5
ใครบางคนที่คุ้นเคย
แพทย์หญิงพิณลดาวัยยี่สิบเก้าปี สับฝีเท้าเต็มสปีดมุ่งไปยังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเวลาเที่ยงคืนกว่า ก่อนหยุดหอบหายใจตรงเตียงที่มีผู้ป่วยเป็นทารกวัยสามเดือนพร้อมด้วยพ่อแม่วัยหนุ่มสาวที่ต่างกระวนกระวายร้อนรนใจ
“ทารกเพศชายวัยสามเดือน มีอาการชักเกร็งค่ะคุณหมอ” พยาบาลสาวร้องบอก พิณลดาอยู่ในสถานะแพทย์ประจำบ้านปีสองจากแผนกกุมารเวชศาสตร์ เธอเคยเจอเคสเด็กชักมาเพียงหนึ่งหนแต่เป็นเด็กโตอายุสิบสองปีไม่ใช่ทารกบอบบางเช่นนี้
“เด็กตัวเขียวซีดและชักเกร็ง” แพทย์หญิงในชุดกาวน์สีขาวพึมพำพลางกัดปากสีซีดจนห้อเลือด ก่อนหันไปกระซิบพยาบาล “คุณพยาบาลต่อสายหาอาจารย์หมอวาทีให้หน่อยค่ะ”
“คุณหมอทำอะไรสักอย่างสิคะ ลูกฉันกำลังชักนะ ฮือๆ”
คุณแม่วัยยี่สิบต้นๆ ขอร้องปนสะอื้น พ่อของเด็กทารกก็คอยปลอบอยู่ไม่ห่าง ภาคย์ไม่อยากจะเอ็ดอึงนักหรอกว่าหากไม่ใช่ภาวะฉุกเฉินเขาคงไม่แวะเข้าโรงพยาบาลรัฐซึ่งอยู่ใกล้บ้านที่สุด และแพทย์หญิงคนนี้ก็ดูไม่ได้เชี่ยวชาญและตัดสินใจเองอะไรเองได้
“หมอพิณคะเด็กน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ อุณหภูมิร่างกาย 35.5 องศาเซลเซียส ชีพจร 190 บีพีเอ็ม และหายใจตื้นค่ะ” พยาบาลเวรอีกคนรายงาน พร้อมกันนั้นพยาบาลที่พิณลดาสั่งให้โทร.หาอาจารย์แพทย์ก็เข้ามากระซิบ
“อาจารย์วาทีตัดสายทิ้งค่ะ”
“ได้ยังไงกัน ลองโทร.หาอีกรอบ” พิณลดาเข่นเขี้ยว ครั้นจะกันพ่อแม่ของเด็กออกห่างก็กลัวโดนร้องเรียน พยาบาลพยายามต่อสายพร้อมเปิดสปีกเกอร์โฟน คราวนี้รองศาสตราจารย์ นายแพทย์วาที หัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ กดรับสายในที่สุด
“โว้ย! โทร.มาทำไมนักหนาวะ น่ารำคาญ ดื่มต่อโว้ยพวก”
นั่นคือเสียงของอาจารย์หมอหัวหน้าแผนกกุมารเวชศาสตร์ และเป็นเสียงอ้อแอ้ที่ได้ยินโดยทั่วกัน พิณลดาไม่ได้จะเรียกตัวอาจารย์หมอมาที่โรงพยาบาล เธอเพียงแค่ต้องการคำแนะนำก็เท่านั้น
พิณลดาบีบมือสองข้างพลางมองหน้าพ่อแม่เด็กที่ราวกับคนใกล้ขาดใจ ขณะที่ผู้เป็นพ่อก็มองเธออย่างกดดันปนจะกินหัวให้ได้
“คุณจะปล่อยให้ลูกผมตายเหรอ เพราะโรงพยาบาลนี้ใกล้ที่สุดหรอกนะและลูกผมก็อยู่ในภาวะฉุกเฉิน”
“ไม่ค่ะ จะไม่มีใครตายทั้งนั้น” แพทย์หญิงพิณลดาโต้ด้วยความมั่นใจที่ไม่รู้ว่าจู่ๆ พุ่งมาจากแหล่งไหน
เธอหันไปพลิกตรวจดูทารกและพบว่าริมฝีปากเขียวเล็กน้อย ปลายมือและปลายเท้าเย็นผิดปกติ นี่คือภาวะ hypotonia [1] หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
“เด็กอาจมี Sepsis [2] ต้องให้เด็กหยุดชักก่อน” พิณลดาประมวลข้อมูลในหัวอย่างรวดเร็วแล้วหันไปสั่งตัวยาสำหรับใช้รักษากับพยาบาล “ลอราซีแพมศูนย์จุดหนึ่งมิลลิกรัม เตรียมกลูโคสสิบเปอร์เซ็นต์”
พยาบาลทำการฉีดยาตามที่แพทย์หญิงสั่ง ทารกหยุดชักพร้อมกับเสียงสะอื้นของแม่เด็กที่เริ่มแผ่วลง พิณลดาเฝ้าดูอาการราวสองนาทีและพบว่าทารกยังซึม อัตราการหายใจก็ยังไม่ดีขึ้น เธอจึงหันไปสั่งพยาบาลให้เจาะเลือดและตรวจปัสสาวะ
