2
พ่อเจ้าแฝด
เด่นภูมิกลับไปหาสองแฝดที่นั่งจ๋องไหล่ชิดกันบนโซฟารับแขกในห้องทำงานของประธานบริหารแห่ง KHT พร๊อพเพอร์ตี้ ปราบต์และปรมัตถ์ก็ตามเข้าไป คนที่เพิ่งรู้ตัวว่ามีลูกได้แต่มองเด็กแฝดด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เรียวคิ้วยังขมวดชนกันอย่างไม่คลายปมเสียที
“คุณอาปลื้มครับพาผมกับน้องกลับบ้านได้ไหมครับ ถ้าแม่ปรายรู้ว่าเราแอบมา แม่ต้องโกรธมากแน่ๆ” เด็กชายปกป้องขอร้องอย่างสุภาพ ดวงตากรุ่นกังวลมองอาปลื้มแล้วแลไปทางปราบต์ แต่เพียงไม่กี่วินาทีก็กลับมาหาเด่นภูมิ
“หา? หมายความว่าไง แกลักพาตัวลูกเขามาเหรอปลื้ม” ปราบต์เผลอเสียงดังใส่ จะไม่ให้ตกใจอย่างไรไหวในเมื่อน้องชายทำเรื่องใหญ่โดยพลการ
“เอ่อ ก็ไม่เชิงน่ะ ผมไม่ได้ลักพาตัว เด็กๆ เต็มใจมา ถึงแม่เขาไม่รู้แต่คุณยายเขารู้”
“นี่แกพามาจากเชียงใหม่เลยเหรอ?”
“ใช่”
เด่นภูมิพาเด็กทั้งสองโดยสารเครื่องบินส่วนตัวมาที่นี่โดยได้รับความยินยอมจากผู้เป็นยาย แต่ไม่ผ่านการรับรู้จากมารดาของเด็กๆ เด่นภูมิรู้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปสุ่มเสี่ยงต่อคุกตาราง หากแม่ของเด็กแฝดแจ้งความเขาก็คงซวยอยู่ไม่น้อย เด่นภูมิอยากให้พี่ชายรู้ความจริงเรื่องนี้ แต่ครั้นจะเดินไปบอกเลยมันก็ไม่ตื่นเต้น ต้องทำแบบนี้แหละเร้าใจกว่า
จ๊อก!
เสียงน้ำย่อยเรียกร้องหาอาหารดังมาจากพุงน้อยๆ ของเด็กหญิง มือเล็กตะครุบท้องอย่างนึกอาย “ขอโทษค่ะ หนูหิวอะ”
“น่าเอ็นดูจัง กินเจลลี่รองท้องก่อนไหม เดี๋ยวอาพาไปทานข้าว” ปรมัตถ์นั่งลงข้างเด็กหญิงพลางส่งถุงขนมให้ ความรักความเอ็นดูก่อเกิดอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งอาจเพราะทั้งสองคือหลานโดยสายเลือด และอีกประการคือปรมัตถ์กำลังจะได้เป็นพ่อคน ลูกในท้องของภรรยาก็เป็นลูกสาว ความอ่อนโยนต่อเด็กจึงมีมากเป็นพิเศษ
“พาไปที่บ้านดีกว่า นี่ก็เย็นแล้วด้วย” ปราบต์ตัดสินใจ และดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่จบง่ายๆ
“แต่ป๊าไม่อยู่บ้านนะ ไปเยี่ยมเพื่อนที่เขาใหญ่” ปรมัตถ์ท้วงขึ้น
“ดีแล้ว ยังไม่ต้องให้ป๊ารู้เรื่องนี้ ขอฉันตัดสินใจก่อน”
พี่ใหญ่ของบ้านไกรกรัณย์กล่าวจบก็เดินออกไปแจ้งเลขาฯ ว่าตนจะกลับบ้านเร็วกว่าปกติ กนกอรกระตือรือร้นรับคำพร้อมด้วยคำถามอยากรู้ที่ระอุในแววตา แต่ทำได้เพียงเก็บความครามครันไว้ในใจ คุณปราบต์ขรึมเคร่งพูดน้อย เธอทำงานร่วมกับเขามานานหลายปีก็จริง แต่ไม่กล้าละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว กระนั้นความเคารพเจ้านายก็ส่วนหนึ่ง เห็นสมควรต้องขยายแก่เพื่อนร่วมงานก็อีกส่วนหนึ่ง ประเด็นเด็ดเช่นนี้จะให้เงียบปากอย่างไรไหว
ปรมัตถ์ชะเง้อตามหลังพี่ใหญ่ พลางแค่นเสียงหยันขึ้นจมูก เรื่องอะไรจะไม่ให้ป๊ารู้ ของแบบนี้ต้องรีบรายงานให้ไวเลยสิ ถึงคราวปรมัตถ์เอาคืนพี่ชายจอมเผด็จการบ้างแล้ว
....
