ดวงตามนสีน้ำตาลพร่างพรายเบิกโตกลม เธอมองคนตรงหน้าด้วยความตกตะลึง นี่มันไอ้เด็กเวรอายันกาฝากต่างสายเลือดที่มาอยู่บ้านเธอชัดๆ แต่ทว่าเหมือนไม่ถูกต้อง แม้จะหน้าเหมือนกันแต่ลักษณะภายนอก...
“เปาแกเป็นอะไรไหม”
แรงเขย่าตัวของลูกตาลทำให้สติของอังเปาที่กำลังจะลอยละลิ้วหายไปกลับเข้าร่างอีกครั้ง
“อะ อ่าไม่เป็นไร”
ไม่เป็นก็บ้าแล้ว เจ็บชะมัด มือเล็กยกขึ้นมาสัมผัสแก้มนุ่มเบาๆ เธอรู้สึกได้เลยว่ามันร้อนฉ่าและเจ็บแปร๊บ แรงอัดยังทำให้มึนงงด้วยแถมตอนนี้ไอ้เด็กบ้านั่นก็วิ่งหายไปไหนแล้วไม่รู้
“ไอ้เด็กเวรนั่นล่ะหายไปไหนแล้ว” เหม่อไปแค่แป๊บเดียวเด็กนั่นก็หายไปแล้ว
“เด็ก?แกรู้จักคนที่แตะบอลอัดหน้าเหรอ”
ไม่รู้จักสิแปลก ไอ้เด็กกาฝากปากดี
“นี่” แม้ไม่ได้เอ่ยเรียกชื่อแต่อังเปาก็สัมผัสได้ว่าหมายถึงเธอ
มาสักทีนะไอ้เด็กเวร!
อ้ะ!
ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร คนที่เตะบอลอัดหน้าก็ยื่นเจลเย็นที่ถูกหุ้มไว้ด้วยผ้าขาวให้อังเปา
“ประคบซะ”
ฟึ่บ!
ไม่เพียงไม่รับเท่านั้นอังเปายังปัดมือคนที่คิดว่าเป็นน้องชายต่างสายเลือดจนเจลเย็นในมือหล่นพื้น ทุกคนต่างเหวอตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เว้นก็แต่ชายที่ประจันหน้ากับอังเปา แม้เขาจะสีหน้าเรียบนิ่งไม่สื่ออารมณ์ใดออกมา แต่นัยน์ตากลับแฝงความไม่พอใจ
“ของสกปรกจากพวกกาฝากแบบนายฉันไม่รับหรอกนะ ขยะแขยง”
“พูดบ้าอะไรของเธอ สมองเพี้ยนหรือไง”
“นายสิเพี้ยน กล้าดียังไงมาเตะบอลอัดใส่หน้าฉันฮะ”
“เธอต่างหากที่โง่เอาหน้ามารับลูกบอล เห็นอยู่ว่าเขากำลังเตะบอลในสนามก็ยังจะเดินตัดขอบสนามอีก”
“นี่แกกล้าด่าฉันเหรอ”
“ยัยประสาท!” พูดจบหนุ่มรุ่นน้องก็เดินจากไป ทิ้งให้อังเปายืนโมโหเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว
“กรี๊ดดดด!!” ความโมโหของเธอถูกกระตุ้นจนส่งเสียงกรี๊ดออกมา นะโมอาศัยความไวและอยู่ใกล้รีบเอามืออุดปากเพื่อนก่อนที่เด็กทั้งคณะวิศวะจะหันมองแล้วคิดว่าผีบ้าเข้าสิงอังเปา
“ชู่วส์ เงียบ!”
“อ๊อย!”
“ถ้าปล่อยแล้วยังกรี๊ดฉันจะตีปากแกนะ”
สิ้นเสียงขู่ นะโมก็ค่อยปล่อยมือออกจากปากอังเปา
“แหวะ เค็ม”
ลูกตาลมองอังเปาวีนใส่นะโมก็หลุดหัวเราะ ทั้งกลุ่มมีอยู่คนเดียวที่เอาอังเปาอยู่หมัด
“ค่อยๆ ลุก ล้มตึงไปฉันไม่รับนะ” ลูกตาลและขนมผิงช่วยกันประคองร่างอังเปาลุกขึ้น ตอนนี้สายตาของเพื่อนๆ ต่างจดจ่ออยู่แก้มตุ่ยๆ ของเธอ มันแดงเถือกจนเริ่มบวมเป่งออกมา
“ฉันว่าแกแวะไปหาหมอไหม มันบวมมากเลยนะ” นะโมเอ่ยเตือน
“ไม่ต้องหรอก แถวนี้มีสหกรณ์ไหมเดี๋ยวฉันจะไปซื้อน้ำแข็งมาประคบเอา”
“งั้นแกไปนั่งรอที่โรงอาหารเดี๋ยวฉันไปซื้อให้” ลูกตาลว่าจบก็ปลีกตัวไปซื้อน้ำแข็งให้เพื่อน
“นะโมทางนี้” โยธาหนุ่มหล่อขวัญใจสาวคณะวิศวะโบกมือเรียกแฟนสาว พอพวกเธอมาถึงโยธาก็ขมวดคิ้วจดจ่อสายตาอยู่ที่แก้มอังเปา
“อ้าวอังเปาเป็นอะไรอ่ะ แล้วทำไมแก้มถึง...”
