4
ผู้หญิงในความทรงจำ
ทั้งที่ท้องร้องจ๊อกๆ แต่สองพี่น้องกลับทานได้เพียงไม่กี่คำ ด้วยเกิดเกร็งต่อสถานที่แปลกใหม่ และโดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่แวดล้อมรอบตนอยู่หลายคน ปกป้องและปิงปิงทานข้าวเสร็จก็มานั่งไหล่ชิดกันที่ห้องรับแขก เมรินทร์ภรรยาของปรมัตถ์ที่อุ้มท้องเข้าเดือนที่หกก็นั่งอยู่ข้างๆ เด็กแฝด
“อาคุยกับคุณยายเดือนแล้วนะครับ ตอนนี้แม่ปรายน่าจะกำลังรอขึ้นเครื่อง” เด่นภูมิกลับเข้ามาในห้องรับแขกหลังหายออกไปคุยโทรศัพท์
“โทร.หาแม่ได้ไหม” ปกป้องถามขึ้นอย่างแอบเกร็ง ท่ามกลางคนหมู่มากและแปลกหน้าตนก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน
“ได้สิครับ” เด่นภูมิกำลังจะยื่นโทรศัพท์ให้ แต่ช้ากว่าปราบต์ที่วางมือถือของตัวเองตรงหน้าปกป้อง พร้อมเปิดหน้าการโทรเรียบร้อยเหลือเพียงกรอกหมายเลขสิบหลักเท่านั้น
“ใช้ได้เลยครับ กดหมายเลขของแม่หนูเลย จำได้ไหมครับ”
“จำได้” ปกป้องตอบอย่างมีมาด ปราบต์ไม่ได้รู้สึกไปเองว่าเด็กชายกำลังสร้างกำแพงกันเขาไว้ ส่วนเด็กหญิงจากดูตื่นเต้นร่าเริงตอนเจอกันครั้งแรก ก็ทำเพียงเหล่มองเขาราวกับกลัวโดนดุ ทั้งยังหลบหน้าอยู่หลังพี่ชาย
นี่เขาดูน่ากลัวจนเด็กไม่อยากเข้าใกล้เลยเหรอ
ปกป้องกรอกหมายเลขมือถือของแม่ปรายพร้อมกดปุ่มโทร.ออก แต่ครั้นจะยกแนบหู ปราบต์ก็ส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามแล้วกดสปีกเกอร์โฟนแทน ในระหว่างรอสายเจ้าน้องชายของปราบต์ก็เอียงหน้ากระซิบกระซาบกัน
“นี่เป็นการขอเบอร์สาวแบบเนียนๆ ปะเฮีย”
“กูว่าใช่ เฮียคงอยากได้เบอร์แม่ของลูก แต่จะขอจากฉันก็คงกลัวเสียฟอร์ม” เด่นภูมิกับปรมัตถ์พากันหัวเราะ ก่อนหุบปากเงียบกริบเมื่อดวงตาขวางของพี่ชายปรายขึ้นมอง แม้ปราบต์ไม่ได้ยินถนัดถนี่แต่เดาว่าไม่พ้นคงโดนนินทา
“สวัสดีค่ะ” หลังรอสัญญาณอยู่นานน้ำเสียงที่สองแฝดคุ้นเคยก็ดังขึ้น
“แม่ฮะนี่ปกป้องเองนะ”
“พี่ปก! หนูอยู่ไหนคะ น้องอยู่ด้วยไหม โอเคกันไหม เป็นอะไรหรือเปล่า” ปลายสายรัวคำถามร้อนรนหลังได้ยินเสียงลูก
“พวกเราไม่เป็นไรครับ ส่วนปิงปิงก็อยู่ตรงนี้”
“แม่ขาขอโทษค่ะ” น้ำเสียงเฉาเอ่ยขึ้นพลางแนบหน้ากับท่อนแขนพี่ชาย
“ขอโทษแบบนี้แปลว่าพวกหนูก็รู้ดีใช่ไหมว่าแม่ไม่พอใจ กลับมาคงต้องกักบริเวณซะหน่อย และไม่ให้เล่นบ้านต้นไม้ไปอีกสามเดือน”
