ตอนที่ 5

1559 คำ
ห้องประชุมกลางของอาคารธุรกิจร่วมถูกจัดแต่งอย่างหรูหรา เฟอร์นิเจอร์โมเดิร์นสีเทาขาววางเรียงอย่างมีระเบียบ เสียงเครื่องปรับอากาศเดินเบาราวกับอยากให้ทุกคนได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเอง วราลี เดินเข้ามาก่อนเวลาเล็กน้อย เพราะมารดากำชับมาว่าให้ ‘ทำตัวเป็นมืออาชีพหน่อย อย่าทำให้ใครดูถูกได้’ หญิงสาวสวมสูทเข้ารูปสุดเพอร์เฟ็ค เส้นผมผูกเป็นหางม้าเรียบตึง ดวงตาคมแต่หวานอยู่ใต้กรอบหน้าที่แต่งมาอย่างไร้ที่ติ และทันทีที่หล่อนก้าวเข้ามาถึง บานประตูอีกฝั่งก็เปิดออกพอดีเช่นกัน สิรณัฐ ก้าวเข้ามาช้าๆ ในสูทสีเทาเข้มเรียบหรูดูดี ใบหน้าหล่อจัดไร้ความรู้สึก และแววตาก็เย็นชาเหมือนกับทุกครั้งที่เคยเจอ ทั้งคู่หยุดกึก เมื่อเห็นกัน ไม่มีคำทักทาย ไม่มีคำว่า สวัสดี มีแค่การจ้องหน้ากันเต็มแรง ราวกับกำลังจะล้วงตับกันด้วยสายตา “แหม… บังเอิญจังเลยค่ะ” วราลีเปิดฉากด้วยรอยยิ้มหวาน แต่สายตาคมเฉียบเหมือนมีดโกน “ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอ เจ้าบ่าวในนรก เร็วขนาดนี้” สิรณัฐปรายตามองขึ้นเล็กน้อย มุมปากกระตุกคล้ายจะยิ้ม แต่มันคือรอยยิ้มเยาะเสียมากกว่า “ฉันก็หวังว่าจะเจอ ‘ว่าที่ภรรยาที่เสียงดังยิ่งกว่าสัญญาณไฟไหม้’ ช้ากว่านี้สักหน่อย… แต่โชคคงไม่เข้าข้างเลย...” “แล้วทำไมไม่เดินหนีล่ะคะ?” หล่อนเอียงหน้าเล็กน้อย แกล้งทำเสียงหวานเจือเย้ย “หรือว่าจริงๆ แล้ว นายหลงเสน่ห์ฉันเข้าให้แล้ว?” “เธอนี่มันหลงตัวเองได้เสมอต้นเสมอปลายเหมือนน้ำเสียงแสบแก้วหูของเธอเลยนะ” วราลีหัวเราะเบาๆ ขยับเข้าไปอีกก้าว “อย่างน้อยฉันก็ยังมี ‘เสียง’ นะคะ ไม่เหมือนคนบางคน... ที่ไร้ความรู้สึก จนฉันไม่แน่ใจว่าเป็นมนุษย์ หรือหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมมากันแน่” สิรณัฐหัวเราะในลำคอ ก่อนจะโน้มหน้าเข้าใกล้หล่อนเล็กน้อย ระยะห่างของทั้งคู่ เหลือเพียงลมหายใจ “แต่สุดท้ายเธอก็ต้องแต่งกับหุ่นยนต์ตัวนี้อยู่ดี” “แล้วนายคิดว่าฉันอยากแต่งหรือไงยะ” วราลีเชิดหน้า พยายามข่มอารมณ์เดือดเอาไว้สุดกำลัง “ฉันน่ะรังเกียจนาย รังเกียจสุดขั้วหัวใจ จำเอาไว้ด้วย!” สิรณัฐยิ้มอย่างผู้ชายที่สนุกกับการได้เห็นคู่สนทนาเดือดพล่าน “ระวังหัวใจตัวเองเอาไว้ให้ดีๆ นะ เพราะฉันน่ะเสน่ห์แรงมาก” “แหวะ จะอ้วก!” วราลีเบ้ปากมองเขาอย่างหมั่นไส้ “นายต่างหากที่ต้องระวัง เพราะฉันน่ะสวย น่ารัก และก็มีเสน่ห์ ผู้ชายที่ไหนก็ต้านไม่ได้ อย่ามาคุกเข่าขอความรักจากฉันก็แล้วกัน” “อย่าหลงตัวเองนักเลยแม่คุณ” น้ำเสียงเขาแผ่วลง ขยับเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นกระทบแก้ม “ถึงฉันจะชอบมีเซ็กซ์ไปทั่ว แต่ฉันก็เลือกนะ ไม่ใช่ไม่เลือก” เขาเลื่อนสายตามองต่ำเจตนา ก่อนจะกระซิบเบาๆ ข้างหู “โดยเฉพาะกับ ‘สินค้าด้อยคุณภาพ’ อย่างเธอ ฉันไม่เสียเวลาแม้แต่จะเปิดกล่องด้วยซ้ำ” วราลีชะงัก ดวงตาวาวโรจน์ หล่อนกำหมัดแน่น แต่ยังกัดฟันไม่พูดต่อ “นายนี่มัน… น่าขยะแขยงยิ่งกว่ากลิ่นน้ำหอมผู้ชายปลอมๆ ตามเคาน์เตอร์ลดราคาอีกนะ แค่ยืนใกล้ๆ ก็เหมือนสูดสารพิษเข้าไปเต็มปอด” ทั้งสองยืนจ้องกันราวกับพร้อมจะกระโจนใส่กันได้ทุกวินาที ระยะห่างใกล้จนแทบสัมผัสกัน แต่ไม่มีใครขยับ ต่างฝ่ายต่างท้าทายผ่านดวงตา จนประตูเปิดออก “เอ่อ... เรามาเริ่มประชุมกันเลยนะคะ...” เสียงเลขาฯ สาวดังขึ้นพอดิบพอดี พร้อมรอยยิ้มสดใส ราวกับไม่รู้ว่าเพิ่งหยุดสงครามโลกได้แบบเฉียดฉิว สิรณัฐถอยหลังออกมาครึ่งก้าว แต่มุมปากยังคงติดรอยยิ้มจางๆ ส่วนวราลี สูดหายใจลึก ก่อนปรับสีหน้าให้เรียบเฉย และเดินผ่านเขาไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองอีก แต่ในขณะที่วราลีเดินผ่านไป สิรนัฐก็ยังคงมองตามร่างอรชรไปโดยไม่รู้ตัว แผ่นหลังของหล่อน... เรียวขาที่โผล่พ้นชายกระโปรง... และกลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำหอมที่หล่อนใช้ มันยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ และมันก็ทำให้ร่างกายของเขา ร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เสียงไวโอลินคลอแผ่วเบาในห้องจัดเลี้ยงหรูของโรงแรมระดับห้าดาว คริสตัลจากโคมไฟระย้า สะท้อนแสงวิบวับ ราวกับดาวพันดวงที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ งานแต่งแห่งปีถูกจัดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ มีแขกผู้ใหญ่ นักธุรกิจ เซเลบริตี้ และสื่อมวลชนระดับประเทศมาร่วมเป็นสักขีพยาน ทุกอย่างสวยงามหมดจด ยกเว้น... สิ่งสำคัญที่สุดสองอย่าง เจ้าบ่าว กับ เจ้าสาว ไม่มีใครยิ้มเลยแม้แต่นิดเดียว วราลียืนอยู่ข้างเวทีในชุดเจ้าสาวผ้าลูกไม้สีงาช้าง ชุดเข้ารูปเว้าช่วงเอวเผยให้เห็นทรวดทรงสมบูรณ์แบบ เครื่องประดับเรียบหรู ผิวเนียนไร้ที่ติ ริมฝีปากแดงสดถูกแต่งแต้มอย่างเย้ายวน แต่สิ่งที่ฉายชัดกว่าความสวย คือดวงตาคมเฉียบที่เหวี่ยงใส่เจ้าบ่าวแบบเงียบๆ สิรณัฐ สวมทักซิโด้ดำสนิท ตัดกับผิวขาวและผมสีน้ำตาลเข้มที่เซ็ตไว้อย่างเนี้ยบ หล่อ... หล่อจนเหมือนหลุดมาจากปกนิตยสาร เขาไม่ได้ยิ้ม แต่สายตาก็ไม่หลบจากเจ้าสาวแม้แต่เสี้ยววินาที สวยขนาดนี้ น่าแกล้งให้ร้องไห้กลางเวทีจริงๆ วราลีเองก็เช่นกัน หล่อนมองสำรวจเขา และก็เห็นว่าเขาหล่อจนขัดใจ และยิ่งเขานิ่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าหมั่นไส้มากเท่านั้น ทำไมต้องหล่อในวันแต่งงานกับฉันด้วยยะ! แขกผู้ใหญ่ทยอยขึ้นมาอวยพร ในขณะที่พิธีกรยืนยิ้มกลางเวที ก่อนจะพูดออกไมค์ด้วยน้ำเสียงสดใส “และแน่นอนค่ะ... มาถึงช่วงที่หลายคนรอคอยแล้วนะคะ... ขอเสียงปรบมือด้วยค่ะ กับ... จูบแรกของเจ้าบ่าวเจ้าสาวค่ะ!” เสียงปรบมือพรึ่บขึ้นแทบจะในวินาทีเดียว แฟลชกล้องวาบจ้าจนแสบตา