พ่อของเรา

2175 คำ
4 พ่อของเรา สิบเอ็ดปีผ่านไป เด็กชายวัยสิบขวบระบายยิ้มกว้างเมื่อการบ้านคณิตศาสตร์ที่นั่งทำมาชั่วโมงกว่าเสร็จเสียที แต่พอเหลือบไปทางน้องสาวฝาแฝดก็พบว่าเธอเพิ่งทำเสร็จเพียงข้อเดียวและเอาแต่เท้าคางเหม่อลอย “ฮันนี่แก้โจทย์ไม่ได้เหรอ พี่ช่วยไหม” ฮันเตอร์แฝดพี่ขันอาสา ทว่าน้องสาวก็ยังอยู่ในอาการเหม่อลอย ฮันเตอร์จึงโบกมือไหวๆ เรียกความสนใจ “ฮันนี่! เป็นอะไรเนี่ย ใจลอยไปถึงไหน ทำการบ้านไม่ได้เหรอ” “เปล่าหรอก หนูทำได้ แต่ขี้เกียจทำอะ” “จะฟ้องแม่ แม่เราไม่ชอบให้พูดคำว่าขี้เกียจนะ” “ก็มันขี้เกียจจริงๆ นี่นา เดี๋ยวน้องค่อยลอกของพี่เตอร์ก็ได้” เด็กหญิงว่าพร้อมทำท่าจะฉกสมุดการบ้านของอีกฝ่าย แต่พี่ชายไวกว่ารีบยัดลงกระเป๋าเรียนทันที ยัยน้องทำหน้ามุ่ยส่งเสียงขัดใจในลำคอ “ไม่ต้องเลยนะ ตัวก็หัดทำเองบ้างสิ โจทย์แค่นี้ยากตรงไหน เดี๋ยวพี่สอนก็ได้ หรือจะให้แม่สอน” “เหอะ! ให้แม่มีเวลาว่างมาสอนก่อนเถอะ แค่เวลานอนยังไม่มีเลย” บางทีก็กินเวลาไปสองสามวันเลยด้วยซ้ำกว่าเจ้าแฝดจะได้เจอหน้าคุณแม่ที่รัก ฮันเตอร์และฮันนี่รู้ดีว่าการเป็นคุณหมอของแม่มาพร้อมกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ทั้งสองทราบดีว่าแม่พิณลดาพยายามแบ่งเวลาอย่างสุดความสามารถแล้วจริงๆ “ก็แม่ต้องรักษาคนไข้นี่นา ว่าแต่ที่เมื่อกี้เอาแต่เหม่อเพราะขี้เกียจทำการบ้านหรือกำลังคิดอะไรอยู่” เป็นฝาแฝดอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ในครรภ์ ทำไมฮันเตอร์จะไม่รู้ว่าสีหน้าแววตาของน้องสาวกำลังมีเรื่องครุ่นคิดอยู่ “ฮันนี่กำลังคิดถึงพ่อของเราอะ” มือเล็กที่กำลังเก็บอุปกรณ์การเรียนใส่กระเป๋าพลันชะงัก เด็กชายเหลือบมองน้องสาวที่สีหน้าดูจริงจัง ฮันเตอร์ถอนหายใจแล้วกลับไปเก็บดินสอยางลบต่อ “คิดถึงทำไมอะ ไม่มีก็ไม่มีดิ เราก็โตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ ที่จะร้องไห้หาพ่อ” “โตอะไร สิบขวบเอ๊ง น้องไม่รีบโตนะ” เด็กหญิงเถียงพลางเปิดโคมไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือเมื่อความมืดเริ่มโรยตัวในห้องนอนที่ยังไม่ได้เปิดไฟดวงใหญ่กลางห้อง ฮันนี่แค่ขี้เกียจลุกไปเปิด “แล้วยังไง ทำไมฮันนี่ต้องคิดถึงเขาด้วย เราไม่มีพ่อมาตั้งแต่เกิดนั่นมันก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่ว่าเขาไม่ต้องการเรา” “พี่เตอร์พูดแบบคนที่ไม่รู้สึกยินดีอะไร อืม... ผู้ใหญ่ใช้คำว่าอะไรนะ นึกไม่ออกอะ แต่ก็นั่นแหละ ฮันนี่รู้ว่าพี่เตอร์ก็อยากรู้ว่าพ่อของเราเป็นใครเหมือนกันใช่ป้ะล่ะ” “อยากรู้แล้วยังไง ก็แม่ไม่เคยพูดถึงนี่นา ฮันนี่กล้าถามเหรอ” “ไม่กล้าอะ ปีก่อนเคยถามแล้วแต่แม่ก็เงียบไป สีหน้าแม่ดูทั้งเสียใจและน่ากลัวยังไงไม่รู้ คุณตาก็มีอาการเดียวกัน ฮันนี่เลยไม่กล้าถามอีก” “งั้นก็เลิกคิดถึงเรื่องนี้ซะ ถ้าเราโตขึ้นกว่านี้อีกนิดแม่คงจะบอกเองแหละ” “พี่เตอร์เคยเห็นสูติบัตรไหม” ฮันนี่โพล่งถามถึงสิ่งที่ขบคิดมาตลอดเวลาที่พี่ชายนั่งทำการบ้าน ส่วนเธอเอาแต่เท้าคางเหม่อลอย “สูติบัตร? คือไรอะ” ฮันเตอร์คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินมาก่อนแต่ยังนึกไม่ออก “น่าจะเป็นเอกสารสำคัญอย่างหนึ่งแหละ คืองี้นะวันนี้มิกกี้ให้น้องดูสูติบัตรของเธอที่จะเอาไปสมัครคลาสเต้น ในเอกสารนั้นระบุข้อมูลอย่างละเอียดเลยแหละ มีทั้งชื่อพ่อแม่ เวลาเกิด สถานที่เกิดและอะไรก็ไม่รู้อีกมากมาย” “แล้วไงอะ” “ก็น้องอดสงสัยไม่ได้ ในขณะที่แม่ของมิกกี้ให้เธอพกเอกสารสำคัญนั้นติดตัวตั้งแต่ไปโรงเรียนยันเลิกเรียนที่ต้องไปสมัครคลาสเต้น แต่ทีกับน้องแม่บอกว่าจะเอาเอกสารตามมาให้ทีหลัง ทั้งๆ ที่น้องน่ะบอกแม่ตั้งแต่สามวันก่อนว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้างและแม่ก็เตรียมไว้ให้แล้ว แต่แม่ไม่ยอมให้ฮันนี่ถือไปเอง “ “ก็แม่ไม่ไว้ใจ กลัวเราทำหายไง” “กลัวเราทำหาย หรือกลัวว่าเราจะรู้อะไรเข้า พี่เตอร์เข้าใจป้ะว่าแม่เรายุ่งมาก แถมช่วงที่ไปสมัครเรียนเต้นก็เป็นช่วงที่แม่เข้าเวรที่โรงพยาบาลอีก ทั้งที่แม่หมอของเรายุ่งขนาดนี้แต่ก็ยังยืนยันจะเอาเอกสารมาให้ด้วยตัวเอง พี่เตอร์ไม่คิดว่าแม่ดูมีพิรุธเหรอคะ” “อืม ตัวจะบอกว่าแม่ไม่อยากให้เห็นข้อมูลในใบนั้นงั้นเหรอ?” พอน้องสาวร่ายเรียงให้ฟังเช่นนี้คนที่ไม่อยากสนใจก็ชักเริ่มสงสัยเสียแล้ว เกิดและโตมาจนสิบขวบ เขาและน้องสาวอ่านออกเขียนได้อย่างคล่องปรื๋อ แต่แม่พิณลดาไม่เคยให้เห็นเอกสารสำคัญเหล่านี้มาก่อน จะบอกว่าเพราะพวกตนยังเด็กก็พอฟังขึ้น