“สามเดือนเลยเหรอครับ” ปกป้องอยากต่อรองขอเหลือสามวันได้ไหม แต่ตระหนักดีว่าน้ำเสียงของแม่ในตอนนี้ไม่อยู่ในภาวะเจรจาได้
“ไม่ต้องทำเสียงเศร้าเลยค่ะ ปกป้องอยู่กับใครเหรอตอนนี้ คุณปลื้มอยู่ไหม”
“อยู่ครับคุณปรายฟ้า” เด่นภูมิชะโงกหน้าพลางตะโกนเข้าไป “ผมขอโทษนะครับที่ทำแบบนี้”
“สิ่งที่คุณทำปรายขอแจ้งความลักพาตัวได้ไหมคะ แต่เอาเถอะค่ะเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้ปรายกำลังจะขึ้นเครื่อง ฝากดูแลเด็กทั้งสองคนด้วยนะคะ”
“ได้ครับ”
“ปกป้อง ปิงปิง แม่กำลังจะไปนะคะ อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกัน แค่นี้นะคะแม่อยู่บนเครื่องแล้ว”
สายถูกตัดไปหลังสองแฝดพร้อมใจกันขานรับ ปราบต์เก็บโทรศัพท์คืนและยืนค้ำศีรษะลูกประหนึ่งกำลังคุมความประพฤติ เช่นเดียวกับเด่นภูมิและปรมัตถ์ที่พิงไหล่อยู่ข้างกัน
“ไม่น่ามาเลย บอกแล้วว่าแม่จะโกรธ” ปกป้องหันไปต่อว่าน้องสาวที่ผละซีกแก้มจากท่อนแขนพี่ชาย “ทำไมต้องอยากเจอคนที่เขาไม่ได้ต้องการเราด้วย”
ปกป้องว่าให้น้องโดยไม่เงยมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของตน ปราบต์เหมือนโดนมีดกรีดกลางใจจนเหวอะหวะ คนเป็นพี่มีความเป็นผู้นำสูง ฉลาดคิดและชัดเจนในอารมณ์จนไม่อยากเชื่อว่านี่คือเด็กเจ็ดขวบ
“ขอโทษอะ ฮือๆ”
ปิงปิงระเบิดเสียงร้องไห้ เธอเก็บอาการตั้งแต่แม่แสดงความโกรธผ่านปลายสาย กระทั่งมาโดนพี่ชายดุจนนำสู่การไร้ความสามารถห้ามน้ำตา ณ ตรงนี้ไม่มีใครให้เธออุ่นใจเลย มีก็แต่พี่ชายที่คล้ายว่าก็ไม่เอาเธอแล้ว
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะลูก ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวคุณแม่ก็มานะคะ” เมรินทร์กอดปลอบเด็กหญิงที่สะอึกสะอื้นร้องไห้ ปกป้องรู้สึกผิดจึงเขยิบกลับไปหาฝาแฝดพลางลูบแผ่นหลังน้องพร้อมกระซิบข้างหูว่าขอโทษ
ปราบต์ได้แต่นิ่งมองอย่างคนที่จนปัญญาจะทำอะไร แม้แต่คำปลอบใจง่ายๆ ก็เอ่ยออกไปไม่เป็น เขาอยากพูดอะไรสักหน่อยกับลูก แต่ราวกับตอนนี้สมองกำลังเปิดพจนานุกรมหาคำปลอบใจที่ดีที่สุดอยู่
“พี่ปราบต์คะพาน้องไปพักที่ห้องรับรองข้างบนก่อนดีไหมคะ” เมรินทร์เห็นว่าพวกเขาอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดของผู้ใหญ่นานไปแล้ว จนเกิดเกร็งและรับมือความรู้สึกไม่ไหว
