สมรภูมิรบบนโต๊ะอาหาร
'เธออย่าคิดนะว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้ เพราะฉันไม่เคยสนใจเงินของเธอแม้แต่แดงเดียว'
'ผู้หญิงอย่างเธอมันง่าย ใครขอก็ให้เขาไปหมด'
'เป็นบ้าหรือไงฮะ ตามราวีฉันอยู่ได้เธอเป็นแฟนนะไม่ใช่ปลิง'
'ยัยบ้าเอ้ย! เธอทำอะไรวะกล้าตบหน้าฉันเหรอยัยโรคจิต'
ในโลกนี้สิ่งที่คนมักถวิลหามากที่สุดรองจากเงินทองที่ไว้ใช้เลี้ยงปากท้องก็คงเป็น 'ความรัก' คนมักคิดว่ามีมันแล้วชีวิตจะสมบูรณ์มีความสุข แต่หารู้ไม่ว่ามันคือกับดัก มันคือสิ่งหลอกล่อให้คนเชื่อและไขว้คว้าหา แต่สุดท้ายสิ่งที่คุณได้กลับมาก็มักจะเป็นความเจ็บปวด สูญเสีย ความรู้สึกใจสลายเหมือนโลกทั้งใบได้พังทลายลง มันร้ายแรงเกินกว่าที่ใครหลายคนจินตนาการไว้
ความรักฆ่าคนได้ คำนี้ไม่เกินจริงเลยสักนิดเพราะมันเคยคร่าชีวิตแม่ของเธอมาแล้ว...
ก็อกๆ ก็อกๆ
เสียงเคาะประตูดึงให้หญิงสาวสวยในชุดเดรสสีแดงเกาะอกสั้นจุ๊ดจู๋ลืมตาขึ้นด้วยอาการงัวเงีย ผมสีชานมที่เพิ่งทำมาใหม่พันยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เธอเกลี่ยผมหน้าม้าและรวบตึงผมเผ้ารุงรังขึ้นไปมัดดังโงะก้อนใหญ่ไว้บนหัว ลากสังขารที่ยังไม่ค่อยมีสติเดินโซซัดโซเซมาเปิดประตู
ทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงวัยสามสิบต้นคนหนึ่งในชุดแม่บ้านก็เริ่มมีสีหน้าแปลกไปท่าทางนั้นดูหน่ายใจเจ้าของห้องเหลือเกิน เธอยกมือขึ้นพัดวีกลิ่นเหม็นคลุ้งแอลกอฮอล์ที่ลอยมาเตะจมูก ก่อนจะชักสีหน้าเล็กน้อย
“คุณผู้หญิงให้มาตามลงไปกินข้าวค่ะ”
“สาระแน”
“นี่คุณ!”
ปึง!
ไม่ทันรอฟังที่แม่บ้านคนดังกล่าวพูดให้จบ อังเปาก็ปิดประตูใส่หน้าเธอ เดินกลับมาที่เตียงนอนทิ้งร่างไร้เรี่ยวแรงแผ่ลงบนเตียงกว้าง ข่มตาจะหลับอีกครั้งแต่ทว่าเมื่อตาสว่างแล้วจะให้หลับอีกครั้งก็เป็นเรื่องยากและคำพูดของยัยแม่บ้านนั่นก็ทำให้เธอหลับไปลงด้วย
คุณผู้หญิงงั้นเหรอ หึ!
ตึง ตึง ตึง!
หลังจากใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวได้ไม่นานร่างบางในชุดนักศึกษารัดรูปสวมกระโปรงทรงเอสั้นจุ๊ดจู่ก็เดินหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนมใบโปรดลงมาที่โต๊ะอาหาร สายตาหลายคู่จับจ้องมองเธอแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจเดินเข้ามานั่งลงประจำที่ของตัวเอง
“ไปเปลี่ยนชุด”
ชายวัยกลางคนรูปร่างภูมิฐานผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยเสียงเข้มตวัดสายตามองหน้าลูกสาวคนโต เธอมองกลับพร้อมกับเหยียดยิ้มมุมปาก
“อะไรกันคะพ่อ นี่มันชุดนักศึกษานะหรืออยากให้หนูเปลี่ยนเป็นใส่บิกินี่แทน”
“ยัยเปา! แกเลิกทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาสักทีได้ไหม ไปเปลี่ยนชุดดีๆ มาซะก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน”
“หนูไม่เปลี่ยน พ่ออยากจะชักดิ้นชักงอตายเพราะแค่หนูใส่ชุดนักศึกษาสั้นก็เชิญ”
“ปากเสีย” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นเรียกสายตาให้อังเปาหันไปมอง เธอยิ้มร้ายก่อนจะเอ่ยคำพูดเสียดสีเจ้าของเสียงนั้น
“เป็นแค่กาฝากริอาจสาระแนมาออกความคิดเห็น ช่างใจกล้าหน้าด้านเหมือนแม่นายเลยนะ”
“ยัยเปา!” คำพูดนั้นทำให้ชายเจ้าของบ้านตวาดเสียงดังใส่หน้าลูกสาวอย่างหมดความอดทน ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห
“ขอโทษน้ามารีซะ”
“ทำไมหนูต้องขอโทษยัยปลิงนี่ด้วย มันมีสิทธิ์อะไรมานั่งสาระแนอยู่ที่นี่”
“สิทธิ์ที่เขาเป็นเมียฉันและเป็นคุณผู้หญิงบ้านหลังนี้ไง”
ปึง!
โต๊ะอาหารถูกทุบอย่างแรงด้วยฝีมือของอังเปา เธอยืนขึ้นจ้องหน้าคนพูดตาเขม็ง ดวงตาแดงก่ำร่างกายสั่นเทา กามขบเข้าหากันจนเห็นเป็นสันนูน
“พอแล้วค่ะคุณอย่าไปว่าหนูเปาอีกเลย”
“ไม่ต้องไปใจดีกับมัน เด็กไร้มารยาทแบบนี้ก็ควรถูกสั่งสอน”
“หึ! ลงมือสั่งสอนหนูได้โหดดีนะ พ่อฆ่าหนูให้ตายทั้งเป็นมาสิบกว่าปีแล้วยังไม่พออีกเหรอ”
“ฉันไม่เคยฆ่าแกแถมยังเลี้ยงแกมาอย่างดี มีเงินทองให้แกถลุงเล่นมันยังไม่พออีกรึไง”
“พอสิคะ เงินทองพ่อมันล้นฟ้าอยู่แล้วหนูถลุงไปทั้งชาติก็ไม่หมด ไม่งั้นมันจะสามารถเรียกตัวเงินตัวทองให้มาอยู่ข้างกายพ่อได้เหรอ”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะพี่!”
“อย่ามาเรียกฉันว่าพี่ ฉันไม่เคยมีน้องแบบแก!”
โต๊ะอาหารเช้ากลายเป็นสมรภูมิรบในบ้าน ต่างคนต่างฟาดฟันกันด้วยคำพูดและอารมณ์ โดยเฉพาะอังเปาและอายันน้องชายต่างสายเลือดของเธอ อายันเป็นลูกติดของมารีกับสามีเก่าเธอ เขาเด็กกว่าอังเปาสองปีตอนนี้เขาอยู่ปีหนึ่งและเธออยู่ปีสาม สิบกว่าปีแล้วที่ทั้งสองคนไม่เคยลงรอยกันแต่ทว่าในหลายครั้งที่ทะเลาะก็ไม่ได้รุนแรงนัก เว้นแต่ในช่วงที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
“แกไสหัวออกจากบ้านฉันไปเดี๋ยวนี้เลย ไป!”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่อังเปาถูกไล่ออกจากบ้าน ทุกครั้งที่กลับมาและได้นั่งทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา จุดจบ...ก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา สามปีแล้วที่อังเปาย้ายออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียว
“เดี๋ยวหนูเปา”
มารีรีบวิ่งตามอังเปาออกมา หญิงสาวในชุดนักศึกษาหยุดเท้าตามเสียงเรียกหันไปเผชิญหน้ากับคนที่เธอเกลียดที่สุดในบ้านตอนนี้
“เมื่อกี้หนูยังไม่ได้กินข้าวเลยสักคำ น้าทำแซนด์วิชไว้หนูเอาไปกินที่มหาลัยนะ”
ฟึ้บ!
