เขาใช้สองมือ ประคองแก้มกลมของเธอขึ้นมามอง เธอถลึงตามองเขา แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ เมื่อหานเซียวมองและยิ้มกลับมา
“โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก รออยู่นี่ก่อนนะ แล้วอย่าซนอีกล่ะ”
เขาเดินลงจากรถ หลินซีพยายามข่มใจ เพื่อรอให้หลี่เจินหลิงลงรถไปก่อน เธอเกือบจะกรี๊ดออกมาอยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่ากู้หานเซียว จะกล้าหอมแก้มเธอ ต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ เมื่อหลี่เจินหลิงลงรถไป หลินซีก็ได้แต่ตีกระเป๋าถือไม่ยั้ง เพื่อระบายความโกรธออกมา
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวค่ะพี่หานเซียว แล้วงานเลี้ยงอีกสองวัน…”
“ผมยังไม่รู้เรื่องเลย คงต้องรอคุณแม่แจ้งอีกที ขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ ฉันจะรอนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่รู้ว่าจะว่างหรือเปล่า อีกอย่างช่วงนี้งานในกองทัพค่อนข้างเยอะ ไม่มีเวลามากขนาดนั้น ขอตัวก่อนนะครับ”
เขาเดินกลับไปขึ้นรถ หลี่เจินหลิงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น นี่เขาถึงขนาดกล้าปฏิเสธ ในการออกงานร่วมกับเธอเลยงั้นเหรอ ทั้ง ๆ ที่เธออุตส่าห์ลดศักดิ์ศรีลงมาขนาดนี้ และยังเป็นฝ่ายชวนเขาก่อน แต่กลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“อย่าคิดว่าฉันจะยอมแพ้เธอ ตงหลินซี”
เหมือนหลินซีจะรู้สึกว่า การแก้เผ็ดในครั้งนี้ยังไม่สมใจเธอ จึงได้หมุนกระจกรถลง และหันมาบอกลาเจินหลิงอีกครั้ง
“คุณหนูหลี่ เอาไว้พบกันใหม่นะคะ”
หลี่เจินหลิงได้แต่หันมายิ้ม ให้เธอเพียงแวบเดียว และรีบเดินเข้าบ้านไปทันที หลินซียิ้มและหมุนกระจกปิด เมื่อหันมาก็เห็นว่า กู้หานเซียวเข้ามาในรถแล้ว เขายังยื่นหน้าเข้าใกล้เธอด้วย
“ถอยไปนะ! ไม่งั้นฉันจะตบคุณจริง ๆ ด้วย”
“โอ้โห คนที่มากอดแขนผมก่อนก็คือคุณ คนที่ยั่วก่อนก็ยังเป็นคุณทำไมล่ะ ไม่อยากเล่นบทคู่รักแสนหวานแล้วเหรอ เปลี่ยนอารมณ์เร็วจังเลยนะ”
“ใครจะไปคิดว่า คุณจะเป็นพวกฉวยโอกาสล่ะ”
“ฉวยโอกาสงั้นเหรอ คำนั้นน่ะ มันควรใช้กับคุณนะตงหลินซี เพราะคุณเป็นคนเริ่มก่อน”
“แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรมากเลย ก็แค่แตะนิดแตะหน่อย”
“ทุกอย่างก็ต้องมีราคาต้องจ่าย คุณว่านายพลอย่างผม แตะต้องได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ เอาล่ะไปกันได้แล้ว”
“ฉันไม่อยากไปแล้ว”
“ว่ายังไงนะ”
“ไม่อยากไปแล้ว อีกอย่างตอนนี้ก็จะเย็นแล้วด้วย คุณขับรถมาส่งคุณหนูหลี่ถึงที่นี่ กว่าจะกลับเข้าเมือง กว่าจะเดินดูร้านก็คงจะมืดพอดี ฉันกลับบ้านดีกว่า”
“ก็ดี งั้นก็กลับกันเลย”
เธอไม่ได้ตอบนายพลกู้ เขาหันไปขับรถเงียบ ๆ ระหว่างที่เธอหันไปมองข้างทาง ซึ่งเขาแอบแปลกใจ ที่เธอมองด้วยความสนใจ ทุกที่ที่ผ่านเหมือนกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขารู้มาว่าตงหลินซีเที่ยวเก่งมาก รอบ ๆ กวางโจวนี้ ยังจะมีที่ไหนที่เธอไม่เคยไปบ้าง