“อย่าพูดถึงเลยพี่โยธา หงุดหงิด” โยธาหันมองหน้านะโม เธอยักไหล่ให้โดยไม่ได้เอ่ยตอบอะไร
“น้ำแข็งมาแล้ว”
ลูกตาลเดินหิ้วถุงน้ำแข็งยูนิตมาทั้งถุงวางลงตรงหน้าอังเปา
“นี่ซื้อมาประชดเหรอ”
“ประชดบ้าอะไรล่ะ นี่ดีนะเหลือถุงสุดท้ายพอดี”
“ว่าแต่ทำไมตอนคนนั้นเขาเอาเจลเย็นมาให้ แกถึงไปปัดตกแบบนั้นล่ะ” ขนมผิงเอ่ยถาม ซึ่งเพื่อนที่เหลือก็อยากรู้เหมือนกัน
“รังเกียจไง” เธอว่าพลางชักสีหน้า
“สรุปคือแกรู้จักเด็กคนนั้นเหรอ” นะโมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อืม มันคือไอ้อายันลูกติดเมียใหม่พ่อฉันไง”
“เดี๋ยวนะ ไหนแกบอกว่าเด็กนั่นเพิ่งเข้าปีหนึ่งคณะบริหารไม่ใช่เหรอ แต่ที่เจอวันนี้เขาใส่ช็อปของวิศวะนะ” ลูกตาลกล่าวขึ้นอย่างมีเหตุผล
“แกจำผิดหรือเปล่าเปา”
คำถามของนะโมทำให้อังเปาย้อนกลับไปขบคิดอีกครั้ง แว๊บแรกที่เจอกันเธอก็รู้สึกว่าไม่ใช่ แต่แล้วตอนเห็นหน้ามันชัดๆ เธอก็มั่นใจ แค่รู้สึกว่าทรงผมกับลักษณะท่าทางแตกต่างจากเดิม
“หรือไอ้เด็กเวรนั่นมีแฝดวะ” อังเปาโพล่งขึ้น เธอคิดเหตุผลอื่นไม่ออกแล้วนอกจากเหตุผลนี้
“แล้วเมียใหม่พ่อแกไม่เคยบอกเหรอว่ามีลูกแฝด”
“ฉันไม่เคยสนใจ ตั้งแต่แม่ฉันตายไปฉันก็เคยเจอแค่ไอ้เด็กอายัน”
“หรืออาจจะเป็นแค่คนหน้าคล้าย” ขนมผิงเสนอความเห็นอีกทาง
“เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันเกลียดไอ้เด็กนั่นอย่างกับอะไรดี มีเหรอจะจำหน้ามันไม่ได้”
ฟึ้บ!
ขณะที่ทุกคนกำลังคิดเรื่องที่อังเปาพูด จู่ๆ เจ้าตัวก็ลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอเดินออกมายังสนามบอลอีกครั้งสายตากวาดมองหาเด็กนั่น แต่แล้วกลับเจอเพียงสนามว่างเปล่า
“ไปไหนแล้วล่ะ”
“อังเปา” เสียงปริศนาเอ่ยเรียกชื่อ เมื่อหันกลับไปมองตามเสียงเรียกอังเปาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ปราณ”
“เราส่งข้อความไปหา โทรไปหา ทำไมถึงไม่ตอบกลับมาเลยล่ะ”
“ยังไม่ชัดอีกเหรอ จำได้ว่าบอกชัดแล้วนะว่าไม่อยากพัฒนาความสัมพันธ์”
“ให้โอกาสเราไม่ได้เหรอ พวกเราเข้ากันได้ดีเธอเองก็ชอบฉันส่วนฉันก็ชอบเธอทำไมเราไม่ลองคบกันดูล่ะ”
“เข้ากันได้?นายแน่ใจเหรอ” สีหน้ามั่นใจของชายคนนั้นเริ่มหายไป
“นะ แน่สิ เธอชอบอะไรเราก็ชอบหมดทำไมจะเข้ากันไม่ได้ล่ะ”
“นั่นแหละประเด็น สิ่งที่ฉันชอบนายไม่ได้ชอบเลยสักอย่างทั้งดูหนัง ช็อปปิ้ง กินข้าวร้านหรู เที่ยวผับบาร์ นายเกลียดเรื่องเหล่านี้ด้วยซ้ำแต่ก็ต้องแสร้งว่าชอบ ฉันไม่ชอบใจท่าทีของนายเอาเสียเลย”
“เธอรู้ได้ไงว่าเราไม่ชอบ ที่เธอพูดมาเราชอบหมดเลยนะ”
“พอเถอะ นายจะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเพื่อคนอื่นไปทำไมวะ รู้ไหมว่ามันขัดหูขัดตาขนาดไหน”
น้ำเสียงติดหงุดหงิดของอังเปาทำให้คนฟังพูดไม่ออก เขาได้แต่มองหน้าเธอนิ่งด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความเสียใจ เขาคาดหวังที่จะได้คบกับเธอมาโดยตลอด
“ฉันบอกกับนายมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเราคุยกันได้ แต่ฉันไม่นิยมคุยกับใครนานๆ และไม่สนใจมีแฟน ถ้านายละเมิดกฎฉันก็จะเลิกคุย”
“แล้วเราทำผิดอะไร ทำไมเธอทำแบบนี้ล่ะ”
อังเปาฟังคำถามของปราณก็ส่ายหัวอย่างหน่ายใจ ตั้งแต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่ค่อยได้คบกับใครจริงจัง ปลื้มๆ ก็คุยถ้าชอบมากก็คบ ที่ดูเหมือนจะจริงจังมากที่สุดก็คือไอ้ชานนเด็กคณะวิศวะที่เลิกกันเมื่อปีก่อน ตอนแรกคิดว่ามันเป็นคนดีที่ไหนได้ก็แค่แมงดา ไอ้เวรนั่นทั้งหักหลังทั้งหลอกลวง แต่สิ่งที่ทำให้อังเปาเหลือใจกับมันมากที่สุดจนความอดทนที่เป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายของเธอขาดผึ่งก็คือการนอกใจสวมเขาให้เธอ หลังจากรู้เรื่องอังเปาก็ตามไปวีนไอ้หมอนั่นจนโรงอาหารคณะวิศวะแตกมาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งผลของการกระทำของไอ้ชานนครั้งนั้นทำให้อังเปาที่เริ่มเปิดใจกลับปิดประตูและล็อกสนิทอีกครั้ง
นับแต่นั้นมาอังเปาก็ตั้งกฎขึ้นมาใหม่ว่าจะไม่คบกับใครอีกเด็ดขาด เธอจะโสดบนกองเงินกองทองไปจนตาย หิวก็ค่อยซื้อกินเอา แต่ใครที่อยากเสนอถ้าถูกใจอังเปาก็สนองให้ คุยได้แต่ไม่พัฒนาความสัมพันธ์ เธอให้นิยามความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ว่า ‘เพื่อนแก้เหงา’ สถานะคือเพื่อนหน้าที่คือแก้เหงา ใครกล้าข้ามเส้นมากกว่านั้นเธอก็พร้อมจะสลัดทิ้งทันที
“นายรู้ไหมว่าตัวเองน่ารำคาญขนาดไหน ฉันบอกยุติความสัมพันธ์กับนายไปแล้วดังนั้นเลิกยุ่งกับฉันซะ”
“นี่เธอมีใหม่แล้วใช่ไหม”
“ตลกแล้วนะปราณ นายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นคนยังไง ปกติฉันก็ไม่ได้มีเพื่อนแค่นายคนเดียวอยู่แล้วนะ”
“เธอมันก็แค่ผู้หญิงร่าน”
เพียะ!
คำด่านั้นทำให้คนมือไวอย่างอังเปาฟาดหน้าปราณเต็มแรงด้วยการบันดาลโทสะ ขณะฟาดใบหน้าเธอเรียบนิ่งจนน่ากลัว กระทั่งฟาดเสร็จเธอก็ยกยิ้มให้ปราณอีกครั้ง
“ระวังปากหน่อยก็ดีนะ ฉันไม่ใช่ใครก็ได้ที่นายจะสามารถด่าได้ อย่าคิดว่าฉันคุยด้วยในสถานะเพื่อนแก้เหงาแล้วจะได้ใจ”
ปราณได้แต่เก็บความโมโหไว้ในใจแล้วเดินจากไป จังหวะนั้นเองคนที่อังเปากำลังตามหาก็เดินเข้ามาพอดี
“ครั้งนี้ถ้าเธอไม่รับอีก ฉันจะถือว่ารับผิดชอบไปแล้วนะ” เขายื่นเจลเย็นให้อังเปาอีกครั้ง แต่เห็นเธอนิ่งเขาจึงยัดของสิ่งนั้นใส่มือเธอและหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยว!”
ชายคนนั้นหยุดเท้าทันทีที่อังเปาเอ่ยราวกับถูกสะกดจิต เขาหันมาเผชิญหน้าเธออีกครั้ง
“มีอะไร”
“นายชื่ออะไร”
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกเธอ”
“ทำไมล่ะ แค่ชื่อก็บอกไม่ได้เหรอ กลัวฉันหรือไง” เป็นอีกครั้งที่อังเปาถูกชายคนนั้นมองด้วยแววตาหน่ายใจ
“อินทร”