แสงอาทิตย์ที่แผดจ้าทั้งวันเริ่มอ่อนกำลังลง ดวงตะวันคล้อยใกล้เลือนลับ บรรยากาศยามเย็นสงบเงียบ ความหนาวทวีกำลังมากกว่าช่วงเวลากลางวัน ยิ่งในสภาพที่แวดล้อมด้วยต้นไม้ใบหญ้าต่างจากในเมืองที่คลาคล่ำด้วยตึกรามและควันไอเสีย ความยะเยือกก็ยิ่งทวีคูณเข้มข้น
ปรายฟ้าลูบเรียวแขนสองข้างผ่านเสื้อกันหนาวไหมพรมสีครีม พลางสายตาก็กวาดมองทั่วอาณาบริเวณของปานฟ้าโฮมสเตย์ สถานที่พักผ่อนที่เธอปั้นขึ้นมาด้วยหนึ่งสมองสองมือ มีอายุมานานกว่าห้าปีจวบจนตอนนี้ก็สั่งสมชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในหมู่นักเดินทางมากขึ้น
“แม่คะสองแสบไปไหนกันเหรอคะ ปรายเรียกหลายรอบแล้วไม่มีใครโผล่มาสักคน ในห้องนอนก็ไม่มี บ้านต้นไม้ก็ไม่เจอ” หญิงสาววัยยี่สิบหกปีถามมารดา พลางสายตาก็ชะเง้อชะแง้ไม่จับอยู่บนหน้าคู่สนทนาที่หย่อนกายนั่งหน้าระเบียงบ้าน
“ไปกรุงเทพฯ กันแล้วมั้ง”
“ไม่ตลกนะคะ นี่ปรายตามหาจนทั่วโฮมสเตย์แล้วแต่ก็เงียบกริบเลย ทีแรกคิดว่าไปเล่นบ้านพี่เอก แต่ปรายโทร.ถามแล้วพี่เอกบอกว่าไม่ได้อยู่ที่นั่น ปรายชักใจไม่ดีแล้วนะคะ”
ไม่กี่วันมานี้ปรายฟ้าเพิ่งทำลูกหายที่ห้างสรรพสินค้า ด้วยความที่กำลังเลือกหนังสืออยู่และคิดว่าเสียงเด็กเจื้อยแจ้วในร้านคงเป็นลูกของเธอเอง แต่พอได้ยินเสียงประกาศลั่นห้างฯ จึงได้รู้ว่าเผลอทำลูกหาย
พอย้อนถึงเหตุการณ์นั้นทีไรก็รู้สึกผิดหวังในตัวเองทุกครั้ง ปรายฟ้ายังให้คะแนนความเป็นแม่ของตัวเองไม่เต็มร้อย วันๆ เธอทำแต่งาน คอยดูแลลูกบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นคุณยายของเด็กๆ เสียมากกว่าที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้
“ปิงปิง ปกป้อง อยู่ไหนกันลูก!” ปรายฟ้าป้องปากเรียกลูกอีกหน
“อะนี่” ปานเดือนมารดาวัยห้าสิบแปดปี ยื่นกระดาษแผ่นเล็กผ่านราวกั้นของระเบียงให้ลูกสาวที่ยืนกระวนกระวายอยู่ด้านล่างข้างแปลงดอกไม้
“อะไรคะ” ปรายฟ้ากวาดดูตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษ ก็พบว่าเป็นบ้านเลขที่ในกรุงเทพมหานคร
“ปรายไม่รู้เลยเหรอว่าผู้ชายที่มาพักเมื่อวานเป็นใคร”
“หมายถึงใครคะ”
“ก็คนที่เพิ่งเช็กเอาท์ไปเมื่อบ่ายนี้ไง”
ปรายฟ้านิ่งคิด แววตาแม่มีความนัยบางอย่างซ่อนอยู่ สีหน้าไม่ยิ้ม ดูขรึมแต่ไม่เคร่ง หากเป็นแขกที่เพิ่งมาเมื่อวานและเช็กเอาท์เมื่อบ่ายนี้ เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหนุ่มหน้าตาดีที่แนะนำตัวว่าชื่อ ‘ปลื้ม’ ซึ่งเป็นแขกเพียงคนเดียวของเมื่อวานที่ปรายฟ้าอนุโลมเรื่องเช็กเอาท์เลท ทั้งยังบอกกับเขาว่าจะพักต่ออีกหนึ่งคืนก็ไม่มีปัญหา