“ทำไมขับมาที่นี่ล่ะ ฉันบอกว่าจะกลับบ้านยังไงล่ะคะ”
เธอเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่ากู้หานเซียว ขับรถมาทางเลียบชายทะเล ซึ่งมีร้านอาหารเรียงรายอยู่
“ก็คุณบอกเองว่า จะพาผมมาทานข้าวไม่ใช่เหรอ เห็นบอกว่าเป็นร้านของเพื่อน พอดีเลยผมก็เริ่มหิวแล้ว เมื่อตอนบ่ายได้ดื่มแต่ชา”
“จะไปรู้คุณเหรอคะ ฉันไม่ได้ถามอาชิงมา ก็แค่พูดไปแบบนั้นเอง”
“นึกแล้วเชียวว่า แค่อยากจะแกล้งคนอื่น ร้ายกาจนักนะ”
“ใครใช้ให้เธอ มาหาเรื่องวุ่นวายก่อนล่ะ”
“ว่ายังไงนะ”
“เพราะคุณนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ เธอคงไม่มาหาเรื่องฉัน อีกอย่างถ้าคุณแค่กลับไปกับเธอ ไม่ต้องพาฉันขึ้นรถมาด้วย ก็คงไม่ต้องวุ่นวายถึงขนาดนี้หรอก”
หานเซียวนั่งฟังเธอบ่น เขาควรจะรำคาญแต่กลับนึกขำอย่างพอใจ ที่แกล้งเธอได้ ทำเอานายพลหนุ่มยิ้มออกมาได้ในวันที่น่าเบื่อวันนี้ เขาเลือกจอดรถริมข้างทาง และเดินลงมาเปิดประตูให้เธอ
“ลงมาสิ คงไม่ต้องถึงกับ อุ้มออกมาหรอกนะ”
“เราจะไหนกันคะ”
“ไปเดินเล่นรับลม แล้วหาอะไรกินกัน”
“ฉันไม่ได้อยากเดินเล่นสักหน่อย”
“งั้นก็ไปกินข้าว คุณเองก็น่าจะหิวแล้วสินะ”
ไม่คิดเลยว่ากู้หานเซียว จะเป็นคนกวนประสาทได้อย่างหน้าตายแบบนี้ เขาพูดจาเรียบ ๆ แต่ทำให้เธอหงุดหงิดได้ทุกครั้ง เพราะความอยากแกล้งหลี่เจินหลิงแท้ ๆ เชียว ทำให้เธอต้องมาติดแหง็กอยู่กับเขาแบบนี้
‘วันหลังจะไม่ทำเป็นอันขาด ถึงจะหล่อแต่กวนประสาทชะมัดเลย’
“ทำอะไรคะ”
เธอถามเมื่อเห็นเขายื่นแขนมาให้
“เกาะแขนไงล่ะ สุภาพบุรุษก็ทำกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ เร็วเข้าสิที่นี่ลมแรงนะ จะยืนอยู่ต่อเหรอ”
“เผด็จการจนเคยชินสินะ จับก็จับสิ!”
ไม่รู้ว่าเพราะน้ำเสียงน่าหมั่นไส้นั่น หรือว่าสีหน้าน่ารักของเธอ ถึงทำให้นายพลกู้ ที่เคยเกลียดผู้หญิงที่เดินอยู่ข้าง ๆ นี้ เปลี่ยนเป็นอยากดูแลเธอ ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ แต่วันนี้กลับอยากจะทำ และอยากรู้ว่าทำไมวันนี้ เธอถึงได้ไปทานข้าวกับผู้ชายอีกคน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ เคยลุ่มหลงความหล่อของเขานักหนา
‘หรือว่าเธอจะเปลี่ยนใจแล้ว ผู้ชายคนนั้นหน้าตาดูไม่เลว ถึงจะสู้ฉันไม่ได้ แต่รอยยิ้มนั่น… ฉันไม่เคยเห็นเธอยิ้มให้ฉันเลยสักครั้ง ตงหลินซี หรือเธอกำลังจะลองใจฉันอยู่’
ร้านอาหาร
“สั่งสิ”
เธอเริ่มหันมาสั่งอาหาร กับเมนูที่ไม่คุ้นตา และอยากลองไปหมดทุกอย่าง จึงสั่งมาอย่างละนิดละหน่อย กู้หานเซียวคิดไม่ถึงว่า เธอจะสั่งคล่องขนาดนี้ อีกทั้งยังสั่งอะไรที่ฟังดูยาก ซึ่งเขามั่นใจว่ามันไม่มีในเมนู
“เซอลารี่ขอหั่นบาง ๆ วางแค่ขอบจานก็พอ ส่วนพาสลี่ไม่ต้องใส่มานะคะ ขอบคุณค่ะ”
“ครับคุณผู้หญิง”
และดูเหมือนว่า บริกรก็จะฟังเธอรู้เรื่องอีกด้วย เขารู้มาว่าตงหลินซีไม่รู้ความ ไม่มีความรู้ หรือเป็นเพราะว่า เธอออกงานสังคมบ่อย ถึงได้สั่งอาหารได้คล่องนัก
“คุณไม่กินออริกาโน่เหรอคะ”
“ออริกาโน่?”
