“สองยักษ์ใหญ่ล้ม! สตาร์ตอัปมาแรงคว้าดีลแห่งปี!”
“Horizon Future สะท้านวงการอสังหาฯ แผนธุรกิจที่เปลี่ยนเกม!”
พาดหัวข่าวตัวโตจากหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจฉบับเช้าถูกวางไว้กลางโต๊ะไม้โอ๊คยาวภายในห้องประชุมใหญ่ของโรงแรมหรูใจกลางเมือง
ฝั่งซ้ายของโต๊ะคือ คุณเกรียงไกร อัครเศรษฐ์ เจ้าของกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ หรูระดับลักซ์ชัวรี่
ฝั่งขวาคือ คุณศักดิ์อนันต์ ธาดาธรรม บิดาของวราลี นักพัฒนาอสังหาฯ เชิงชุมชนผู้ขึ้นชื่อว่า ‘ดุพอๆ กับเก่ง’
และนี่...คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พวกเขายอม นั่งโต๊ะเดียวกัน
ไม่มีคำทัก ไม่มีคำว่าสวัสดี
มีเพียงสายตาที่แข็งกร้าว และความเงียบอึดอัดที่ปกคลุมห้องอย่างหนาแน่น
กระทั่งเสียงแฟ้มหนาๆ กระแทกกับโต๊ะดังปัง เรียกสายตาทุกคู่ให้หันไปยังต้นเสียง
“แผนทั้งหมดของเราถูก Horizon ชิงไป เพราะฝ่ายคุณปล่อยให้ลูกสาวตัวเองใส่อารมณ์เกินไป
ตอนพรีเซนต์งาน!”
เกรียงไกรตวัดสายตามองอีกฝั่งด้วยแววไม่พอใจ
ศักดิ์อนันต์ หัวเราะในลำคอเบาๆ จ้องมองกลับไม่หลบสายตา
“แต่เท่าที่ผมเห็นนะ... ลูกชายคนเก่งของคุณนั่นแหละที่เป็นคนเริ่มก่อน”
ตอนนี้ห้องประชุมเริ่มไม่ต่างจากเวทีดีเบต
ต่างฝ่ายต่างโต้กลับ เสียงโต้วาทีดังกระทบกันจนบรรยากาศในห้องร้อนขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่ง คุณธนา ผู้บริหารรุ่นเก๋าในวงการและเป็นคนกลางที่จัดประชุมนี้ถึงกับต้องยกมือขึ้นห้ามศึก ยับยั้งความวุ่นวาย
“ขอโทษนะครับ...”
ธนาเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
“แต่ผมคิดว่าเราควรกลับไปมองที่ต้นเหตุของปัญหาดีกว่านะครับ”
ตอนนี้ทุกสายตาหันมามองที่ธนาเป็นจุดเดียวกัน
“ปัญหาที่ทำให้ดีลนี้หลุดไป... ไม่ใช่เพราะแนวคิดของพวกคุณไม่ดี”
ธนาวางฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างสุภาพ สีหน้าเรียบนิ่ง แต่แฝงความหนักแน่น
“แต่เป็นเพราะลูกๆ ของคุณสองคน พรีเซนต์งานกันเหมือนจะขึ้นชกมวย มากกว่าจะขึ้นเสนอแผนงาน”
ห้องประชุมเงียบสนิททันที จนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจ
“นักลงทุนไม่ได้อยากดูละครครับ”
ธนาเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ
“และแน่นอนว่า... พวกเขาไม่คิดจะลงทุนกับความดราม่าที่เห็นบนเวทีนั่นด้วย”
คำพูดนั้น เหมือนค้อนเหล็กที่ทุบกลางใจ ทั้งเกรียงไกรและศักดิ์อนันต์นิ่งเงียบ ก่อนจะค่อยๆ หันมาสบตากัน ราวกับเพิ่งยอมรับ ‘ความจริงเดียวกัน’ เป็นครั้งแรก
และในความเงียบนั้นเอง ชายชราผิวขาว ในชุดผ้าไหมจีนที่นั่งเงียบมาตลอดการประชุม ก็เริ่มขยับตัว
ซินแสหลิว ผู้เฒ่าที่ทั้งสองตระกูลนับถือมาอย่างยาวนาน และถูกเชิญมาเป็น ที่ปรึกษาพิเศษ ในการประชุมลับครั้งนี้
“สิ่งที่กำลังจะล่ม ไม่ใช่ดีล”
เสียงของชายชราแม้จะแผ่วเบา แต่ก็ทรงพลังหนักแน่น สะกดทุกคนให้หยุดฟัง
“แต่คือความมั่นคงของตระกูลทั้งสอง”
ชายชราเหลือบมองเกรียงไกร และศักดิ์อนันต์ทีละคน ดวงตาคู่นั้นแม้จะขุ่นมัวด้วยวัย แต่กลับแทงลึกเข้าไปถึงกลางใจ
“หากพวกคุณยังปล่อยให้เด็กทั้งสองคน เดินกันคนละทิศละทางแบบนี้”
เขาเว้นวรรคเล็กน้อย ราวกับต้องการให้ทั้งสองคนดื่มด่ำกับคำเตือนให้มากที่สุด
“อีกไม่กี่ปี... ชื่อของตระกูลพวกคุณ จะไม่เหลือแม้แต่ในหน้าหนังสือพิมพ์”
ไม่มีใครกล้าแย้ง ไม่มีใครกล้าขำ เพราะทุกคนในห้องนี้รู้ดีว่า ซินแสหลิวไม่เคยพูดผิด
แล้วชายชราก็หยิบหยกสีเขียวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หมุนเบาๆ ในมืออย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยคำวินิจฉัย
“มีทางเดียว ที่จะยุติความพินาศนี้...”
