ตอนที่ 4

1582 คำ
ห้องทำงานของประธานบริษัทอัครเศรษฐ์ กรุ๊ป เงียบสงัดจนน่าอึดอัด แสงแดดยามเย็น สาดส่องพาดลงบนโต๊ะกระจกใสสะอาด เสียงเข็มนาฬิกาบนผนังคือสิ่งเดียวที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในห้องนี้ สิรณัฐ ยืนพิงโต๊ะไม้ด้านข้าง สองมือกอดอกแน่น ใบหน้าตึงเครียด แววตาขุ่นเคืองปะปนกับความไม่เชื่อ ในขณะที่บิดาของเขา คุณเกรียงไกร นั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะ ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉียบเกินกว่าจะคาดเดาอารมณ์ได้ “คุณพ่อพูดเล่นใช่ไหมครับ” เสียงสิรณัฐแหบต่ำเล็กน้อย เพราะพยายามกลั้นอารมณ์ไว้เต็มที่ “พ่อพูดจริง” เกรียงไกรตอบสั้นๆ เรียบๆ แต่จริงจังพอจะกดบรรยากาศทั้งห้องให้หนักกว่าเดิม “ไม่มีทาง ผมไม่มีวันแต่งงานกับยัยนั่นหรอกครับ” สิรณัฐตอกกลับทันที ดวงตาวาววับด้วยความไม่พอใจชัดเจน “เจ้านัฐ...” “ผมไม่แต่งครับ” เสียงของเขาแข็งขึ้น ใบหน้าและแววตาเต็มไปด้วยการต่อต้านอย่างสุดขีด ผู้เป็นพ่อยังคงนั่งนิ่ง ก่อนจะพูดเสียงราบเรียบแต่แทงลึก “งั้นก็เตรียมตัวลาออกจากตำแหน่งผู้สืบทอดได้เลย แล้วโปรเจกต์ทั้งหมดที่แกสร้างไว้... ฉันจะโอนให้คนอื่นดูแลแทน” คำพูดนั้นทำให้ร่างสูงสะอึกเล็กน้อย มือที่กอดอกอยู่คลายออกเล็กน้อย นิ้วมือกระตุกเบาๆ โดยไม่รู้ตัว “คุณพ่อขู่ผมเหรอครับ?” “เปล่า...” เกรียงไกรตอบด้วยสีหน้าเรียบสนิท “นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่มันคือคำสั่ง” ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง เหลือเพียงลมหายใจหนักๆ ของสิรณัฐ ชายหนุ่มหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ดวงตาขุ่นมัวด้วยอารมณ์หลากหลาย “แต่ผมจะแต่งงานกับผู้หญิงที่กัดผมทุกครั้งที่เจอหน้าได้ยังไงกันครับ” “มันคือการแต่งงานทางธุรกิจ แกจะไปใส่ใจอะไรหนักหนา” “แค่แพ้ดีลเดียว คุณพ่อถึงขั้นจะขายลูกชายตัวเองให้ศัตรูเลยเหรอครับ” เสียงเขาแฝงความผิดหวัง ปะปนกับโทสะที่ยากจะกลืน “แต่ที่แพ้...” เกรียงไกรจ้องมองลูกชายตรงๆ “ก็เพราะแกมัวแต่กัดกับเด็กนั่นบนเวทีไม่ใช่เหรอ” “ยัยนั่นกัดผมก่อน!” เขาสวนกลับแทบจะทันที ใบหน้าแดงก่ำทั้งเพราะอารมณ์และความอึดอัดที่เริ่มบีบคั้นจนแทบระเบิด “พอแล้ว!” เสียงของเกรียงไกรดังมากขึ้น จนบรรยากาศรอบห้องยิ่งตึงเครียด “แกเลิกพูดมาก แล้วตอบมาให้ชัดๆ ว่าจะแต่ง หรือไม่แต่ง” สิรณัฐไม่ตอบทันที เขาหันหน้าหนี ดวงตาแดงเล็กน้อยเพราะกำลังข่มโทสะเอาไว้เต็มที่ “แล้วทำไมต้องเป็นยัยนั่นด้วยครับ...” เสียงของสิรณัฐแผ่วเบาราวกับคนที่หมดแรงต่อรอง “ทั้งชีวิตนี้ผมไม่เคยเถียงกับใครแล้วเหนื่อยเท่ายัยนั่นเลย... พ่อก็เห็น” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยี้หน้าตัวเองเหมือนพยายามปลุกให้หลุดจากฝันร้าย “ฉันไม่ได้ให้แกไปเถียงกับเด็กนั่น” ผู้เป็นพ่อวางแขนลงบนโต๊ะ แล้วเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย สายตาแน่วแน่ “ฉันแค่ต้องการให้แก เอาชนะ เด็กนั่น... ทำได้ไหม?” สิรณัฐเหลือบมองบิดาด้วยความไม่แน่ใจ “เอาชนะเหรอครับ?” “ใช่” เกรียงไกรพยักหน้า “แกเป็นผู้ชาย ทำให้เด็กนั่นหลงหัวปักหัวปำ แค่นั้นเอง มันง่ายจะตายไป” “คุณพ่อคงไม่ได้จะให้ผม...” สิรนัฐขมวดคิ้ว ก่อนจะเบิกตาเล็กน้อย “ถึงขั้นนอนกับยัยนั่นหรอกใช่ไหมครับ” คนพูดเต็มไปด้วยความสยดสยอง “ฉันไม่ได้บังคับอะไรแก แค่อยากให้แกเป็นคนควบคุมทุกอย่างเท่านั้น” เกรียงไกรแค่ยักไหล่เล็กน้อย “เรื่องง่ายๆ แบบนี้ แกทำได้อยู่แล้ว ฉันมั่นใจ” พ่อมั่นใจเหรอ... แต่เขา... เขากลับรู้สึกไม่มั่นใจเลย... สิรณัฐยืนนิ่ง ราวกับคนที่เพิ่งถูกมัดมือแล้วผลักให้ขึ้นไปบนเวทีต่อสู้ โดยที่สองมือไร้อาวุธ เพราะแค่คิดว่าจะต้องใช้ชีวิตใต้หลังคาเดียวกันกับ ‘ศัตรูคู่อาฆาต’ อย่างวราลีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง... เขาก็แทบเป็นบ้าอยู่แล้ว! ห้องรับรองส่วนตัวของตระกูลธาดาธรรมตกอยู่ในความเงียบผิดปกติ เพราะแม้จะอยู่กลางบ้าน แต่บรรยากาศกลับอึมครึมเหมือนพายุฝนกำลังตั้งเค้า วราลีก้าวเข้ามา เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นไม้ดังแผ่วๆ ชุดสูทคัตติ้งเนี้ยบแนบตัวบ่งบอกถึงวันทำงานที่จริงจัง หล่อนไม่ได้พูดอะไร สีหน้านิ่งเฉยอย่างคนที่พยายามเก็บอารมณ์ไว้ แต่ดวงตากลับสะท้อนความเหนื่อยล้าและรำคาญใจบางอย่างออกมา จนเห็นได้อย่างชัดเจน “คุณพ่อคุณแม่มีอะไรเหรอคะ ถึงเรียกหนูกลับมาด่วนแบบนี้” หล่อนถามทันทีที่เห็นคุณพ่อและคุณแม่ของตัวเองนั่งอยู่ด้วยกัน คุณศักดิ์อนันต์ วางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น คุณนวลจันทร์เม้มปาก ก่อนจะเปรยด้วยน้ำเสียงช้าและเบา “วุ้น... ลูกต้องแต่งงาน” คำพูดนั้นทำเอาวราลีชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ “อะไรนะคะ? แต่งงานเหรอคะ?” วราลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิม “นี่คุณแม่เล่นมุกใช่ไหมคะ?” ศักดิ์อนันต์ สบตากับภรรยาเล็กน้อย ก่อนหันกลับมามองลูกสาวตรงๆ น้ำเสียงนิ่ง เรียบ และชัดเจน “นี่ไม่ใช่การล้อเล่น ทางเดียวที่จะกู้ภาพลักษณ์ของบริษัทได้ คือรวมธุรกิจกับฝั่งอัครเศรษฐ์ และวิธีที่เร็วที่สุด คือการแต่งงานระหว่างลูกกับสิรณัฐ” ห้องทั้งห้องเงียบสนิทไปชั่วอึดใจ ก่อนที่เสียงของวราลีจะดังขึ้นอย่างไม่เชื่อหู “อะไรนะคะ!?” หญิงสาวเบิกตา ใบหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างชัดเจน “ให้หนูแต่งงานกับ... สิรณัฐ? ผู้ชายที่หนูกัดจนเสียงแหบตั้งแต่อนุบาลเหรอคะ?” หล่อนหันมองพ่อกับแม่สลับกันไปมา ราวกับกำลังหาทางรอดจากฝันร้าย “คุณพ่อกับคุณแม่ไม่สบายใจตรงไหนหรือเปล่าคะ? หนูควรเรียกรถพยาบาลไหม?” ผู้เป็นแม่นั่งนิ่งเงียบ และหลบตา ในขณะที่บิดาของหล่อนนั่งนิ่ง ไม่โต้แย้งอะไร นั่นยังทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนโลกจะระเบิด “อย่า... บอกนะว่ามันเป็นเรื่องจริง...” ในที่สุดวราลีก็พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง และตื่นตกใจ “ใช่ มันเรื่องจริง วุ้น” เสียงของแม่เบาลง แต่ชัดพอจะทิ่มแทงหัวใจของหล่อน หล่อนหัวเราะออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ ริมฝีปากยกขึ้นเหมือนขำ แต่แววตาไม่หลงเหลือความขบขันเลย “ผู้ชายคนนั้นกัดหนูทุกครั้งที่เจอหน้า! แขวะหนูกลางห้องประชุม ทำให้หนูอับอายต่อหน้าคนทั้งประเทศ แล้วคุณพ่อคุณแม่ยังจะให้หนูแต่งงานกับเขาอีกเหรอคะ?!” “เพราะมันจำเป็น” เสียงของพ่อเรียบนิ่ง แต่หนักแน่นเหมือนเอาค้อนทุบลงบนโต๊ะ “จำเป็นยังไงคะ?” เสียงของหล่อนเริ่มสั่นนิดๆ เหมือนจะเชื่อ แต่ก็ยังพยายามหาทางปฏิเสธ “ถ้าหนูไม่แต่ง... บริษัทจะล่มจมเลยเหรอคะ?” “มันไม่ใช่แค่บริษัทที่จะล่มจม” ศักดิ์อนันต์ตอบชัด “แต่มันคือชื่อเสียงของตระกูลธาดาธรรม และลูก... มีหน้าที่รักษามันเอาไว้” วราลีหัวเราะในลำคอ ส่ายหน้าเบาๆ อย่างคนที่อยากหนีความจริง “คุณพ่อกำลังจะเอาลูกสาวไปแลกกับธุรกิจอย่างงั้นเหรอคะ?” “มันคือการลงทุนที่ฉลาดที่สุดในตอนนี้” ผู้เป็นบิดาตอบทันควัน “และคนที่จะทำให้ดีลนี้เกิดขึ้นได้... มีแค่ลูกคนเดียว” วราลีเงียบไปนาน นานจนแม่ของหล่อนหันมองอย่างเป็นห่วง “หนูจะแต่งงานกับผู้ชายที่มองหนูเหมือนแมลงสาบได้ยังไงกันคะ” หล่อนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทรุดตัวนั่งลงช้าๆ บนโซฟา ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย “ลูกเองก็มองหมอนั่นเหมือนอาชญากรข้ามชาติเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” บิดาแย้งขึ้น เสียงนิ่ง แต่ตรงไปตรงมา และถูกต้องทุกคำ “ก็หมอนั่นมันน่าหมั่นไส้จริงๆ นี่คะ!” วราลีโพล่งขึ้นทันที “ทั้งหลงตัวเอง เย็นชา ปากดี ขี้แขวะ...” หล่อนหอบหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย และยังคงพูดต่อ “และยังมีพรสวรรค์เฉพาะตัวในการทำให้หนูอยากปาแจกันใส่ทุกครั้งที่คุยกันอีกด้วย!” “ถึงจะเคยเป็นแบบนั้น...” ศักดิ์อนันต์พูดต่อ น้ำเสียงของเขาอ่อนลงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา “แต่จากนี้ไป ลูกต้องสงบศึกกับเขาให้ได้” “แต่หนู...” วราลีอ้าปากจะเถียง แต่คำพูดกลับค้างคาอยู่ในลำคอ มือของแม่แตะเบาๆ บนหลังมือของหล่อน อุณหภูมิอ่อนโยนนั้นค่อยๆ ละลายความแข็งแรงในหัวใจไปทีละนิด “ถือว่า... ช่วยให้พ่อกับแม่สบายใจเถอะนะ วุ้น แม่ขอ...” เสียงของแม่อ่อนลง มันคล้ายอ้อนวอนมากกว่าบังคับ “แค่ให้มันผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ก่อนนะลูกนะ…” วราลีก้มหน้า มือข้างหนึ่งกำชายกระโปรงแน่นจนสั่นเล็กน้อย ขอบตาร้อนผ่าว แต่ยังแข็งใจไม่ปล่อยหยดน้ำใดไหลลงมา หล่อนเงียบอยู่นาน ไม่มีคำพูด มีเพียงลมหายใจเฮือกหนึ่งที่หลุดออกมาช้าๆ เหมือนคนที่หมดแรงต้าน “แค่ปีเดียวนะคะ...” หล่อนเงยหน้าขึ้น ก่อนจะพูดช้าๆ ชัดๆ แต่หนักแน่น “หนูยอมแค่ปีเดียวเท่านั้น”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม