“ทะ...ท่านแม่...ตะ...ตัดหัว” หลินเหยาหลบอยู่หลังท่านแม่ ตลอดชีวิตไม่เคยโดนคำขู่ร้ายแรงเพียงนี้ เห็นทีว่าจวนจวิ้นอ๋องมิใช่ที่จะอวดเบ่งบารมีได้
ซูหลันหนี่ว์ทรุดลงกับพื้นหน้าประตูจวนหากไม่ได้สาวใช้พยุงไว้คงพับไปแล้ว การจะมาเยี่ยมเว่ยเหยามิคิดว่าจะมีความผิดเพียงนี้เชียวหรือ
“ใช่...อยากเข้าอีกหรือไม่” น้ำเสียงทรงพลังด้านหลังทำให้ทั้งซูหลันหนี่ว์กับบุตรสาวต้องคุกเข่าขอประทานอภัย
“ขออภัยเพคะองค์รัชทายาทหม่อมฉันเพียงแต่อยากมาเยี่ยมบุตรสาวเท่านั้น” เสียงละล่ำละลักแก้ตัวนั้นไม่เป็นผลนัก เพราะองค์รัชทายาทโกรธแล้ว กระทั่งพระชายาองค์รัชทายาทก็มิอาจทัดทานได้
“ฟังประสาคนไม่รู้เรื่องหรือ จวนจวิ้นอ๋องไม่ต้อนรับคนนอก” เขาปล่อยให้สองแม่ลูกนี้เข้าไปมิได้ เพราะเป็นฮูหยินเสนาบดีกลาโหม แล้วตำหนักบูรพากับจวนจวินจวิ้นอ๋องล้วนกำลังถูกจับตามองจากเสด็จพ่อ จะมีผิดพลาดสักเพียงนิดไม่ได้ ตอนนี้ข่าวว่าเขาจับขั้วอำนาจหวังรวบแผ่นดินไว้เบ็ดเสร็จก็ถึงหูเสด็จพ่อแล้ว จึงต้องห่างเหินกับตระกูลซ่งสักระยะ
“ผู้แทนฝ่าบาท...ไฉ่กั๋วกง...มาแล้ว” เสียงขันทีของฝ่าบาทพูดนำมาตั้งแต่ลงจากรถม้า ทำให้องค์รัชทายาทและคนทั้งหมดหลีกทางให้
“ถวายพระพรองค์รัชทายาท” ไฉ่เฉินกั่วกงนำตราของฝ่าบาทถือมาด้วย นั้นแสดงให้รู้ว่าเขาเป็นผู้แทนที่จะมาตรวจเยี่ยมลูกสะใภ้ตน แต่พวกเขาทั้งหมดย่อมรู้ว่าเสด็จพ่อให้มาสอดส่องเรื่องภายในจวน
“ลำบากไฉ่กั๋วกงแล้ว”
“มิลำบาก รับสั่งฝ่าบาทเป็นข้าแผ่นดินย่อมสนองคุณฝ่าบาท”
“เช่นนั้นเชิญด้านในก่อน” องค์รัชทายาทกล่าวเป็นกันเอง ทั้งท่านขันทีและหมอหลวงส่วนพระองค์เสด็จพ่อก็มาด้วย
สองแม่ลูกมองตาม แต่ไม่กล้าเข้าไป เห็นทีว่าภายในคงจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแล้ว แต่ไม่ใช่เวลาที่นางกับลูกสาวจะสอดรู้สอดเห็นในยามนี้ จึงล่าถอยกลับไปก่อน
ซ่งเว่ยเหยาหลับไปหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันแล้ว แต่ยังไม่เห็นมีท่าทีว่าจะฟื้น ไฉ่เฉินกำหมัดแน่น เขาเห็นนางทุกข์ใจสวดมนต์อยู่อารามหย่งเล่อเพียงลำพังก็สงสารแล้ว ยามนี้โดนสามีทำให้ต้องนอนนิ่งสนิทกับเตียง ใบหน้าของนางก็ซีดเผือดไร้สีเลือด มองอย่างไรก็ยังน่าเป็นห่วง
หัวหน้าหมอหลวงประชุมเรื่องการรักษาและอาการของพระชายาจวิ้นอ๋องอย่างเคร่งเครียด ตอนนี้จัดยาถวายล้วนแล้วแต่ต่อต้าน ทำให้จวิ้นอ๋องและองค์รัชทายาท นั่งไม่ติด
จวิ้นอ๋องเองก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาไม่ได้สนยศตำแหน่งใด สนแต่เพียงให้นางฟื้นขึ้นมาเถอะ เขาอยากขอโทษนาง