“ก็ดีครับ รบกวนเอพริลพาไปทีได้ไหม” ปราบต์ไม่อยากใช้งานคนท้อง แต่ครั้นตัวเองจะพาไปก็กลัวลูกไม่ต้อนรับ คนพี่แทบจะไม่มองหน้าเขา ส่วนคนน้องก็คล้ายว่ากลัวพ่อไปแล้ว
“ไปค่ะ เดี๋ยวเราไปรอคุณแม่บนห้องกันนะ”
สตรีในชุดคลุมท้องสีครามโอบประคองสองแฝดขึ้นไปยังชั้นสอง โดยมีปรมัตถ์ตามส่งถึงแค่บันไดเพราะเมรินทร์กระซิบว่าไม่ต้องตามมา ว่าที่คุณพ่อจึงคอยชะเง้อมองอยู่ตรงเชิงบันได กระทั่งเมรินทร์ถึงชั้นสองอย่างปลอดภัยตนจึงกลับไปนั่งที่เดิมของเด็กแฝด
“ว้า อุตส่าห์ดีใจที่ได้เป็นฝั่งเป็นฝาก่อนใครในบรรดาเฮียๆ”
“มึงออกเสียงเฮียให้ดีๆ หน่อยปูน” ฟังแล้วเหมือนโดนด่ายังไงไม่รู้ แถมไอ้ตัวแสบยังจงใจเน้นคำว่า ‘เฮีย’ ด้วยการกระแทกเสียง
“ลูกเฮียปราบต์โตจนรู้ความแล้วนะเนี่ย คงวัยไล่เลี่ยกับแก้วเจ้าจอมลูกเฮียธามเลย” ปรมัตถ์หมายถึงลูกสาววัยเจ็ดขวบของหัสวีร์บุตรบุญธรรมของดิฐา ที่ตอนนี้ปักหลักสร้างครอบครัวอยู่ที่เชียงใหม่ “ว่าแต่ฝาแฝดเลยเหรอ เอาเรื่องนะคุณปราบต์”
ปฏิกิริยาจากคนโดนแซวนอกจากไม่ยิ้มยังถอนหายใจ พลางสายตาก็แหงนขึ้นมองยังชั้นสองที่ซึ่งเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาพักพิงอยู่บนนั้น
“ทำไมอะเฮียผมนำความหนักใจมาให้เหรอ” เด่นภูมิถามพลางเข้ามานั่งไขว่ห้างข้างปรมัตถ์ ปราบต์ก็ถอยหลังไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม
“ยังมีหน้ามาถามอีกนะ”
“ไหนบอกว่ารู้สึกผิดกับเรื่องที่ใช้เขาไปเอาเด็กออกไง พอทุกอย่างมันพลิกกลับด้านแบบนี้เฮียก็ไม่ได้ดีใจเลยใช่ไหม”
“เบาๆ!” ปราบต์เอ็ดเด่นภูมิพลางชะเง้อขึ้นไปบนชั้นสอง เขาไม่ปรารถนาให้ลูกได้ยินเรื่องไม่ดีในอดีต “มันไม่ใช่ไม่ดีใจนะ ยอมรับว่าดีใจมากที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ แต่มันดูไม่ง่ายนะ”
“เฮียก็ทำให้มันดูยากด้วยแหละ” ความเห็นของปรมัตถ์ดึงทุกสายตาให้เบือนไปทางเขา “เฮียนิ่ง เฮียเข้ม เฮียหน้าเครียด สีหน้ามันชัดเจนจนปกป้องดูออกว่าพ่อไม่ต้องการเขา”
“ขอร้องอย่าขยี้” ลูกธนูสองดอกแล้วที่ลูกชายยิงปักอกเขาเพียงวันแรกที่เจอกัน ดอกแรกตอนที่ปกป้องบอกน้องสาวว่า ‘ไม่เห็นอยากได้เป็นพ่อเลย’ ดอกที่สองก็จากประโยคเมื่อครู่ ‘ทำไมต้องอยากเจอคนที่เขาไม่ได้ต้องการเราด้วย’ ปราบต์จุกกับคำพูดนั้น สมองตื้อตันจนไปไม่เป็น