แต่ความคิดเห็นของน้องสาวก็น่าสนใจ “ใช่ เพราะว่ามันอาจจะมีชื่อของพ่อเราอยู่ในใบสูติบัตรนั้น แม่หมอเลยไม่อยากให้เราเห็น” ฮันนี่ชอบเรียกแม่ว่าแม่หมอ เพราะสำหรับเธอฟังดูน่ารักดี แม้ว่าคุณแม่จะส่ายหน้าและแก้ให้ถูกต้องกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าลูกสาวก็ยังเรียกแม่หมอเหมือนเดิม “อืม ฮันนี่ก็พูดได้น่าคิดดี มันคงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่คงไม่อยากให้เราเห็นใบสูติอะไรนั่น” “แล้วถ้าเกิดว่าเราหาใบสูติบัตรของเราเจอล่ะ” น้องสาวตบโต๊ะพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม ฮันเตอร์ก็ยิ้มอ่อนมีเลศนัยตามไปด้วย จากนั้นสองแฝดก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงพากันลุกพรวดออกไปจากห้องแล้วย่องไปที่ห้องนอนของพิณลดา “ปิดประตูสิฮันนี่เดี๋ยวคุณยายมาเห็นก็จะเอาไปฟ้องแม่หรอก” พี่ชายหันไปสั่งด้วยเสียงกระซิบ ฮันนี่จึงรีบปิดประตูโดยระวังไม่ให้เกิดเสียง “ต้องหาจากไหนอะ ฮันนี่ไม่เคยรู้เลยว่าแม่เก็บเอกสารไว้ตรงไหน แต่หวังว่าคงจะไม่ใช่บนโต๊ะนั้นนะ” เด็กหญิงทำท่าสยองพองเกล้าเมื่อบุ้ยปากไปที่โต๊ะหนังสือของแม่ ซึ่งกองพะเนินด้วยเอกสารและหนังสือจนแทบไม่เหลือที่ว่าง แม่ชอบอ้างว่าเดี๋ยวมีเวลาจะจัดโต๊ะเองและไม่ยอมให้มาลัยผู้เป็นพี่สาวของมานพมายุ่มย่ามทำความสะอาดตรงส่วนนี้ “พี่ว่าแม่ไม่น่าจะเก็บไว้ตรงนั้นหรอก ถ้าเป็นเอกสารสำคัญน่าจะรักษาไว้ในที่ที่ดีกว่านี้” เด็กชายฮันเตอร์กวาดสายตามองทั่วห้องนอนที่ส่วนใหญ่สะอาดเรียบร้อย หากตัดโต๊ะทำงานออกไป ห้องของแม่ก็จะดูเป็นสัดเป็นส่วนมากเลยทีเดียว “ก็จริงนะ” “พี่ว่าลองเริ่มจากตรงนี้ดีกว่า” ฮันเตอร์พูดจบก็สาวเท้าไปตรงลิ้นชักหัวเตียงที่มีเพียงสองชั้น ชั้นแรกมีแค่กิ๊บติดผมสองอันและไม่มีอะไรอื่นอีกเลย และพอเปิดดูชั้นสองก็พบแฟ้มเอกสารสีชมพู สองแฝดมองหน้ากันอย่างรู้ความนัย ก่อนฮันเตอร์ดึงแฟ้มออกมากาง “ดูเป็นแฟ้มเก็บเอกสารนะพี่เตอร์ นี่บัตรประชาชนของคุณตา อันนี้ทะเบียนบ้านนี่” ฮันนี่ไม่เคยได้ใช้งานเอกสารพวกนี้ด้วยตนเอง ที่เธอรู้เพราะอ่านจากที่สายตาเห็น “สูติบัตร” มือของเด็กชายค้างไว้เมื่อเจอสิ่งที่ค้นหา “ใช่ๆ หน้าตาแบบนี้เลยที่ฮันนี่เห็นจากของมิกกี้ อันนี้เป็นชื่อของพี่ฮันเตอร์นี่นา” ฮันนี่นั่งคุกเข่าพลางยื่นหน้าเข้ามาอ่าน เธอไล่นิ้วค้นหาบรรทัดที่จดจำมาจากของเพื่อนว่าชื่อบิดาผู้ให้กำเนิดอยู่ตรงไหน “ไม่มีชื่อบิดา” “แปลว่าเราไม่มีพ่อ” ฮันเตอร์เสียงแผ่วตามน้องสาว หัวใจเหี่ยวเฉาโดยพลัน “เฮ้อ! เศร้าจัง นึกว่าจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับพ่อซะอีก” เด็กหญิงถอนหายใจหน้าเศร้าก่อนเหลือบไปเห็นสมุดเล่มเล็กสีชมพูที่ระบุชื่อว่า ‘สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก’ ที่อยู่ในลิ้นชัก ฮันนี่เอื้อมหยิบออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น พอเปิดดูหน้าแรกก็พบว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวที่เขียนด้วยลายมือ มีชื่อนามสกุลของแม่ และย่อหน้าต่อมาฮันนี่กับฮันเตอร์ก็พบชื่อ ‘จรณ์ นาถสุวรรณ’ ระบุอยู่ในข้อมูลของสามี แต่มีเพียงชื่อนามสกุลและอายุ ไม่มีหมายเลขบัตรประชาชนหรือเบอร์โทรศัพท์ “จรณ์ นาถสุวรรณ” สองแฝดอ่านชื่อนั้นแล้วพลันสบตากันด้วยหัวใจที่เต้นแปลกประหลาด อยู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบและขนลุกซู่ “นี่ชื่อพ่อของเรา เรามีพ่อจริงๆ ด้วย” ฮันนี่ยิ้มดีใจ เหลือบมองเสี้ยวหน้าของพี่ชายก็พบว่ากำลังยิ้มอยู่เช่นกัน “พี่ชักอยากรู้แล้วสิว่าคนชื่อจรณ์ นาถสุวรรณเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไง ทำไมถึงทิ้งแม่กับเราได้ลงคอ” “เนอะ ทั้งที่เราก็น่ารักน่าเอ็นดูกันขนาดนี้ ทิ้งเราลงคอได้ยังไง” น้องสาวสำทับทำเอาพี่ชายอดขำไม่ได้ ในละแวกหมู่บ้านที่อาศัยมีแต่ผู้ใหญ่ที่ชื่นชมเขาและน้องสาวว่าหน้าตาน่าเอ็นดูกันมาก แถมยังช่างพูดช่างคิด ฮันเตอร์ได้ยินถ้อยคำสปอยล์เช่นนี้มาตั้งแต่จำความได้ “เอ๋? นามสกุลนี้คุ้นๆ นะ เหมือนเคยได้เห็นได้ยินบ่อยๆ” ฮันเตอร์เอียงคอครุ่นคิดพลางพึมพำนาถสุวรรณซ้ำไปซ้ำมา “จริงด้วยพี่เตอร์ น้องก็รู้สึกว่ามันคุ้นๆ อยู่นะ” แล้ววินาทีต่อมาเด็กหญิงก็ดีดนิ้วดังเปาะ “อ๋า! นึกออกแล้ว นี่เป็นนามสกุลของคนที่สร้างโรงเรียนที่เราเรียนอยู่นี่นา นามสกุลนี้เป็นชื่อตึกหอสมุดไงพี่เตอร์” “จริงด้วยๆ หอสมุดนาถสุวรรณ อืม...