“สงสารนางนัก” ในขณะที่ทุกคนกำลังเงียบ ท่านกั๋วกงก็เอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนมองไปที่นางเป็นตาเดียว แล้วก็ลุ้นว่าท่านกั๋วกงจะกล่าวอย่างไรต่อไปอีก
“ข้าเคยฟังเจ้าสวดมนต์ น้ำเสียงเจ้าไพเราะยิ่ง เจ้าตื่นมาสวดอีกได้หรือไม่” ถ้อยคำนั้นเหมือนพูดให้กำลังใจผู้ป่วยทั่วไป แต่เหมือนมันจะได้ผล เพราะว่ามือของนางสั่นเล็ก ๆ
“ท่านหัวหน้าหมอหลวง...นาง...นางขยับมือ” ท่านกั๋วกงกล่าวออกมา แววตาเขาปลื้มปีติยิ่งนัก แต่ทว่าจวิ้นอ๋องก็แทรกเข้าไปหานางทันที
“เว่ยเหยา...เจ้า...เจ้าตื่นขึ้นมาแล้วเหรอ...ข้ารอเจ้าอยู่นะ” จวิ้นอ๋องตื่นเต้นยิ่งนัก ไม่คิดว่าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเขาไม่เคยสนใจและใส่ใจนาง จนวันนี้เพิ่งรู้ว่านางนั้นมีความสำคัญกับเขาเช่นเดียวกัน
ไฉ่กั๋วกงถอยออกมา แล้วก็ให้ท่านหัวหน้าหมอหลวงตรวจอาการ สีหน้าของท่านหัวหน้าหมอหลวงเหมือนจะดีขึ้นหน่อย แต่เสียงของนางเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง
“พี่อาหง...พี่อาหง...ข้าจะ...ข้าจะรอท่าน”
พี่อาหง...รอ!!
สองคำนี้ทำให้จวิ้นอ๋องขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่านางหมายถึงใครแต่ทว่าเขาใจเต้นระรัวยิ่งนัก หรือนาง?
“ทูลองค์รัชทายาทจวิ้นอ๋อง...พระชายาจวิ้นอ๋องฟื้นแล้ว” น้ำเสียงของหัวหน้าหมอหัวยินดียิ่ง เพราะได้รับคำสั่งให้ดูแลนางให้ดี ต้องรักษานางให้หาย ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม
เป่ยเป่ยที่หลบอยู่ด้านหลัง เมื่อได้ยินว่านายหญิงจะฟื้นแล้วนางก็ดีใจยิ่งนัก สีหน้าของนางคลายความกังวลไปหลายส่วน อย่างน้อยนายหญิงของนางก็รู้สึกตัวแล้ว
เว่ยเหยาพยายามกะพริบตาถี่ ๆ แล้วก็ลืมตาแต่ทว่ามีอาการจี๊ดที่หัวจนต้องหลับตาลง กับปวดกระบอกตาเป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
“เป่ยเป่ย...เจ้าอยู่หรือไม่...จุดตะเกียงหน่อย” เสียงแหบเพราะขาดน้ำเรียกสาวใช้คนสนิท ไม่รู้ว่านี่ยามใดแล้ว จวิ้นอ๋องให้นางเข้าวัง นางต้องเตรียมตัว
เป่ยเป่ยเอามือปิดปากกลั้นสะอื้น นายหญิงของตัวเองมองไม่เห็นแล้ว น้ำตาของนางรินออกมาไม่หยุด กระทั่งไฉ่กั๋วกงเองก็ไม่อาจทนอยู่ได้ เขาต้องออกไปด้านนอก
“เว่ยเหยา...นี่ข้าเองนะ...จวิ้นอ๋องสามีเจ้า” หงจื่อ
จวิ้นอ๋องจับมือของภรรยาตัวเอง มือนางเย็นและสั่นเล็ก ๆ ส่วนอีกมือก็โบกไปมาในอากาศจนเขาต้องจับมันมารวบไว้ อาการของพระชายาเป็นที่สะเทือนใจของทั้งคณะหมอหลวงกระทั่งองค์รัชทายาทก็เช่นเดียวกัน
“จวิ้นอ๋อง...ท่าน...ท่านมาตามข้าแล้วหรือ ข้าเพิ่งตื่นจะรีบแต่งตัวเพคะ” เว่ยเหยารีบลุกขึ้น แต่นางก็ล้มลงอีกด้วยความเจ็บปวดที่หัวอย่างรุนแรง
โอ๊ย!!!