เด่นภูมิและปรมัตถ์ตัดสินใจปล่อยความเงียบช่วยให้พี่ชายโฟกัสกับความคิดในสมอง ไม่เอ่ยขัดและนั่งซุบซิบกันสองคน ขณะที่บรรยากาศข้างนอกเต็มไปด้วยฝนฟ้าคะนองที่ถล่มมาร่วมชั่วโมงแล้ว ปราบต์ฟังเสียงฟ้าครางพลางมองสายฝนกระหน่ำ ก็พลันนึกถึงใจตนที่มืดมัวสับสนไม่เห็นหนทางที่ชัดเจนเหมือนพายุที่ก่อตัวอยู่ตอนนี้
พี่ใหญ่ของบ้านไม่เอ่ยอะไรต่อ และคล้ายว่าสายตามองเหม่อจนกู่ไม่กลับ เด่นภูมินั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเพื่อนเฮียโดยไม่ปริปากพูด ส่วนปรมัตถ์ขึ้นไปดูแลภรรยา กระทั่งผ่านไปเกือบสองชั่วโมงก็กลับลงมาด้านล่างโดยกำชับให้เมรินทร์พักผ่อนอยู่ในห้องกับเด็กๆ ไม่ต้องขึ้นลงให้เมื่อย
น้องคนเล็กของบ้านไกรกรัณย์เหยียบพื้นกระเบื้องที่โถงด้านล่าง เป็นจังหวะเดียวกับที่ประมุขของบ้านโผล่มาทางประตู
“ไหนหลานฉัน!”
ดิฐากวาดตามองทั่วโถงด้านล่าง พอไม่เจอเด็กก็โพล่งถามแข่งกับเสียงฝนเซ็งแซ่ ปราบต์ขมวดคิ้วสงสัยพลางมองหน้าน้องชายสองคนอย่างหาความ
“ใครเป็นคนบอกป๊า”
“ผมเปล่านะ” เด่นภูมิรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ปราบต์จึงเบือนกลับไปทางผู้ต้องสงสัยคนสุดท้ายที่กระตุกยิ้มมุมปากแล้วพาตัวเองในชุดนอนสีเทามานั่งข้างพี่คนรอง
“ปูน! แกบอกป๊าทำไม”
“ทำไมจะบอกไม่ได้ ถึงยังไงเรื่องนี้มันก็เก็บเป็นความลับไม่ได้ตลอดกาลหรอกนะ เฮียเคยปิดเรื่องนี้กับป๊าไว้ตั้งแปดปี พอป๊ารู้ก็โกรธมาก และนี่พอสถานการณ์มันพลิกก็ยังไม่คิดบอกป๊าอีกเหรอ น่าสงสารป๊านะลูกชายคนโตไม่เห็นหัวเลย” ปรมัตถ์สร้างความร้าวฉานแล้วตบท้ายด้วยการหัวเราะในลำคอ พี่คนรองอมยิ้ม ส่วนดิฐาและปราบต์พากันตวัดมองตัวแสบตาขุ่น
“แล้วนี่มันยังไง เป็นความจริงอย่างที่ปูนมันบอกเหรอว่าลูกมาตามหาแกน่ะปราบต์” ดิฐายังยืนเท้าเอวเอาความอยู่กลางวงล้อมลูกชาย
“ครับ ผมเองก็ช็อกไม่ต่างจากป๊าหรอก ถามไอ้ปลื้มเองล่ะกันว่าเป็นมายังไง”
“เอ้อ! ป๊าผมลืมบอกว่าลูกแฝดนะ” ปรมัตถ์เอ่ยแทรกเมื่อเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่บอกบิดา
“หือ? แกได้ลูกแฝดเหรอปูน”
“เปล่าครับ ผมได้ลูกสาวคนเดียว ลูกแฝดน่ะเป็นของเฮียปราบต์ แฝดชายหญิงอายุเท่าหนูแก้วเจ้าจอม คนพี่น่ะหน้าตาได้เฮียปราบต์มากเลยป๊า ไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอหรอก แค่เอารูปตอนเด็กของเฮียมาเทียบก็โคตรจะชัดเจน”
“จริงเหรอปราบต์ แล้วตอนนี้หลานอยู่ไหน”
“เอพริลพาไปพักผ่อนข้างบนครับ เด็กๆ ดูเครียดกัน”
