อินจ้านกับอินจื้อ สอดส่ายสายตาแล้วเอามือไพล่หลัง ทั้งขยับไปยืนใกล้ ๆ ซินแสตัวจริงที่นั่งคอยให้คนมาฝากดวงดูดวงที่อารามหยุคโหลว แล้วก็เริ่มแผนการอันแสนชาญฉลาดของอินจื้อ
“พี่สี่ท่านว่าประหลาดหรือไม่ ด้านหลังมีคนยืนเลียศอกตัวเองได้ มีหมาห้าขานั่งเป็นเพื่อน” อินจื้อเด็กชายตัวน้อยเริ่มแผนการ ด้วยการพูดคำหลอกเด็ก ทั้งมองไปทางด้านซินแสว่าสนใจหรือไม่
“นั่นสิ ข้ายังเลียศอกไม่ได้ คนนี้มีความสามารถจริง ๆ หากให้มายืนอยู่หน้าโต๊ะซินแสตรงนี้ มีหวังคนเข้ามาหาดูของแปลกเต็มไปหมด ซินแสของเราร่ำรวยแน่นอน” เมื่อน้องชายร้อง พี่ชายอย่างอินจ้านก็รับทันที
“นั่นสิ เสียดายไม่มีใครสนใจท่านผู้นั้น ข้าว่าเรียกลูกค้าได้ดีนักเชียว”
เมื่ออินจ้านพูดจบ ก็ได้ยินเสียงซินแสผู้นี้ร้องถามขึ้น
“แค่เลียศอกได้ มีอันใดวิเศษ ไม่ใช่ผู้ที่เหาะเหินเดินอากาศได้เสียหน่อย”
“เช่นนั้นท่านก็ลองเลียศอกตัวเองสิ ทำได้หรือไม่” เมื่อซินแสหลงกลเข้าแล้วก็เป็นเวลาที่อินจ้านและอินจื้อฮุกหมัดหนัก
แล้วมันก็ได้ผล เพราะว่าซินแสผู้เปิดดวงเนื้อคู่แห่งอารามหยุคโหลวยกแขนขึ้นพยายามเอาลิ้นเลียแตะศอกให้ได้อย่างคนโง่เขลาเบาปัญญา ช่างเป็นภาพที่น่าขันนักทำเอาสองแฝดตัวแสบกลั้นขำไว้จนปวดท้องแทบแย่
ซินแสผู้นั้นเมื่อพยายามแล้วก็ไม่สามารถเลียศอกได้ ก็คิดว่าที่เจ้าเด็กสองคนพูดน่าจะเป็นเรื่องจริง แค่การกระทำง่าย ๆ แค่นี้ทำไมเขาคิดไม่ถึงกันนะ
“เช่นนั้นผู้ใดทำได้พาข้าไปดูหน่อย” อินจื้อรีบวิ่งนำซินแสไปทันที แล้วส่งสัญญาณให้พี่สาวจัดการที่เหลือ
ซินแสของอารามเก่าแก่เดินตามเจ้าเด็กห้าหนาวเข้าไปลึกด้านหลังวัดที่ผู้คนไม่ได้พลุกพล่าน นั่นยังไม่พอ เมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าผา กลับไม่เห็นคนที่เลียศอกอะไรนั่นเลยแม้แต่เงาสิ่งมีชีวิตก็ไม่เห็น คล้ายกลับเขาโดนเจ้าเด็กคนนี้หลอกเสียแล้ว
แต่เมื่อหันกลับมาเขากลับโดนกระสอบป่านคลุมมาที่หัว ทำให้ไม่เห็นรอบนอก จากนั้นก็ถูกเตะเข้าที่ข้อพับแล้วก็โดนเอาเชือกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ จากนั้นยังโดนเจ้าเด็กแสบเอาผ้าอุดปาก แล้วก็ปิดตาในขั้นตอนสุดท้าย
สองจิ๋วช่วยกันจนปาดเหงื่อกว่าจะเสร็จ จากนั้นก็ปัดมือไปมาราวกับปัดฝุ่นพร้อมกับเดินเอามือไพล่หลังออกไป