นอกจากนี้ปรายฟ้ายังไม่มีการทำเอกสารเข้าพัก ไม่ขอบัตรประชาชน และที่สำคัญเธอเป็นคนชวนเขามาที่นี่เพื่อมอบเป็นของสมนาคุณที่ช่วยพาเจ้าแฝดไปส่งประชาสัมพันธ์ในวันที่พวกเขาหลงทาง แถมยังอยู่เป็นเพื่อนเลี้ยงไอศกรีมจนกระทั่งเธอตามไปพบ โดยหลังจากปรายฟ้ายื่นนามบัตรพร้อมชักชวนมาพักที่ปานฟ้าโฮมสเตย์ พระอาทิตย์ตกเพียงหนึ่งหนเขาก็มาปรากฏตัวที่นี่ ปรายฟ้าเป็นคนรับแขกและแนะนำที่พักในเบื้องต้น แต่หลังจากนั้นก็เป็นมารดาของเธอที่พูดคุยกับเขาอยู่เป็นนานสองนาน ทำราวกับคนที่รู้จักกันมาก่อน
“คุณปลื้มเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ”
“เขาเป็นใครคะ” ปรายฟ้ามัวแต่ยุ่งกับงาน ยังไม่มีโอกาสถามมารดาเสียทีว่ารู้จักกันมาก่อนเหรอถึงคุยกับเขาอย่างสนิทสนม
“คุณปลื้มเป็นน้องชายคุณปราบต์”
“ปราบต์ไหนคะ”
“โถ่ ปรายฟ้าหนูคงเกลียดผู้ชายคนนั้นมากเลยสินะถึงไม่ยอมเมมชื่อเขาไว้ในหัว คุณปราบต์ก็คือพ่อผู้ให้กำเนิดเจ้าแฝดของเราไง”
“แล้วยังไงคะ” นี่แม่ทำอะไรลงไปหรือเปล่า ความกังวลเดิมที่ก่อตัวในใจก็มีปริมาณมากอยู่แล้ว ยิ่งทราบความจริงนี้ก็ยิ่งราวกับจะล้นทะลักออกมาเสียให้ได้
“ปกป้องและปิงปิงไปกับคุณปลื้มเมื่อตอนบ่ายสาม แม่เป็นคนอนุญาตเอง”
ปานเดือนรู้ดีว่าทำไม่ถูก อีกทั้งก็นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้พูดคุยกับเด่นภูมิ แต่กลับไว้ใจส่งหลานสองคนเดินทางข้ามอากาศไปกับเขา ด้วยความที่เด็กหญิงปิงปิงอยากเจอพ่อผู้ให้กำเนิดตัวเป็นๆ ปานเดือนกล่อมเพียงนิดเดียวก็ยกมือตื่นเต้นพร้อมเดินทาง ขณะที่แฝดพี่อย่างปกป้องไม่เห็นด้วยในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ยอมไปเพราะห่วงน้องสาว
“แม่ทำแบบนี้ทำไมคะ”
ปรายฟ้าโกรธจนหน้าแดงแข่งกับแสงอาทิตย์สีเข้มในยามเย็น อยากได้ยินคำพูดต่อท้ายจากปากมารดาว่าล้อเล่น แต่แววตาเต็มไปด้วยความปรารถนาคู่นั้นเฉลยชัดว่าลูกรักของเธอไม่ได้อยู่ที่เชียงใหม่
“อย่างที่แม่เคยพูดไปว่าเขาคือตัวเลือกแก้แค้นที่ดีที่สุด”
“ปรายบอกแล้วไงคะว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก”
“จะไม่อยากเกี่ยวได้ยังไงในเมื่อเขาเป็นพ่อของลูกปรายนะ นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่ละครนะปรายฟ้า อย่าทำตัวเป็นนางเอกที่ท้องแล้วไม่ยอมให้พระเอกรับผิดชอบ”
