“นั่งก่อนสิ” เสียงที่พยายามแสดงออกถึงความเฉยเมยสั่งให้หญิงสาวนั่งลงข้างๆ ตนเอง
“นั่งที่อื่นไม่ได้เหรอ” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน เพราะไม่อยากเข้าใกล้เขาเท่าใดนัก
“ไม่ได้ นั่งตรงนี้แหล่ะ ไม่รู้จักใครนอกจากพี่ อย่าทำเกินกว่าที่สั่ง” เสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความไม่พอใจเมื่อรู้ว่าหญิงสาวมีท่าทีจะปฏิเสธการนั่งใกล้ๆ เขา
“เผด็จการที่สุด” เดือนแรมบ่นอุบ แต่ก็ยอมนั่งลงเพราะเริ่มมีหลายสายตาจดจ้องมาที่เธอ และเธอก็ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาใครต่อใคร เธอมาที่นี่เพื่อหาข้อมูลทำงานวิจัยเท่านั้น หลังจากนี้เธอคงจะไม่มาที่นี่อีก เพราะเจ้าของที่นี่นั่นเอง
“พูดเหมือนไม่เคยรู้จักพี่” ภวัตเอ่ยออกมาเบาๆ
“ก็เพราะรู้จักสิคะก็เลยพูดแบบนี้” เดือนแรมสวนกลับทันควัน
“เอาล่ะ อย่ามาทะเลาะกันต่อหน้าคนอื่นเลย เอาไว้อยู่สองคนแล้วค่อยแสดงตัวตน เดี๋ยวพี่จะแนะนำให้รู้จักทุกคนบนโต๊ะนะ” ภวัตเอ่ยออกมาเพราะรู้ว่าตนเองและหญิงสาวเริ่มเป็นจุดสนใจของคนทั้งโต๊ะ มัวแต่กระซิบกันอยู่มันเสียมารยาท
“ได้ค่ะ” เดือนแรมตอบทันที เพราะเธอก็รู้สึกว่าทั้งเธอและเขาเริ่มเสียมารยาทบนโต๊ะอาหาร
“นี่คุณปราการ ผู้จัดการรีสอร์ท” ภวัตเอ่ยแนะนำคนแรกให้หญิงสาวรู้จัก เขาเป็นคนหนุ่มที่อายุไม่น่าจะเกินสี่สิบปี
เขากำลังส่งยิ้มหวานให้เธอ สัญชาตญาณหญิงสาวกำลังบอกว่าผู้ชายคนนี้อันตราย น่าจะเจ้าชู้น่าดู เธอจึงส่งยิ้มไปตามมารยาทเท่านั้น
“ส่วนคนต่อมา นี่คือคุณรสรินทร์ เป็นผู้จัดการแผนกต้อนรับ” ผู้หญิงคนถัดไปยิ้มให้เธอด้วยความเป็นมิตร แต่ปราการก็ยังไม่ละสายตาจากเธอและส่งยิ้มหวานให้เธอเสียจนเธอรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวไหว้ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะรสรินทร์ก็น่าจะเป็นอีกคนที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยของเธอได้เยอะเหมือนกัน
“สวัสดีค่ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับคุณเดือนนะคะ ถ้าอยากได้ข้อมูลอะไรถามพี่ได้เสมอนะ” รสรินทร์ตอบกลับมาด้วยแววตาเป็นมิตร
“ได้ค่ะ ได้ไปรบกวนบ่อยๆ แน่นอนค่ะ” เดือนแรมตอบออกไปด้วยรอยยิ้ม
“ส่วนคนสุดท้าย นั่นคือคุณชัชพงษ์ หัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงที่นี่” ภวัตแนะนำต่อ
“สวัสดีค่ะ” เดือนแรมก็รีบยกมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อม ชัชพงษ์เป็นชายวัยกลางคนที่มีท่าทางนิ่งๆ แต่ดูน่าเกรงขามคนหนึ่งเลยทีเดียว