ถุงกระดาษที่ภายในบรรจุแซนด์วิชไว้ถูกอังเปาปัดตกไปในทันที
“พ่อไม่อยู่คุณไม่ต้องเสแสร้งหรอก”
ทันทีที่จบประโยคพ่อของอังเปาและอายันที่เดินตามออกมาก็รีบเดินมายังจุดเกิดเหตุ อายันเข้ามาโอบแม่ของเขาให้ขยับถอยห่างอังเปา ส่วนพ่อก็เลือกที่จะยืนประจันหน้ากับลูกสาว
“นี่แกทำบ้าอะไรของแก”
อังเปาแค้นเสียงหัวเราะ
“ออกมาได้จังหวะพอดีเลยนะ” คนพูดสลับไปมองหน้าแม่เลี้ยงแสนดีของตัวเอง “เธอเล่นละครเก่งกว่าที่ฉันคิดอีก ความสามารถขนาดนี้ไม่ไปเป็นดาราก็น่าเสียดายแย่”
“ขอโทษน้ามารีเดี๋ยวนี้”
สีหน้าเรียบนิ่งจ้องหน้าผู้เป็นพ่อก่อนจะสลับมองหน้าทุกคนที่ยืนเรียงตัวกันปกป้องคุณผู้หญิงของบ้าน สายตาของอังเปาในตอนนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เกลียดชัง และโกรธทุกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อที่ไม่เคยเหมือนพ่อเลยสักครั้ง
คนที่ถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาของบ้านเลือกที่จะถอยออกมาขึ้นรถของตัวเอง ขับตรงกลับไปยังคอนโดใกล้มหาวิทยาลัย พอมาถึงห้องพักเธอก็พบว่ามีถุงส้มถุงหนึ่งแขวนอยู่หน้าห้องพร้อมกระดาษข้อความหนึ่งแผ่น
‘สองวันก่อนผมรีบจนเดินชนคุณ ส้มถุงนี้แทนคำขอโทษ’
สองวันก่อน...อังเปามองกระดาษข้อความพลันหวนคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้น เมื่อสองวันก่อนขณะที่เธอกำลังเดินเข้ามาในคอนโดพร้อมกับถุงส้ม จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งออกจากลิฟต์มาชนเธอ ส้มในถุงตกกระเด็กกระดอนไปคนละทิศทาง แถมเธอยังไม่ได้รับคำขอโทษด้วย จำได้ว่าตอนนั้นอังเปาโมโหมากจนถึงขั้นไปขอนิติดูกล้องวงจรปิดเพื่อดูหน้าคนที่วิ่งมาชน แต่ชายคนนั้นสวมหมวกและแมสอำพรางใบหน้าเธอจึงไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
“รู้ได้ไงว่าฉันอยู่ห้องนี้...คงไม่ได้เป็นโรคจิตหรอกนะ!”
เข้ามาในห้องอังเปาก็วางถุงส้มปริศนาไว้บนโต๊ะห้องรับแขก จากนั้นก็นั่งจ้องมัน จ้องอยู่แบบนั้นหลายนาทีจนมีเสียงโทรศัพท์เข้า
“ฮัลโหล”
(อยู่ไหนได้เวลาเรียนแล้วรีบมา)
อังเปาลอบถอนหายใจ ได้ยินเสียงเพื่อนสนิทอย่างนะโมทีไรก็ยากจะปฏิเสธทุกที ขี้เกียจขนาดไหนหากนะโมโทรมาอังเปาก็พร้อมจะดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอนและไปเรียนทันที ไม่ใช่อะไรหรอกนะแต่หากเธอไม่ไปความบรรลัยจะเข้ามาหาในช่วงสอบ เพราะนะโมจะไม่ติวให้และหายนะของจริงจะมาถึง เพราะนักเรียนกฎหมายอย่างเธอจะให้อ่านหนังสือทั้งหมดเองก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร สำคัญคือนะโมเกร็งข้อสอบถูกต้องเสมอทำให้เพื่อนกลุ่มเธอไม่ต้องเปลืองแรงอ่านในหนังสือหนักเหมือนคนอื่น
“ไปแล้วค่า อีกสิบนาทีถึง”
(อืม อย่าลืมเอาประมวลกฎหมายมาด้วย)
“ได้ค่ะ”
ได้เวลาแบกเจ้าของหนักนี้ไปมหาลัยอีกแล้ว ความจริงฉันเขียนในไอแพดถนัดกว่าแต่นะโมน่ะสิบอกว่าให้ไปซื้อประมวลมาจดจะเข้าหัวกว่า ฉันไม่เข้าใจหรอกแต่เพื่อนว่าไงฉันก็ว่างั้นแหละ แบกก็แบกวะ ฮึ้ย!