“ทำไมพูดเหมือนหนูเป็นคนผิด พูดอย่างกับหนูเป็นนางเอกที่หยิ่งในศักดิ์ศรี แม่จำไม่ได้เหรอคะว่าเขาให้หนูไปทำแท้ง ใช้เงินฟาดหัวตั้งห้าล้านเพื่อจะไม่ต้องมารับผิดชอบการกระทำเลวๆ ของตัวเอง” ความโกรธที่มารดากระทำกำลังเปลี่ยนเป็นน้อยใจและกลั่นน้ำใสจากเบ้าตา “ตลอดเวลาที่ผ่านมาปรายคิดว่าแม่เป็นเซฟโซนของปราย คิดว่าเป็นคนที่เข้าใจหนูที่สุด หนูตั้งท้องไม่ใช่เพราะความแรดของตัวเองเลย จะเรียกว่าโดนข่มขืนก็ไม่ผิดอะไร เขาไม่ต้องการรับผิดชอบตั้งแต่แรกถึงขั้นให้เงินห้าล้านเพื่อเอาเด็กออก แล้ววันนี้แม่กลับผลักไสให้ปกป้องกับปิงปิงไปหาเขา เขาไม่รู้ว่าเด็กๆ ยังมีตัวตนอยู่มันก็ดีอยู่แล้ว และทีนี้พอรู้ว่าปรายไม่ได้ทำแท้งเขาจะกำจัดลูกหนูยังไง”
“ปรายคิดมากไปใหญ่แล้ว คุณปราบต์เขาไม่ทำแบบนั้นหรอก แม่ได้คุยกับน้องชายของเขาและรู้ว่าคุณปราบต์เขารู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาตลอด”
“หนูไม่โอเคมากๆ ที่แม่ทำแบบนี้ นั่นลูกปรายนะคะทำไมถึงทำได้ลงคอ นี่มันเรื่องใหญ่มาก”
“แม่ติดตามคุณปราบต์มาตลอดและรู้ว่าเขาไม่เคยมีคนรักเลย เขาภาษีดีทุกอย่าง แม่ยังยืนยันคำเดิมว่าคนนี้แหละที่ปรายควรเลือกไว้เพื่อแก้แค้น”
“ไม่จำเป็นต้องใช้เขาหรือใช้ใครเพื่อให้พ่อเห็นว่าเรามีชีวิตที่ดี แม่จะแคร์ทำไมอีกคะในเมื่อตอนจากมาแม่ก็เหมือนไม่เอาอะไรแล้ว นี่ก็ผ่านไปแปดปีเขาเคยมาดูดำดูดีไหม คำขอโทษแค่คำเดียวเขาเคยส่งข้อความมาหาเราหรือเปล่า”
“ปรายพูดเหมือนปล่อยวางแล้ว” น้ำเสียงของปานเดือนมีความน้อยใจอยู่ในที ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกผิดที่ทำลูกเสียใจจนน้ำตาตกแบบนี้
“ไม่ใช่ปล่อยวาง แต่บางทีหนูก็เหนื่อย ชีวิตทุกวันนี้มันก็ดีมากจริงๆ จะไปยุ่งกับเขาก็กลัวแก้แค้นแล้วไฟมันย้อนกลับมาเผาตัวเอง แม่อยากแก้แค้น ปรายก็มีวิธีที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร ปรายเชื่อว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ อาจไม่รวยร้อยล้านพันล้าน แต่หนูเชื่อว่าหนูจะสำเร็จในแบบที่ต้องการได้ โฮมสเตย์เล็กๆ นี้ก็มีชื่อเสียงมากนะคะ อีกหน่อยปรายว่าจะทำรีสอร์ตด้วย”
“แม่รู้ว่าปรายทำได้ จะรีสอร์ตหรือโรงแรมแม่ก็เชื่อว่าปรายฟ้าทำได้หมด แต่แค่นี้มันไม่พอหรอกนะลูก การมีคุณปราบต์เข้ามาเขาจะช่วยเสริมบารมีให้ลูกนะ”
“หนูเกลียดเขาค่ะ หนูเกลียดผู้ชายคนนั้น ช่างเถอะค่ะแม่ นี่ไม่ใช่เวลามาเถียงเรื่องพวกนี้ ปรายต้องไปเอาลูกคืน ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงกันบ้าง”