เสียงนั้นทำให้ทั้งเป่ยเป่ยและจวิ้นอ๋องตกใจ
“พระชายาเพคะ...อย่าเพิ่งลุกเพคะ” เป่ยเป่ยเข้ามานั่งใกล้ ๆ บอกนายหญิงของตัวเอง
“ไม่ได้...เดี๋ยวไม่ทัน...แล้วทำไมยังไม่จุดตะเกียงอีกข้ามองไม่เห็น” เว่ยเหยารู้สึกหงุดหงิดจึงตวาดสาวใช้อีกหนึ่งคำ นั่นเรียกเสียงสะอื้นให้กับเป่ยเป่ย
“เจ้า...เจ้าจะมองไม่เห็น...อาจจะระยะสั้น ๆ เจ้าใจเย็น ๆ ข้าจะหาหมอมารักษาเจ้าให้จงได้” จวิ้นอ๋องกัดฟันบอกในสิ่งที่ไม่ควรบอกไปในที่สุด แล้วนางก็ดูเหมือนจะสงบลง
“มองไม่เห็นงั้นเหรอ” เว่ยเหยาสับสน เหตุใดถึงมองไม่เห็น นางพยายามทบทวนเหตุการณ์ แล้วก็จำได้ว่าจวิ้นอ๋องเป็นคนผลักนางและหลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อีกเลย
ข้าเป็นพระชายาตาบอดงั้นเหรอ?
“เจ้าใจเย็น ๆ อย่าขยับกินยานี่หน่อยนะ” สาวใช้นำยาที่ต้มมาให้นางกิน เขาจับมันยกขึ้นแล้วเป่าให้อุ่นป้อนให้นางโดยมีเป่ยเป่ยช่วยพยุงขึ้น
เว่ยเหยาเหมือนตัวเองฟั่นเฟือนไปแล้ว นางไม่รับรู้ความขมของยาเลยสักนิด ยามนี้เหมือนตัวเองตายไปแล้วด้วยซ้ำ หากไม่ได้ยินเสียงพวกเขาเหล่านี้ นางติดอยู่ในโลกแห่งความมืดมนงั้นเหรอ
ท่าทางที่นิ่งเฉยไม่ตอบสนอง กระทั่งยาก็ไม่กลืนลงไป ทำเอาจวิ้นอ๋องเจ็บปวดใจ เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่น่าดื่มเหล้าเมามายขนาดนั้น เขา...เป็นความผิดของเขาเพียงคนเดียว
“เจ้ากินยาสักนิดเถอะนะ” เสียงของเขาแหบเครือขึ้นมาดื้อ ๆ ความเจ็บปวดสะท้อนออกมาในดวงตาแดงก่ำ นางต่อว่าด่าทอทุบตีเขาดีกว่านิ่งเช่นนี้
“เป่ยเป่ย...ข้าปวดหัวอยากพัก” หยาดน้ำตาของเว่ยเหยาไหลลงข้างแก้มสองข้าง เป่ยเป่ยเองก็เจ็บปวดใจแทนนายหญิง