เสียงของชายชราหนักแน่น แม้จะไม่ได้ดังนัก
“ต้องจับเด็กทั้งสองคนมาแต่งงานกัน”
ทั้งห้องนิ่งราวถูกผนึกด้วยเวทมนตร์
และเมื่อคำพูดนั้นแล่นเข้าสู่โสตประสาทของทุกคนเต็มที่แล้ว...
“แต่งงานเหรอครับ?”
เสียงของทั้งสองตระกูลดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน ราวกับถูกตั้งเวลา
ซินแสหลิวไม่ตอบในทันที เขาวางหยกลงกลางโต๊ะเบาๆ แล้วลุกขึ้นอย่างสงบนิ่ง
“ไม่ใช่เพื่อความรัก แต่เพื่อความอยู่รอดของพวกคุณทั้งหมด”
แล้วชายชราเดินจากไปเงียบๆ ปล่อยให้บรรยากาศในห้องประชุมลับกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
เกรียงไกร และ ศักดิ์อนันต์ สบตากันอีกครั้ง ทั้งสองเต็มไปด้วยความลังเล และไม่เชื่อว่าจะต้องยอมรับข้อเสนอนั้นจริงๆ
“แต่งงานเหรอ...”
เกรียงไกรพึมพำเบาๆ พลางพ่นลมหายใจออกแรงมาก มืออีกข้างยกขึ้นนวดขมับเบาๆ อย่างหัวเสีย
“ลูกชายผมไม่ยอมแน่”
ศักดิ์อนันต์เมื่อได้ยินก็แค่นหัวเราะ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เต็มแรง
“แล้วคุณคิดว่า ยัยวุ้น ลูกสาวผม จะยอมแต่งงานกับลูกชายคุณเหรอไง?”
คนพูดเลิกคิ้วสูง ใบหน้าหยันนิดๆ ขณะเอียงศีรษะมองคู่สนทนา
“ยัยวุ้นเคยพูดกับผมว่า...”
เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
“ถ้าให้แต่งกับสิรณัฐ... เธอขอขึ้นคานให้ปลวกแทะยังดีซะกว่า”
“ก็ดี!”
เกรียงไกรสวนกลับทันควัน น้ำเสียงติดหงุดหงิด พร้อมกับจับแฟ้มในมือฟาดลง กับโต๊ะเบาๆ
“เพราะเจ้านัฐของผมก็ไม่ได้อยากได้เมียที่เอาแต่ใส่อารมณ์ลงไปในแผนธุรกิจเหมือนเขียนบทละครน้ำเน่าเหมือนกัน”
เกรียงไกรเน้นเสียงชัดในคำว่า น้ำเน่า แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้พลางส่ายหน้าไปมาอย่างไม่แคร์ใดๆ
“แล้วลูกชายคุณล่ะ? วันนั้นก็แสดงบทพระเอกไร้หัวใจได้เนียนมากนี่ แถมยังแย่งไมค์คนอื่นกลางเวทีอีก!”
“นั่นเรียกว่าความมั่นใจ ไม่ใช่แย่ง!”
เกรียงไกรเถียงไม่ลดละ ซึ่งศักดิ์อนันต์ก็ไม่ยอมเหมือนกัน
“แต่ผมเรียกว่าก้าวร้าว!”
“แล้วลูกสาวคุณล่ะ? ด่าคนกลางห้องประชุมเหมือนอยู่ในตลาดสดเลยนะ!”
สองหนุ่มใหญ่ของสองตระกูลเริ่มเถียงกันเสียงดังขึ้น อย่างไม่มีใครยอมใคร จนบรรยากาศรอบตัวแทบจะไม่ต่างจากสนามมวย
“ขออภัยครับ...”
ธนาที่นั่งเงียบฟังทั้งคู่สาดน้ำลายใส่กันมาสักพักเอ่ยแทรกขึ้น
“ทางเลือกของคุณทั้งสองคน... มีแค่สองทางครับ”
เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ให้ถ้อยคำซึมลึกเข้าไปในความคิดของทุกคน
“หนึ่ง ทำยังไงก็ได้ให้ลูกๆ ของพวกคุณ ยอมตกลงแต่งงานกัน เพื่อรวมพลังของทั้งสองตระกูล และฟื้นภาพลักษณ์ของบริษัทให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”
เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“หรือสอง...”
ธนาปิดแฟ้มในมือลงเบาๆ ราวกับต้องการส่งสัญญาณเตือนบางอย่างออกมา
“ยอมรับความจริง ว่าทุกอย่างที่คุณทั้งคู่สร้างกันมาหลายสิบปี... กำลังจะพังลงตรงหน้าด้วยทิฐิของพวกคุณ...”
ประโยคนั้นเหมือนการเส้นขีดใต้ที่ตอกย้ำความจริงว่า...
สถานการณ์ในตอนนี้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของทะเลาะกันของเด็กสองคนอีกต่อไป แต่มันคือเรื่องของอาณาจักรทั้งสองฝั่ง ที่อาจจะไม่มีวันฟื้น ถ้ายังเอาแต่อวดดีใส่กันไม่หยุดแบบนี้