ไม่ทันที่ใครจะได้ต่อบทสนทนาของปราบต์ แม่บ้านวัยกลางคนก็สาวเท้าเข้ามาในห้องนั่งเล่น พร้อมด้วยหญิงสาวแปลกหน้าที่ทิ้งห่างอยู่ด้านหลัง
“มีแขกมาขอพบคุณปลื้มค่ะ” แม่บ้านทำหน้าที่เสร็จก็ค้อมศีรษะปลีกตัวออกไปอย่างรู้งาน จากนั้นแขกที่มาพร้อมสายฝนชุ่มฉ่ำก็ก้าวมาปรากฏตัวต่อทุกคน
หญิงสาวแต่งตัวเรียบง่ายสวมกางเกงยีนส์สีขาวและเสื้อไหมพรมสีครีม ความกระวนกระวายท่วมท้นในสีหน้าแต่ไม่อาจลดทอนความงามอันผุดผ่อง ปรายฟ้ากวาดตามองสุภาพบุรุษที่ทั้งนั่งและยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น และกวาดผ่านปราบต์อย่างว่องไวไม่อยากรับไว้ในจุดโฟกัสแม้แต่วินาทีเดียว
“คุณปลื้มคุณทำแบบนี้ได้ยังไง ลูกฉันอยู่ไหนคะ” หญิงสาวเอาความกับคู่กรณีและเพียงพยักหน้าเป็นเชิงทักทายผู้อาวุโส จะให้ปรายฟ้ายกมือไหว้ก็ลำบากใจในเมื่อสถานการณ์ไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากนับญาติกับใคร เด่นภูมิรีบรุดมาหาพร้อมปั้นยิ้มลุแก่โทษอย่างจริงใจ
“พวกเขาอยู่ข้างบนกันครับ ผมต้องขอโทษจริงๆ นะครับคุณปรายฟ้า ยอมรับผิดโดยไม่เถียงสักคำเลย”
“คุณทำแบบนี้ฉันแจ้งความได้นะคะ”
“ผมมีเจตนาที่ดีแม้ทำลงไปโดยไม่นึกถึงจิตใจคุณ แต่ขออย่าแจ้งความให้เป็นเรื่องใหญ่โตได้ไหมครับ ผมพร้อมชดใช้ความผิดให้คุณทุกอย่าง”
ปราบต์ยังนิ่งเป็นหินอยู่ที่เดิมขณะสลักสายตาบนใบหน้าหญิงสาวไม่วอกแวกไปไหน เธออยู่ในความทรงจำของเขามาร่วมแปดปี และบัดนี้ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าอีกครั้ง แม้ดูโตขึ้นและเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก แต่ถึงอย่างไรก็ใช่คนเดียวกับในความทรงจำ เธอในวันนี้เติบโตและงดงามมีความเป็นผู้ใหญ่สมกับบทบาทแม่เลี้ยงเดี่ยว
ไม่เพียงปราบต์ที่พิจารณาหญิงสาว ปรมัตถ์เองก็มองผู้มาเยือนไม่วางตา แต่ไม่ได้เป็นไปในทางชื่นชมเหมือนพี่ใหญ่ ปรมัตถ์รู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าตาแบบนี้จากที่ไหนมาก่อน
“ตอนนี้ปรายอยากเจอลูกค่ะ”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมพาไป”
“เดี๋ยวก่อน” ดิฐาท้วงไว้ก่อนที่ทั้งสองจะเบี่ยงปลายเท้าไปทางบันได “หนูชื่อปรายฟ้างั้นเหรอ”
“ค่ะ” หญิงสาวกดหน้ารับและหลบเลี่ยงการสบตาผู้ใหญ่อย่างมีพิรุธ
“ใช่ปรายฟ้า ลูกสาวของปานเดือนหรือเปล่า?”