“คุณหมอคะ ลูกฉันเป็นอะไรเหรอคะ เขาจะดีขึ้นไหม จะเป็นอะไรมากหรือเปล่า” ดารัณผู้เป็นแม่เด็กเอ่ยถามเสียงเครือ
“เรายังไม่แน่ใจค่ะ แต่ลูกของคุณมีอาการ hypoglycemia [3] หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ ร่วมกับภาวะอุณหภูมิต่ำ หมอต้องให้ Hydrocortisone [4] เผื่อในภาวะที่ต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ หรือผลิตฮอร์โมนคอร์ติโซลไม่เพียงพอ ซึ่งถ้าเราไม่ให้สเตียรอยด์ทันทีเด็กอาจจะช็อกและเสียชีวิตได้ค่ะ” พิณลดาอธิบายแก่พ่อแม่ของเด็กแล้วหันไปบอกให้พยาบาลเตรียมยาที่ต้องฉีด
“แปลว่าต้องแอดมิตใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะคุณพ่อ จะต้องแอดมิตที่หอผู้ป่วยเด็ก เบื้องต้นก็ประมาณสามถึงห้าวันค่ะ ต้องเฝ้าระวังอาการชักที่อาจเกิดซ้ำ ต้องติดตามภาวะน้ำตาลต่ำและดูสมดุลเกลือแร่ด้วย รวมถึงเช็กผลตรวจเลือดค่ะ เดี๋ยวคุณพยาบาลจะช่วยประสานเรื่องการแอดมิตให้นะคะ”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
สายตาห่วงใยของพ่อแม่เหลียวมองลูกน้อยที่อาการสงบลงก่อนตัดใจตามพยาบาลไปทำเรื่องแอดมิต พิณลดาถอนหายใจโล่งอกที่สามารถช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ แต่หลังจากวันนี้ไปคงไม่พ้นโดนอาจารย์หมอหาเรื่องตำหนิอย่างเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ชีวิตแพทย์ประจำบ้านของพิณลดาหาความสงบสุขได้ยากเย็นเหลือเกิน
****
ท้องฟ้าเริ่มมีแสงแรกของวันปรากฏ พิณลดาจ้ำฝีเท้าเดินพลางมองบรรยากาศด้านนอกกระจกสีหม่นของตึกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ขณะนี้เป็นเวลาหกโมงเช้า อีกเพียงสองชั่วโมงพิณลดาก็จะได้กลับไปกอดเจ้าแฝดจอมแสบแล้ว
“ผู้ปกครองของน้องปราชญ์ไปไหนแล้วคะพี่ฟ้า” พิณลดาถามพยาบาลประจำหอผู้ป่วยเด็กที่เดินผ่านมาพอดี เธอนึกว่าพวกเขารออยู่ที่เก้าอี้ด้านนอกเสียอีก ทว่าบริเวณนี้ไม่มีใครอยู่เลย
“อ๋อ เมื่อกี้คุณแม่แจ้งว่าจะไปที่ร้านกาแฟตรงล็อบบี้ค่ะ หมอพิณจะให้พี่ไปตามไหมคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพิณไปเอง ร่างกายกำลังต้องการคาเฟอีนอยู่พอดี พี่ฟ้าจะรับสักแก้วไหมคะเดี๋ยวซื้อมาให้”
“ไม่เป็นไรค่ะหมอพิณ เดี๋ยวพี่ก็ออกเวรไปนอนแล้ว”
“โอเคค่ะ อีกนิดเดียวเราก็จะได้หลับตาและพักผ่อนอย่างสบายใจแล้ว เย้ๆ”
แพทย์หญิงยิ้มอย่างระโหยโรยแรงพลางชูกำปั้นให้กำลังใจตนและเพื่อนร่วมงาน ก่อนเบี่ยงปลายเท้าไปยังลิฟต์และกดลงไปสู่ชั้นล่าง
“โอ๊ย สภาพฉันดูไม่ได้เลย นี่คนหรือซอมบี้เนี่ย”
พิณลดาบ่นคนในกระจก ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนมัดอย่างหลวมๆ ตรงท้ายทอย เครื่องสำอางไม่ปรากฏบนผิวหน้า แม้แต่ริมฝีปากก็ยังซีดจาง คนรับสภาพตัวเองไม่ได้จึงแก้ปัญหาลวกๆ ด้วยการกัดปากย้ำๆ พร้อมกับตบเบาๆ เพื่อให้มีเลือดไปเลี้ยงเรียวปาก อย่างน้อยก็จะได้ดูสภาพดีขึ้นหน่อย
พิณลดาเข้าเวรตั้งแต่สี่โมงเย็นของเมื่อวาน และวิ่งวุ่นดูแลเคสเด็กฉุกเฉินราวสามสี่รอบ พอว่างก็มาวางแผนหัวข้อวิจัย การใช้ชีวิตในฐานะแพทย์และแม่ของพิณลดาคือการแข่งขันกับเวลาอย่างแท้จริง