“แม่ขอโทษนะปรายฟ้าที่ทำลงไปโดยพลการ แม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งและคิดน้อยเกินไป งั้นหนูก็รีบไปเถอะ” ปานเดือนเอ่ยเสียงเศร้าแล้วกลับเข้าไปในบ้าน
ปรายฟ้ามองตามแผ่นหลังมารดาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ก่อนตัดใจกลับมาโฟกัสเรื่องสำคัญที่ควรทำ ปลายเท้าจ้ำอ้าวไปยังรถที่จอดไว้พร้อมกันนั้นก็หาเที่ยวบินที่เร็วที่สุดไปกรุงเทพฯ พอปรายฟ้าจองตั๋วเรียบร้อยก็ต่อสายถึงนายเอก ญาติทางฝั่งมารดาที่ปัจจุบันเป็นกำลังสำคัญสำหรับปานฟ้าโฮมสเตย์
“ฮัลโหลพี่เอก ปรายวานพี่มานอนที่บ้านปรายหน่อยสิคะ แม่อยู่บ้านคนเดียวและคืนนี้ปรายจะไปกรุงเทพฯ ค่ะ”
“ไปกะทันหันแบบนี้มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าน้องปราย” เอกชายวัยสี่สิบปีกรอกเสียงฉงนปนสำเนียงเมืองเหนือผ่านปลายสาย
“พี่เอกไปถามแม่เถอะค่ะ แค่นี้นะคะ ปรายกำลังจะไปสนามบิน ฝากด้วยนะคะพี่เอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ปรายก็กลับแล้วค่ะ”
“ได้ๆ น้องปรายเดินทางปลอดภัยเด้อ เดี๋ยวพี่ดูแขกและแม่ให้”
“ขอบคุณค่ะ” ปรายฟ้ากดตัดสายพร้อมเหยียบคันเร่งในอัตราความเร็วที่มากกว่าสถิติที่ตนเคยขับ มารดาบอกว่าเด็กๆ ไปกันตั้งแต่บ่ายสาม ซึ่งตอนนี้ก็ห้าโมงเย็นแล้ว พ่อลูกคงได้เจอกันแล้วสินะ
ปรายฟ้าไม่เคยอยากบอกลูกว่าพ่อของเขาเป็นใคร ไม่รู้จะบอกทำไมในเมื่อเขาไม่ได้ต้องการให้มีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรก เป็นแม่ของเธอที่คอยบอกเจ้าแฝดว่าพ่อชื่ออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร ทำงานอยู่ที่ไหน แต่ปานเดือนไม่ได้ให้ความหวังเด็กๆ เธอบอกหลานว่าพ่อกับแม่แยกทางกันด้วยดี ปรายฟ้าไม่น่าปล่อยให้ปานเดือนพูดเรื่องพ่อกับพวกเขามากเกินไป ยามที่ลูกอยู่กับเธอไม่เคยถามถึงพ่อสักครั้ง เพราะปานเดือนสั่งเด็กแฝดเสมอว่าอย่าพูดเรื่องพ่อตอนอยู่กับแม่ เพราะแม่เขาไม่ค่อยชอบให้พูดถึง
แปดปีมาแล้วที่ปรายฟ้ามีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข เหนื่อยมากหน่อยตอนที่ลูกยังแบเบาะ และเหนื่อยสุดๆ ก็ตอนที่ก่อร่างสร้างโฮมสเตย์ แต่ความลำบากมันยังสมดุลกับความสุข แม้ชีวิตก่อนหน้าผ่านความแตกสลายมามากมาย ทว่าสุดท้ายโลกก็ยังใจดีกับเธอ แต่จากสิ่งที่มารดาทำลงไปโดยไม่หารือ ปรายฟ้ารู้สึกเหมือนเห็นภาพตัวเองในอนาคตกำลังวิ่งหนีความยุ่งเหยิงที่ไล่ล่ามาเป็นขบวน