“ท่านรอตรงนี้ เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วยามก็มีคนมาช่วย” อินจื้อก่อนไปก็บอกซินแสหน้าโง่นี้สักหน่อย ที่โดนเด็กหลอกเอาได้ แล้วก็เข้าไปดูผลงานของพี่อินเหยาต่อ
อินเหยาจ่ายเงินยัดใส่มือซินแสปลอมไปถึงห้าตำลึง จากนั้นนำดวงวันเดือนปีเกิดเวลาตกฟากของท่านหญิง
ชิงหนิง กับวันเดือนปีเกิดของเหลียงจื่อเพ่ยให้กับซินแส เมื่อฮูหยินเหลียงเดินมาถึง นางก็วิ่งไปหลบทันที
“โอ้...ฮูหยินเหลียง ท่านกำลังทุกข์ใจเรื่องบุตรชายคนเดียวของท่านใช่หรือไม่”
หงอิงเพ่ยมองแล้วก็ยกมือทาบอก เมื่อโดนคำถามจี้จุดถึงการมาครั้งนี้ของนาง ราวกับฟ้าดินรับรู้ถึงความกังวลใจเรื่องคู่ครองในอนาคตของบุตรชาย
“ซินแส...ท่านรู้ท่านเห็นรึ” เสียงที่ถามคล้ายกับซินแสผู้นี้คือผู้วิเศษหยั่งรู้ฟ้าดิน
“ย่อมรู้ก่อนท่านจะมา ไม่ทราบว่าท่านเอาดวงบุตรชายของท่านมาหรือไม่” ซินแสที่ถูกจ้างมาแสดงได้ดี ทำเอาคนจ้างถึงกับยิ้มใบหน้าระรื่น
คิก คิก...เสียงหัวเราะของอินเหยาดังขึ้น แต่กลับเรียกสีหน้าฉงนใจให้กับคนที่ยืนเบื้องหลังของนางโดยที่นางก็ไม่รู้ตัว
“บุตรชายของข้าดวงสมพงษ์กับสตรีบ้านใดเจ้าคะท่านซินแส” หงอิงเพ่ยพูดจบก็กางวันเดือนปีเกิดของสตรีในเมืองหลวงทั้งชนชั้นสูง และเหล่าคุณหนูต่าง ๆ ที่วัยออกเรือนได้ หรือเมื่อบุตรชายอายุยี่สิบหนาวพวกนางถึงวัยปักปิ่นพอดี
นางจ่ายไปไม่น้อยให้กับเหล่าแม่สื่อถึงได้สิ่งนี้มา และนางใช้หมึกชาดแดงวาดเป็นวงกลม ตรงดวงสตรีที่เป็นดังสะใภ้ที่ตนหมายปองเอาไว้ คุณหนูตระกูลฟู่ทั้งสอง ท่านหญิงชิงหนิง และองค์หญิงสามสหายสนิทตั้งแต่วัยเยาว์ของบุตรชาย
ซินแสเห็นดังนั้นก็รีบชี้ไปยังรายชื่อสตรีที่ได้รับการว่าจ้างให้มาผูกดวงทันที
“ดวงบุตรชายท่าน หากเป็นตระกูลฟู่ล้วนขัดกัน แต่งได้ไม่นานครอบครัวมีอันต้องจบลง หากเป็นอีกสองท่าน ท่านหญิงชิงหนิงหรือองค์หญิงสามดวงย่อมสมพงษ์กันยิ่งนักไม่ว่าผู้ใดก็แต่งได้”
หงอิงเพ่ยรู้สึกเสียดาย เดิมนางหมายปองอยากเกี่ยวดองกับสกุลฟู่ แต่ในเมื่อดวงไม่สมพงษ์กันนางย่อมตัดใจได้ จึงจัดการผูกดวงให้กับบุตรชายและท่านหญิงชิงหนิง เพื่อให้ทั้งคู่ได้ลงเอยกัน เมื่อซินแสผูกดวงเสร็จ หงอิงเพ่ยจึงรับด้ายแดงที่มีชื่อของทั้งคู่ห้อยอยู่จากนั้นก็นำไปผูกที่ตรงหน้าเทพเจ้าแห่งความรักหยุคโหลว
รุ่ยอ๋องเห็นดังนั้นก็รับรู้ทันทีว่าเจ้าเด็กแสบพวกนี้ทำอะไรกัน ชักจะเหิมเกริมถึงขั้นหลอกลวงคนเชียวรึ!