เขาจำเธอได้จริงด้วยสินะ ปรายฟ้าตั้งใจจะตีเนียนทำเป็นไม่รู้จัก ทว่าชายคนนี้ดันเป็นคนแก่ความจำดีเสียด้วยสิ ครั้นจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักก็เกรงมารดาจะหาทางให้การพบเจอครอบครัวนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายทุกอย่างก็ถลำลึกตามเส้นทางที่ปานเดือนวาดไว้จนได้สินะ
“ใช่ค่ะ จำได้ด้วยเหรอคะ”
“หนูคล้ายแม่หนูตอนสาวๆ มากเลยนะ โดยเฉพาะดวงตาน่ะได้ปานเดือนไปเต็มๆ ครั้งสุดท้ายที่ลุงเจอหนูก็ตอนหนูอายุสิบเจ็ดมั้ง งานเลี้ยงวันเกิดของนักการเมืองคนหนึ่ง ตอนนั้นปูนก็ไปกับลุงด้วยนี่นา หนูกับปูนยังนั่งคุยกันอยู่ตั้งนานสองนาน”
“อ้อ! ถึงว่าสิ ทำไมหน้าคุ้นๆ” ปรมัตถ์ดีดนิ้วเปาะเมื่อบิดาเฉลยความทรงจำที่เลือนราง ปรายฟ้าหันไปยิ้มให้เขาเล็กน้อย
เธอกับปรมัตถ์รู้จักกันผ่านงานเลี้ยงนักการเมืองชื่อดังในคืนนั้น แต่เป็นเพียงการพูดคุยเชิงบ่นถึงความน่าเบื่ออยากกลับไปนอนตามประสาวัยรุ่นที่ถูกพ่อแม่บังคับไปงาน และจากนั้นมาปรายฟ้ากับปรมัตถ์ก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย
ส่วนคนที่โดนเมินอย่างสมบูรณ์แบบอย่างปราบต์ก็กำลังช็อกเป็นครั้งที่สองของวันกับความโลกกลม ทั้งพ่อและน้องต่างรู้จักแม่ของลูกเขามาก่อน
“แม่หนูสบายดีนะ ขาดการติดต่อไปนานเลยตั้งแต่หย่ากับพ่อหนู”
“ก็สบายดีค่ะ” ปรายฟ้าเลือกตอบอย่างต้องการให้บทสนทนาจบไวที่สุด เธออยากพาลูกกลับบ้านไม่ประสงค์อยู่ที่นี่นานนัก เมื่อกี้ก็ลืมคิดไปว่าน่าจะบังคับให้เด่นภูมิพาเด็กๆ ไปส่งให้เธอที่สนามบิน จากนั้นก็จะได้ตีตั๋วกลับเชียงใหม่ทันที ปรายฟ้ามัวแต่ร้อนรนกังวลใจจนไม่ทันคิดให้ถ้วนถี่
“ฉันขอตัวไปหาลูกก่อนนะคะ” ปรายฟ้าเอ่ยตัดบทก่อนหันไปทางเด่นภูมิ “คุณปลื้มพาไปหน่อยค่ะ”
“ตามมาทางนี้เลยครับ”