พี่ว่าเราลองไปหาในอินเตอร์เน็ตเล่นๆ ดูไหม” “ดีค่ะ!” น้องสาวรีบเออออพลางชะเง้อไปทางโต๊ะทำงานอันไร้ระเบียบของมารดา “นั่นโน๊ตบุ๊กของแม่ ไปแอบใช้กันพี่เตอร์” ฮันเตอร์พยักหน้าแล้วเก็บแฟ้มและสมุดสีชมพูไว้ในลิ้นชักดังเดิม ตนจำได้หมดว่าชื่อนามสกุลของบิดาผู้ให้กำเนิดมีพยัญชนะอะไรบ้าง เด็กหญิงเปิดแล็ปท็อปของมารดาที่ไม่ได้ตั้งรหัสผ่านไว้ พลางเข้าสู่เว็บเบราว์เซอร์ที่เด็กรุ่นเธอใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ได้กันหมดแล้ว “มีณ.เณรการันต์ด้วย” พี่ชายเตือนเมื่อน้องสาวพิมพ์ผิด ฮันนี่แก้ไขเสร็จแล้วก็กดค้นหา และเพียงพริบตาเดียวข้อมูลที่ทั้งสองกระสันอยากทราบก็แสดงบนหน้าจอเป็นพรืด พร้อมด้วยรูปภาพของชายวัยสี่สิบห้าปีที่ใส่สูทผูกไทด์ดูภูมิฐานน่าเกรงขาม “คนนี้เหรอพี่เตอร์ คนนี้เหรอที่ชื่อจรณ์ นาถสุวรรณ” เสียงถามแผ่วเบาสวนทางกับเสียงหัวใจที่เต้นแรง ฮันนี่อธิบายความรู้สึก ณ ขณะนี้ไม่ถูก จะว่าดีใจที่ได้เห็นหน้าพ่อก็คงใช่ แต่มันก็เต็มไปด้วยคำถามที่เจือไปกับความน้อยเนื้อต่ำใจ “ตามข้อมูลที่เห็นพวกนี้ก็คงใช่แหละ เขาเป็นคนรวยมาก เป็นนักธุรกิจดังด้วย หือ? เขามีฉายาว่าคุณชายมาเฟีย” “ฟังดูไม่ดีเลยแฮะ คำว่ามาเฟียมันแปลว่าไม่ใช่คนดีใช่ไหมพี่เตอร์ น้องเคยได้ยินคำนี้อยู่นะ” “ใช่ แปลว่าไม่ใช่คนดี” “เขาเป็นคนไม่ดีเพราะเขาทิ้งเรานี่แหละ เชอะ!” ฮันนี่เบะปากสะบัดหน้า พยายามเอาความคิดด้านลบครอบงำความตื่นเต้น “อย่าคิดมากเลย แม่และเขาคงมีเหตุผล” “เราควรจะปล่อยผ่านเรื่องนี้จริงเหรอ พี่เตอร์คิดเหมือนฮันนี่ไหม?” น้องสาวถามขึ้นด้วยสายตาที่มีแผนการ ฮันเตอร์สบตาเพียงแค่ปราดเดียวก็แจ่มแจ้ง “จะไปเจอเขาเหรอ” “แล้วเจอไม่ได้หรือไง อย่างน้อยก็จะได้ถามว่าทิ้งเราทำไม แต่จะให้แม่รู้ไม่ได้เด็ดขาด ไปกันไหมพี่เตอร์” “ไปยังไงล่ะ เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” “ก็นี่ไงชื่อบริษัทเขา อยู่กรุงเทพฯ นี่แหละ เดี๋ยวเราค่อยหาทางแอบไปก็ได้ เอามะๆ” “เอางั้นเหรอ? จะดีเหรอ?” “ดีสิคะ ไม่มีไอเดียไหนที่จะดีเท่านี้อีกแล้ว” ยัยน้องยักคิ้วหลิ่วตาอย่างสนุกนึก คนพี่ครุ่นคิดหนักใจ ทว่าสุดท้ายก็พยักหน้าเออออ ก่อนรีบปิดการทำงานของแล็ปท็อปเมื่อเสียงคุณยายตะโกนเรียกให้ไปทานมื้อเย็น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม