ลมเย็นที่พัดผ่านไม่ได้ช่วยให้รมิดารู้สึกสบายใจขึ้นเลย เมื่อชายคนแปลกหน้าในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันเดินตรงเข้ามาหาเธอ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มประหลาดที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
เธอถอยไปทางด้านซ้ายอย่างระมัดระวัง แต่แล้วชายคนนั้นก็พุ่งเข้ามาเร็วเกินคาด มือหนาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือบางของเธอ
“คุณเป็นใครคะ? เราไม่รู้จักกัน มาทำแบบนี้ทำไม?” รมิดาถามเสียงสั่น เธอพยายามสะบัดแขนออก แต่ข้อมือของเธอกลับถูกบีบแน่นขึ้น
ชายคนนั้นไม่ตอบคำถามของเธอ เขากลับยิ้มเหยียดและมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาไม่น่าไว้ใจ
“มานี่เถอะคนสวย อย่าดิ้นเลย จะให้พี่ ๆ ดูแลเธออย่างดีเอง” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง รมิดาหันไปมองก็พบว่ามีชายอีก 3-4 คนที่ดูเหมือนนักเลงเดินเข้ามาล้อมเธอไว้
“ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรพวกคุณเลย” รมิดาพูดเสียงสั่น น้ำตาคลอเบ้าด้วยความหวาดกลัว
ชายที่จับข้อมือเธอเอ่ยเสียงเข้ม “เธออาจจะไม่ได้มีเรื่องกับฉัน…แต่เธอมีเรื่องกับผู้หญิงของฉัน”
คำพูดนั้นทำให้รมิดาชะงัก เธอมองหน้าเขาด้วยความงุนงง “ฉันไม่เคยมีเรื่องกับใครเลยค่ะ! ฉันไม่รู้จักพวกคุณด้วยซ้ำ คุณกำลังเข้าใจผิดแน่ ๆ”
ชายอีกคนหนึ่งในกลุ่มหัวเราะในลำคอ “เหรอ? งั้นทำไมพวกน้อง ๆ ของฉันบอกว่าเธอชอบไปยุ่งกับผู้ชายของพวกเขาล่ะ?”
รมิดาขมวดคิ้วแน่น “ฉันไม่ได้ยุ่งกับใครทั้งนั้น คุณไปถามพวกเขาใหม่เถอะค่ะ ฉันขอร้อง ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ”
“ไม่ได้หรอก” ชายที่จับข้อมือเธอพูดเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยความคุกคาม “วันนี้เธอต้องสำนึกก่อนว่าทำอะไรลงไป อย่าคิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะรอดง่าย ๆ”
รมิดาตัวสั่น เธอพยายามมองหาคนช่วยเหลือ แต่บริเวณนั้นกลับเงียบเชียบอย่างน่ากลัว เสียงรถที่ผ่านไปมาอยู่ไกลเกินจะได้ยิน
ในขณะที่รมิดาพยายามสะบัดข้อมือออกจากการจับกุมและขอร้องให้กลุ่มชายที่ล้อมเธอไว้ปล่อย ทันใดนั้นเสียงทุ้มดังขึ้นขัดจังหวะสถานการณ์ตึงเครียด
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นพวกนายได้เจอดีแน่”
กลุ่มชายพวกนั้นหันไปตามเสียงอย่างรวดเร็ว และพบกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดนักศึกษายืนอยู่กับเพื่อนผู้ชายอีก 2-3 คน ทั้งหมดดูเหมือนจะเดินผ่านมาโดยบังเอิญ แต่สิ่งที่ดึงความสนใจไม่ใช่แค่จำนวนของพวกเขาเท่านั้น มันคือสายตาคมดุของชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าสุด
“นี่แกเป็นใคร มาสั่งพวกฉันเหรอ?” หัวโจกในกลุ่มพูดขึ้นพร้อมหัวเราะเยาะ
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบทันที แต่เดินตรงเข้ามาเรื่อย ๆ แววตาเยือกเย็นอย่างน่ากลัว “ฉันบอกให้ปล่อยเธอ” เขาพูดซ้ำ น้ำเสียงหนักแน่นจนทำให้คนฟังรู้สึกถึงแรงกดดัน
หัวโจกสบถเบา ๆ ก่อนจะพุ่งเข้ามาหมายจะผลักเขาออกไป ทว่าภีมกลับสวนหมัดเข้าที่ปลายคางของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทำให้ชายคนนั้นเซถอยหลังไป
“ใครจะลองอีกก็เข้ามาเลย” ภีมพูดพร้อมกับตั้งท่าป้องกันตัว เพื่อนของเขาที่อยู่ด้านหลังก็ก้าวขึ้นมายืนข้าง ๆอย่างไม่ลังเล
กลุ่มชายพวกนั้นเริ่มลังเล ทว่า หัวโจกที่ยืนขึ้นมาได้ตะโกน “เอาสิ พวกแกแค่ปีหนึ่ง ทำไมฉันต้องกลัว!”
แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรต่อ สายตาของเขาสบเข้ากับใบหน้าของภีมอย่างเต็ม ๆ สีหน้าที่เคยกร่างกลับเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
“ไอ้ภีมเหรอ… แกใช่มั้ย?” หัวโจกพูดเสียงสั่นเล็กน้อย
ภีมเลิกคิ้วขึ้น “ใช่ แล้วนายอยากลองอะไรอีกล่ะ?”
หัวโจกถอยหลังอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปตะโกนบอกพรรคพวกของเขา “เฮ้ย! ไปเว้ย ไปเร็ว!”
เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังขึ้นพร้อมกัน ขณะที่พวกเขารีบวิ่งหนีหายไปในความมืด ทิ้งให้รมิดายืนนิ่งด้วยความตกใจ
ภีมลดมือลง หันกลับมามองหญิงสาวที่ยังคงตัวสั่น “เป็นอะไรไหม?” เขาถามเสียงนุ่มลง
รมิดาพยายามตั้งสติ ก่อนจะตอบน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่เป็นอะไรค่ะ ฉัน… ฉันแค่ตกใจ”
ภีมพยักหน้าเบา ๆ สายตาของเขาดูผ่อนคลายขึ้น “ดีแล้วครับ แต่คุณกลับบ้านคนเดียวแบบนี้มันอันตรายนะให้ผมไปส่งเถอะ”
รมิดาลังเลเล็กน้อย เธอมองดูชายหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าคมเข้มและท่าทางที่ดูมั่นใจของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
“ขอบคุณนะคะ แต่ไม่รบกวนคุณดีกว่า…” เธอพูด แต่ภีมขัดขึ้นอย่างสุภาพ “ไม่รบกวนหรอกครับ เรื่องเมื่อกี้ผมเห็นเต็มตา จะปล่อยให้คุณไปคนเดียวอีกไม่ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น รมิดาจึงตัดสินใจตอบตกลง “งั้น… ขอบคุณมากนะคะ”
ภีมพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปบอกเพื่อน ๆ ของเขาให้กลับบ้านไปก่อน จากนั้นเขาจึงเดินนำรมิดาไปที่มอเตอร์ไซค์ของเขา
ระหว่างทางกลับบ้าน รมิดาอดไม่ได้ที่จะสงสัย ทำไมกลุ่มผู้ชายพวกนั้นถึงวิ่งหนีทันทีที่เห็นภีม เขาเป็นใครกันแน่?
เมื่อรมิดายื่นหมวกกันน็อกคืนให้ภีม พร้อมกับกล่าวขอบคุณน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณมากนะคะภีม วันนี้ช่วยฉันไว้ได้เยอะเลย พรุ่งนี้เจอกันที่คณะนะ”
ภีมยิ้มเล็กน้อย รับหมวกกันน็อกกลับมาแล้วพยักหน้า “ไม่เป็นไรครับ กลับเข้าบ้านดี ๆ นะ แล้วเจอกัน”
รมิดายิ้มกว้าง โบกมือให้เขา ก่อนจะเดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกโล่งใจที่วันนี้จบลงโดยไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นอีก ทว่าความสงบสุขนั้นอยู่ได้ไม่นาน เพราะสายตาคมกริบของปรเมศที่ยืนกอดอกอยู่ตรงมุมประตูทางเข้าทำให้รมิดาชะงัก
“กลับมาแล้วเหรอ?” เสียงของปรเมศดังขึ้น พร้อมกับน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจ
รมิดาเลิกคิ้วมองเขาอย่างงุนงง “ค่ะ แล้วน้องอชิล่ะคะ หลับแล้วใช่ไหม?”
ปรเมศเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาคมจับจ้องเธออย่างคาดคั้น “เธอบอกว่าจะไปทำรายงาน แต่กลับมาดึกดื่นแล้วยังมีคนขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านอีก ผู้ชายคนเมื่อกี้คือใคร?”
คำถามนั้นทำให้รมิดาถอนหายใจเบา ๆ เธอพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้โต้กลับด้วยอารมณ์ “เขาชื่อภีม เป็นรุ่นเดียวกันในคณะเดียวกัน วันนี้ฉันเจอปัญหานิดหน่อยระหว่างกลับบ้าน เขาแค่ช่วยฉันไว้ ไม่มีอะไรเกินกว่านั้น”
ปรเมศเลิกคิ้วขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ปัญหา? ปัญหาอะไร? แล้วทำไมต้องให้เขามาส่ง เธอบอกเองว่าจะรีบกลับมาดูแลน้องอชิ นี่คือสิ่งที่เธอทำ?”
รมิดาเริ่มไม่พอใจกับน้ำเสียงตัดสินของเขา เธอพูดเสียงเรียบแต่หนักแน่น “คุณไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ ฉันเจอพวกอันธพาลที่ป้ายรถเมล์ ถ้าภีมไม่ช่วยไว้ ฉันอาจจะโดนทำร้ายก็ได้ ฉันไม่คิดว่าต้องมาอธิบายเรื่องนี้ให้คุณฟังด้วยซ้ำ”
ดวงตาของปรเมศอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อได้ยิน แต่เขายังไม่ละความไม่พอใจ “แล้วทำไมไม่โทรบอกฉัน? หรือเธอไว้ใจเขามากกว่าคนในครอบครัว?”
รมิดาสบตาเขานิ่ง “เพราะฉันคิดว่าคุณคงเหนื่อยกับการดูแลน้องอชิทั้งวันแล้ว ฉันไม่อยากเพิ่มภาระให้คุณอีก”
คำพูดนั้นทำให้ปรเมศนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะพูดเสียงต่ำ “ครั้งหน้าถ้ามีปัญหาอะไร โทรหาฉันก่อน ไม่ต้องไปพึ่งคนอื่น”
รมิดามองเขาอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่อยากต่อความยาว “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณที่ดูแลน้องอชิให้ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เธอเดินผ่านเขาเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ปรเมศยืนมองตามหลังด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงหงุดหงิดนักเมื่อเห็นเธอยิ้มให้คนอื่นแบบนั้น…เขาแค่ต้องการดูแลน้องอชิแค่นั้นแต่ทำไมถึงรู้สึกแปลก ๆ แบบนี้