“พี่ใหญ่...พี่สามไม่ต้องแต่งงานกับบุรุษแซ่เหลียงแล้วใช่หรือไม่” อินจ้านถามขึ้น เขาเองก็เป็นห่วงพี่สาวเช่นกัน หากต้องแต่งงานกับบุรุษที่เคยทำร้ายพี่ใหญ่จนเกือบตาย แล้วจะอยู่กันอย่างปรองดองได้อย่างไร
“ไม่ต้องแล้ว” อินเหยาตอบพร้อมอมยิ้ม ในเมื่อสตรีผู้นั้นมีใจสมัครรักใคร่เหลียงจื่อเพ่ย นางก็จะจัดการจับคู่ให้เสียเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลา
ต่อไปอีกแปดปีที่เหลือนางก็ใช้ชีวิตอย่างสงบแล้ว
“อื้ม...พวกเจ้าคิดว่าตบตาแค่นี้เจ้าจะรอดหรืออย่างไร” หลี่เค่อที่ยืนมองพวกนางเล่นสนุกอยู่นานแล้วเผยตัวออกมา และนั่นเรียกสีหน้ายิ้มยากให้กับเจ้าตัวแสบแซ่ฟู่ทั้งหลาย
“รุ่ยอ๋อง!!” อินเหยาเรียกเสียงแผ่ว ไม่คิดว่าแผนการรัดกุมของตัวเองจะโดนเปิดเผยเข้าแล้ว
“ข้าน่ะสิ” รุ่ยอ๋องยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเจ้าหนูน้อยที่นับวันเขาก็ยิ่งอยากมาเจอพวกนาง นอกจากได้กินอาหารอร่อยแล้วยังเหมือนตัวเองได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ช่างดีเสียจริง
“ท่านมาทำอันใดที่นี่ อย่าบอกนะว่าท่านก็มาขอเนื้อคู่น่ะเพคะ” อินเหยายกมือป้องปากคล้ายกับคาดไม่ถึงว่า รุ่ยอ๋องจะงมงายยิ่งกว่าสตรีเสียอีก
รุ่ยอ๋องทำหน้าเหมือนเหม็นเบื่อเจ้าหนูน้อยพวกนี้ นับวันยิ่งหาเรื่องให้เขา ไม่ใช่เพราะเขาเห็นพวกนางหรอกหรือ ถึงเดินตามมาจนได้เห็นการกระทำอย่างแสบสันต่อสกุลเหลียง
“เจ้าอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง โกรธแค้นอันใดกับตระกูลเหลียงถึงได้คิดล่อลวงฮูหยินเหลียงเช่นนั้น”
“ไม่มีอันใดสักหน่อย ข้าเพียงแต่อยากให้เหลียงจื่อเพ่ยลงเอยกับคนดี ๆ”อินเหยาโกหกเขาไป แต่ทว่ากลับได้รับสายตาที่ไม่เชื่อใจนางกลับมาจากรุ่ยอ๋อง
“เอาความจริง เจ้ารู้ใช่หรือไม่ หากข้าเปิดโปงคำเดียว เจ้าก็อาจจะโดนบิดาสั่งสอนเอาได้”
คนเดียวที่รู้ทันนางไปเสียหมดก็เห็นมีเพียงรุ่ยอ๋อง และคนเช่นรุ่ยอ๋อง สาบานว่าข้าจะไม่จับทำสามีเด็ดขาด
“ก็....” นางอ้ำอึ้งไม่อยากตอบ หากเพียงท่านพ่อไม่คณามือนางหรอก แต่เป็นท่านแม่ไม่แน่ เพราะบิดานางกลัวลูกสาวอย่างนางไม่ต่างจากกลัวท่านแม่ เพียงนางพูดคำเดียวบิดาก็จัดการทันทีโดยไม่ต้องให้พูดซ้ำ
“ถ้ายังไม่พูด ข้าจะไปบอกฮูหยินเหลียง...”