“ก็เห็นคุณเขี่ยออก”
เธอหันไปมองจานสเต๊กแกะของเขา ซึ่งหานเซียวเขี่ยผักบางอย่างเอาไว้ข้าง ๆ จาน เธอเอื้อมมาจิ้มมะเขือเทศลูกเล็กไปกิน โดยที่ไม่ทันได้ถามเขา
“อื้มมม มะเขือเทศสดมาก ดิลีเชียส!”
‘ดิลิเชียสงั้นเหรอ นั่นแปลว่าอร่อยไม่ใช่เหรอ ปกติเธอพูดคำศัพท์แบบนี้ที่ไหนกัน’
“เอาอีกไหม”
“คุณไม่กินเหรอคะ”
“เห็นคุณชอบกินผัก แต่ผมไม่ชอบกินสับปะรด กับมะเขือเทศ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่เกรงใจนะ ไกลจังขอโทษนะคะ”
เธอขยับมานั่งข้าง ๆ เขา และขยับจานของตัวเองมาด้วย เมื่อเธอทำแบบนี้ เขาก็เริ่มหันไปมองอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้นึกรังเกียจ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน แม้แต่ของในจานของเขา ก็คงไม่มีทางยอมให้เธอกินหรอก แต่นี่เขากลับ…
“มานี่ ผมตักให้เองเดี๋ยวก็หกหมด ไม่ได้กินพอดี”
“ขอบคุณนะคะ”
เธอยกจานตัวเองขึ้นมา และยิ้มรอให้เขาตักให้ หานเซียวอดยิ้มให้กับความน่ารักนี้ไม่ได้ ตอนแรกเธอหงุดหงิดโมโห แต่พอของกินมาวางตรงหน้า ก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีขึ้นทันที จนเขาปรับอารมณ์แทบไม่ถูก
“อร่อยไหม”
“อื้มมม อร่อยมากเลย เนื้อนี่กับสับปะรด อร่อยหวานฉ่ำ พอดีคำ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ยังสู้สเต๊กที่คุณหั่นให้วันนั้นไม่ได้เลย นี่ไม่ได้ชมนะ ที่บ้านคุณอาหารอร่อยมาก”
“งั้นเหรอ ถ้าคุณชอบเอาไว้ไปทานข้าวที่บ้านบ่อย ๆ สิ”
“จริงเหรอ เยี่ยมไปเลย แต่คุณจะหั่นสเต๊กให้ฉัน เหมือนวันนั้นไหมล่ะคะ เอ่อ… ขอโทษค่ะ”
หลินซีลืมคิดไปสนิท ว่าเขาเกลียดเจ้าของร่างเดิมมากขนาดไหน เกลียดชนิดที่ไม่อยากจะเห็นหน้า ถึงขนาดดูถูกพ่อของเธอ และถามเกี่ยวกับธุรกิจที่มีปัญหา เขาจะอยากทำดีกับเธอไปทำไมกัน
เท่าที่ทำอยู่นี่ มันก็ถือว่าแปลกมากแล้ว แต่คนที่กำลังจิบไวน์อยู่ กลับยิ้มและหันมาบอกเธอ ด้วยเสียงที่อ่อนโยนลง ผิดกับในงานเลี้ยงคืนนั้น
“ถ้าคุณอยากให้ผมทำให้ ผมก็จะหั่นสเต๊กให้คุณทุกครั้งที่ต้องการ ดีหรือเปล่าล่ะซีซี”