็กซี่ตั้งนาน นี่ราคามันบานปลายถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
“ค่าเร่งด้วยไง นี่บินมาให้เลยนะ”
ฉันก้มลงหยิบเงินด้วยท่าทางอิดออด รู้สึกเซ็งขั้นสุด อยู่ ๆ ก็ได้เสียเงินเยอะโดยใช่เหตุ แถมยังต้องมาเสียลิปสติกราคาเกือบ 600 ไปฟรี ๆ อีก ยังใช้ไม่ถึงสามครั้งเลย โคตรเสียดาย
ในขณะที่กำลังรอเงินทอนจากพี่คนขับ สายตาก็เหลือบไปเห็นคุณเหมันต์เดินออกมาจากร้านอาหาร ตอนแรกนึกว่าจะมาไม่ทันแล้ว กะว่าจะแวะซื้ออาหารญี่ปุ่นไปฝากแม่สักหน่อย แต่พอเห็นแบบนี้ ฉันก็ลนลานขึ้นมาอีกรอบ
“พี่ ๆ ๆ มีแมสก์ไหม”
“มี ๆ เดี๋ยวหาก่อน”
อีกฝ่ายเปิดลิ้นชักหน้ารถแล้วรื้อดูข้าวของที่อัดแน่น ฉันก็ยิ่งอยู่ไม่สุขเพราะตอนนี้คุณเหมันต์ส่งคุณเฑียร์ขึ้นรถแล้ว และเขากำลังจะเดินกลับรถของตัวเอง
“อะ นี่ไง เจอแล้ว”
“ขอบคุณพี่ ไม่ต้องทอนนะ”
ฉันคว้าแมสก์ขึ้นมาสวมก่อนจะตัวปลิวออกมาจากรถ พี่คนขับก็ตะโกนขอบคุณไล่หลังยกใหญ่ ดีจังเลยนะ ได้ทั้งค่าเร่งเวลา ได้ตั้งทิป รวมแล้วสามร้อยบาทถ้วน!
“อ้าวว บังเอิญจังเลยนะคะคุณเหมันต์ แฮก ๆ”
ฉันวิ่งหน้าตั้งเข้าไปทักทายคนร่างสูงโปร่งพร้อมกับหายใจเหนื่อยหอบ เขาเองก็ดูงุนงงไปเล็กน้อย ที่เห็นฉันอยู่ที่นี่
“คุณเหมันต์มาทำอะไรแถวนี้เหรอคะ”
ฉันแสร้งถามออกไป ทั้งที่รู้ความจริงอยู่เต็มอก
“มากินข้าวกับคุณเฑียร์น่ะ แล้วเธอล่ะ”
“เอ่อ...”
ฉันเริ่มกลอกตาล่อกแล่ก ก่อนจะเหลือบไปเห็นคลินิกอยู่ด้านหลังเขาพอดี
“อ๋ออ มาหาหมอค่ะ แคก ๆ”
พูดพร้อมกับแสร้งไอเบา ๆ สอดคล้องกับที่ฉันสวมแมสก์อยู่พอดี อีกฝ่ายหันหลังกลับไปจ้องที่คลินิกครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาถามฉันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เป็นอะไร ทำไมได้มารักษาคลินิกสัตว์”
“...”
ว่าไงนะ?
ฉันชะเง้อคอมองป้ายอีกรอบ และแทบจะแทรกแผ่นดินหนีเลยเดี๋ยวนี้ เพราะมันดันเป็นคลินิกรักษาสัตว์อย่างที่เขาพูดจริง ๆ
“เอ่อ... แมวค่ะ แมวไม่สบาย น่าจะติดหวัดมาจากฉันอีกที แต่ตอนนี้ถึงมือหมอแล้ว หมอเขาอยากให้นอนดูอาการที่นี่สักคืนก่อนน่ะค่ะ”
“เธอก็รีบรักษาตัวเองให้หาย ใกล้จะถึงวันประมูลแล้ว ช่วงนั้นคงได้ใช้ร่างกายหนัก”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันอึดทนมาก รับประกันได้”
ฉันยิ้มกว้างจนตาหยี ให้อีกฝ่ายรู้ว่าฉันกำลังยิ้มอยู่เพราะตอนนี้กำลังสวมแมสก์เอาไว้บนใบหน้า
“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม งั้นฉันกลับละ”
“ดะ เดี๋ยวก่อนค่ะ”
อุตส่าห์สร้างความบังเอิญแล้ว ฉันไม่ยอมเสียค่าลิปสติกและค่าแท็กซี่ฟรี ๆ หรอกนะ มันต้องได้อะไรคุ้มค่ามากกว่าออกมาเจอกันโดยบังเอิญเฉย ๆ
“รถฉันยางแบนน่ะค่ะ เลยนั่งแท็กซี่มา แต่ขาจะกลับยืนเรียกอยู่นานแล้วก็ไม่มีคันไหนจอดเลย คุณเหมันต์จะกลับบ้านใช่ไหมคะ มันเป็นทางผ่านบ้านฉันพอดีเลย แหะ ๆ”
“ก็เลยจะขอติดรถกลับ?”
“ค่ะ”
ฉันพยักหน้าหงึกหงักพลางส่งสายตาเว้าวอน เห็นได้ชัดว่าเขาลำบากใจ แต่พอหันซ้ายแลขวา พบว่าแถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยว เลยยอมให้ฉันขึ้นรถอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อืม ก็ได้”
เยส! สำเร็จแล้วหนึ่ง ที่แท้สวรรค์ก็กลั่นแกล้งเพื่อจะสร้างโอกาสให้ฉันนี่เอง ขอบคุณนะคะ จะใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าที่สุดเลยย