“หมูกรอบ!” นางยื่นข้อเสนอให้ กับรายการอาหารที่นางค่อนข้างหวงเพราะว่ามันใช้เวลาทำนานอย่างเช่นหมูกรอบ ราดด้วยน้ำราดสูตรพิเศษจากนาง เวลานี้รายชื่อและสูตรอาหารในร้านอาหารของนางนับว่าเลื่องชื่อมากนัก ไม่ใช่แค่กระเพาะปลาอย่างเดียวที่อร่อยไร้เทียมทานแล้ว
“อย่างเดียวจะไปพอได้อย่างไร”
“ท่านแม่เป็นคนดูแลท่านด้วยตัวเอง” นี่เอามารดามาปิดปากแล้ว เพราะเห็นว่าเขาชื่นชอบมารดาของนางหรอกนะ แต่ไม่ได้บอกว่าบิดาเป็นคนเฝ้า
“ข้าไม่อยากได้มารดาเจ้า แต่อยากได้เจ้าของร้านปี้เหยาอย่างเจ้ามาดูแลข้าด้วยตัวเอง” เมื่อข้อเสนอนี้ของรุ่ยอ๋องดูจะทำให้สองแฝดเดือดร้อนต้องเอาอกเอาใจรุ่ยอ๋อง พวกเขาก็ถอยหลังไปสามก้าว เหลือพี่ใหญ่อยู่ด้านหน้าเพียงผู้เดียว
“ถ้าเช่นนั้น....” อินเหยาหันรีหันขวางไปหาน้องชายผู้ร่วมอุดมการณ์ของนาง แต่ทว่ากลับเป็นนางที่ยืนอยู่ผู้เดียวก็นึกเจ็บใจนัก จึงจำใจรับปาก
“ก็ได้เพคะรุ่ยอ๋อง เรื่องระหว่างเราในวันนี้ถือว่าเป็นความลับ” นางยกกำปั้นขึ้นชนกับกำปั้นรุ่ยอ๋องเป็นสัญญาลูกผู้ชาย
“ได้คำไหนคำนั้น” รุ่ยอ๋องไม่ได้อยากจะกลั่นแกล้งนาง แค่ไม่เข้าใจว่านางจะอยากจับคู่ให้เหลียงจื่อเพ่ยด้วยเหตุใดกัน แค่ไม่ชอบพอกันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องวางแผนมากมายทั้งยังทำให้ตระกูลเหลียงสับสน
แต่เมื่อมาถึงร้านปี้เหยา ทั้งสี่คนกลับเห็นเหลียงจื่อเพ่ยยืนอยู่ด้านหน้าร้าน กำลังคุยกับหลิงหยวนท่าทางออกรส หรือว่าบุพเพของน้องสาวและเหลียงจื่อเพ่ยไม่อาจแยกกันนะ
“เป็นอะไรไป” รุ่ยอ๋องสงสัยเพราะไม่เคยเห็นนางคร่ำเครียดเช่นนี้เลย ยิ่งมองไปยังสองคนเบื้องหน้าคล้ายกับกำลังเจอเรื่องทุกข์ใจ
“ไม่มีอันใด เชิญท่านที่ห้องด้านบนข้าจะให้คนยกอาหารไปให้” อินเหยาเดินหลีกหลิงหยวนกับเหลียงจื่อเพ่ยเข้าไปในร้าน แม้น้องสาวจะทักทายนางก็ไม่หัน ด้วยไม่อยากมองหน้าอีกคน
‘ข้าไม่อยากเสวนากับบุรุษผู้นั้น’
ปี้ถังเข้าใจดีว่าคุณหนูอินเหยาคิดเช่นไร วันนี้ไปจัดการบางเรื่องคิดว่าน่าจะสำเร็จ แต่ก็กลับมาเจอเหลียงจื่อเพ่ยยืนพูดคุยกับคุณหนูสามที่หน้าร้าน ภายในใจของฟู่อินเหยาคงหงุดหงิดไม่น้อย
“พี่ใหญ่เป็นอะไรไป ข้าเรียกทำเป็นไม่ได้ยิน” หลิงหยวนที่ออกมาคุยเป็นเพื่อนพี่ชายเหลียงจื่อเพ่ย เพราะวันนี้เขาแวะมาด้วยตัวเอง แต่รู้ว่าพี่ใหญ่คงยังไม่อภัยให้พี่ชาย
เหลียงง่าย ๆ นางจึงอยากให้พี่ใหญ่ปรองดองแต่คิดว่าน่าจะยากนักเมื่อสังเกตจากสีหน้า
“ช่างเถอะ...ปล่อยนางไป” เหลียงจื่อเพ่ยหรือจะอยากสนทนากับสตรีเช่นนาง เขาไม่เคยไยดีนางเลยสักนิดเดียว เว้นเสียแต่วันนั้น...วันที่เขาพบนางที่นอกอาราม เห็นนางให้ซาลาเปาขอทานนึกชื่นชมในความดี แต่ก็ไม่เคยปริปากให้นางได้ล่วงรู้ มาคราวนี้อยากพบนางแต่นางกลับเมินเฉย เขาก็ไม่อยากสนทนาด้วยอีกไม่นานเขาต้องไปแล้ว
แม้นางจะถือดี แต่เขาก็ถือดีเช่นกัน
‘หึ!’