วราลี หันขวับไปมองพิธีกร ตาโตขึ้นนิดๆ “ไม่ค่ะ... ไม่จูบ” หล่อนยิ้มเจื่อนๆ แล้วสะกิดคนข้างตัว “ฉันไม่เล่นอะไรงี่เง่าแบบนี้นะ!” สิรณัฐ หัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดติดตลกออกไป “ไม่เอาเหมือนกันครับ ผมกลัวเจ้าสาวกัดปาก” เสียงหัวเราะจากแขกดังขึ้นบางเบา แต่พิธีกรยังไม่ยอมแพ้ “แหม... คนรักกัน เขาไม่กัดปากกันแรงหรอกค่ะ...” หึ... ถ้าพิธีกรรู้จักพวกเราจริง จะไม่พูดแบบนั้นเลย วราลี กำลังจะถอนหายใจโล่งอก แต่แล้งหล่อนก็รู้สึกได้ถึงมือใหญ่ที่ยื่นมาโอบเบาๆ ตรงเอวคอด “เดี๋ยว! นายจะทำอะไร?!” สิรณัฐ ยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่ดูยังไง ก็แปลว่า ‘หาเรื่อง’ “ก็... จูบไง” “ฉันบอกว่าไม่... อื้อ!” สิรณัฐคว้าคางของหล่อนเอาไว้แน่นก่อนจะโน้มหน้าเข้ามา และในวินาทีถัดมา ริมฝีปากเขาก็ปิดปากของวราลีอย่างจงใจ จูบแรกของทั้งคู่ ไม่หวาน ไม่อ่อนโยน ไม่โรแมนติก แต่มันคือ... สงครามกลางงานแต่ง เขากัดเบาๆ ที่มุมปากหล่อน ในขณะที่หล่อนกัดกลับ เขาบีบเอวคอดของหล่อนแรงๆ ซึ่งหล่อนก็เหยียบขยี้ปลายเท้าของเขาสุดแรงเช่นกัน แต่ต่อหน้าคนทั้งงาน ภาพที่สะท้อนออกมา มันดูเหมือนฉากรักเร่าร้อนของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่คลั่งรักกันสุดใจ เสียงปรบมือดังสนั่น แฟลชกระพริบวาบ สิรณัฐผละออกเล็กน้อย ริมฝีปากยังแตะอยู่ใกล้ๆ “แหม... รสชาติดีกว่าที่คิดนะ” สายตาของคนพูดสายตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ “กรุบๆ เผ็ดๆ เหมือนกินพริกไทยป่นใส่ปากนิดหน่อย” วราลี จ้องหน้าเขาราวกับอยากเอามีดปอกผลไม้เสียบหัวใจ มือเล็กยกขึ้นปาดริมฝีปากแดงสดของตัวเองที่ตอนนี้เห่อบวมขึ้นเล็กน้อย “กล้าดียังไงถึงเอาปากสกปรกๆ ของนายมาจูบฉัน!” สิรณัฐยักไหล่ มองหน้ากวนๆ “อย่าโทษฉันสิ เธอทำหน้าเหมือนอยากให้จูบเองนี่” “เพ้อเจ้อ!” วราลีกัดฟันกรอด “ฉันน่ะอยากเอาเท้าเตะปากนายมากกว่า! นี่ถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ฉันคงเอาไมค์ฟาดใส่หน้านายไปแล้ว!” สิรณัฐยิ้ม... ยิ้มแบบผู้ชายที่รู้ว่ากำลังทำให้อีกคนคลั่ง “เอาไว้ฟาดฉันแรงๆ ตอนที่เราสองคนอยู่บนเตียงด้วยกันก็ได้นะ” “ไอ้...!!” วราลีแทบจะถอดรองเท้าส้นสูงปาใส่ แต่ก่อนที่หล่อนจะได้ลงมือจริง เสียงพิธีกรก็ดังกังวานขึ้นเสียก่อน “โอเคค่าา... เจ้าบ่าวเจ้าสาวเขาแกล้งกันน่ารักมากเลยค่ะ! ฮ่าๆ ไปถ่ายภาพหมู่กันต่อเลยนะคะ!” สิรณัฐ แอบหัวเราะในลำคอ ในขณะที่ วราลี เดินสะบัดหน้า ปากเม้มแน่น แต่ใบหน้าร้อนฉ่าจนรู้สึกเหมือนหน้าตัวเองกำลังไหม้ แต่สิ่งที่ร้อนกว่า... คือความรู้สึกในหัวใจ เพราะตอนนี้หล่อนแยกไม่ออกเลยว่า สิ่งที่กำลังวิ่งวนอยู่ภายในหัวใจ มันคืออะไรกันแน่ ระหว่าง ‘โกรธ’ หรือ ‘เขินอาย’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม