เช้าวันรุ่งขึ้น รมิดาตื่นตั้งแต่ตี 5 เพราะเธอมีเรียน 8 โมงเช้าจนถึงบ่าย เธอต้องตื่นเวลานี้ทุกวันเพื่อเตรียมนม เตรียมขนมใส่กระเป๋าให้น้องอชิ หากวันไหนมีเวลาว่างก็จะทำอาหารให้น้องอชิด้วย ทว่าเช้าวันนี้แปลกไป ปรเมศชายหนุ่มหน้าขรึมคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่สาว ๆ หลายคณะต่างหมายปอง กำลังยืนทำอาหารอยู่ที่ครัว โดยใส่ผ้ากันเปื้อนรูปกระต่ายของเธอ หญิงสาวจ้องมองจนลืมตัว คิดไปว่า เขาก็มีมุมที่น่ารักเหมือนกัน
จนตอนนี้เป็นเวลา 7 โมงเช้า
รมิดายืนพิงกรอบประตูครัว มองภาพตรงหน้าอย่างงุนงงและอดขำไม่ได้ ปรเมศ—ชายหนุ่มสุดเย็นชา หน้าขรึมที่ไม่เคยเห็นเขาสนใจเรื่องพวกนี้—กลับมายืนทำอาหารอยู่ในครัวของเธอ แถมยังใส่ผ้ากันเปื้อนลายกระต่ายสีชมพูของเธออีก
เธอเผลอยิ้มออกมา “คุณกำลังทำอะไรน่ะ?”
ปรเมศที่กำลังคนไข่ในกระทะสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองเธอ “ทำอาหารเช้าให้น้องอชิ” เขาตอบเสียงเรียบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
รมิดาขมวดคิ้ว “ตั้งแต่เมื่อไหร่คุณทำอาหารเป็น?”
ปรเมศเลิกคิ้ว “ไม่ได้เก่งขนาดนั้น แต่พอทำได้บ้าง เธอจะยืนมองเฉย ๆ หรือจะมาช่วย?”
หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ พลางเดินเข้าไปใกล้ “ก็แค่แปลกใจค่ะ ไม่คิดว่าคนอย่างคุณจะใส่ผ้ากันเปื้อนลายกระต่ายได้”
ปรเมศเหลือบตามองลงมาที่ตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจ “เมื่อคืนหาไม่เจอ เจอแต่ของเธอ เลยต้องใช้ไปก่อน”
รมิดายิ้มมุมปาก “แล้วรสชาติอาหารที่คุณทำล่ะ ทานได้ไหม?”
“ก็ต้องลองชิมดู” ปรเมศตักไข่คนใส่จาน แล้วยื่นให้เธอ
รมิดารับมาชิมคำเล็ก ๆ ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ “อร่อยกว่าที่คิดนะคะ!”
ปรเมศยักไหล่เหมือนไม่ได้ใส่ใจ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“งั้นฝากดูแลน้องอชิด้วยนะคะ วันนี้ฉันมีเรียนทั้งวัน” รมิดาวางจานลง แล้วหยิบกระเป๋าของตัวเอง
ปรเมศมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเรียบ ๆ “เธอเองก็ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย”
รมิดาชะงักไปเล็กน้อย ไม่ค่อยได้ยินประโยคแบบนี้จากปากเขาสักเท่าไหร่ เธอหันมายิ้มบาง ๆ “ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ก่อนออกจากบ้านรมิดาไม่ลืมที่จะกำชับน้องอชิ ว่า
“อชิครับวันนี้อยู่กับลุงเมศนะครับ”
น้องอชิจ้องรมิดาตาแป๋ว ไม่สอบถามอะไรต่อ พลางพยักหน้าให้ นั่นทำให้รมิดาใจฟู นับเป็นวาสนาที่ได้เลี้ยงดูเด็กว่านอนสอนง่ายแบบนี้ ไม่รอช้ารมิดาเอื้อมมือเล็กไปลูบหัวเด็กน้อยเบา ๆ “อย่าดื้อกับลุงเมศนะ เดี๋ยวป้าดาเรียนเสร็จจะรีบกลับมาหา”
“ได้ฮะ ป้าดารีบกลับมานะ” น้องอชิพยักหน้าหงึก ๆ ดวงตากลมใสจ้องเธออย่างเชื่อฟัง
รมิดายิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะก้มลงจุ๊บหน้าผากเด็กน้อยเบา ๆ “เด็กดีของป้า”
เธอเงยหน้าขึ้นมองปรเมศที่ยืนกอดอกอยู่ใกล้ ๆ “ฝากดูแลน้องอชิด้วยนะคะ”
ปรเมศพยักหน้าเรียบ ๆ “ฉันบอกแล้วไงว่าเขาก็เป็นหลานฉันเหมือนกัน ไม่ต้องห่วง”
รมิดาพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบก้าวออกจากบ้านไปพร้อมกับรอยยิ้ม ทว่าทันทีที่เธอพ้นสายตาไป ปรเมศก็ก้มมองเด็กตัวเล็กที่กำลังจ้องหน้าเขาอยู่
“ลุงเมศ วันนี้อชิอยากเล่นสนามเด็กเล่น”
ปรเมศเลิกคิ้ว “อืม… แล้วทำไมต้องบอกลุงล่ะ?”
“ก็ลุงเมศเป็นคนดูแลอชินี่นา” น้องอชิพูดอย่างฉลาด พลางกะพริบตาปริบ ๆ
ปรเมศหัวเราะเบา ๆ “งั้นไปกันเถอะ ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะอ้อนลุงมากไปกว่านี้”
เด็กชายยิ้มกว้าง รีบวิ่งไปหยิบรองเท้าตัวเองใส่อย่างกระตือรือร้น ปรเมศมองภาพนั้นแล้วได้แต่ถอนหายใจ เหมือนเขากำลังจะกลายเป็น ‘พี่เลี้ยงเด็ก’ เต็มตัวเข้าไปทุกที…
“แต่ก่อนจะออกไปเล่น ไปล้างมือมากินข้าวก่อนนะครับอชิ สัก 8 โมงลุงจะพาไป“
”ครับผม“
หลานชายพยักหน้าหงึก ๆ จากนั้นปีนเก้าอี้ตัวเล็ก ยืนบนนั้นเพื่อล้างมือเอง อย่างที่ป้าดาสอน ปรเมศมองน้องอชิที่ว่านอนสอนง่าย รู้เรื่องเกินกว่าเด็กทั่วไปเสียอีก เดิมทีที่เขามาที่นี่คิดว่ารมิดารั้งที่จะดูแลน้องอชิเพียงเพื่อหวังเงินประกันชีวิตของพี่สาว ตอนนี้เขาคงต้องกลับไปคิดใหม่ เพราะรมิดาเองก็ดูแลน้องอชิดีเกินกว่าที่เขาได้คิดไว้เสียอีก
อีกด้านของรมิดา
เสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์ดังคลอไปกับความคิดฟุ้งซ่านของรมิดา สายตาของเธอทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ในใจกลับนึกย้อนไปถึงตอนเช้าที่ทิ้งให้น้องอชิอยู่กับปรเมศ
“หวังว่านายปรเมศนั่นจะดูแลน้องอชิได้นะ ไม่ใช่ว่าดูวันเดียวย้ายออกจากบ้านล่ะ” เธอพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจ
มันรู้สึกแปลกจริง ๆ ที่วันนี้เธอไม่ต้องจับมือน้อย ๆ ของน้องอชิเดินออกจากบ้าน ไม่ต้องคอยหันไปดูว่าเด็กน้อยเดินตามมาทันหรือเปล่า หรือห่วงว่าเขาจะงอแงตอนนั่งรถเมล์ ไม่ต้องคอยบอกว่า “อชิครับ เดี๋ยวลงป้ายหน้านะครับ จับมือป้าไว้นะ”
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของเธอที่ผ่านมามันช่างต่างจากเพื่อน ๆ คนอื่น วันนี้กลับเป็นวันที่เธอได้ลองใช้ชีวิตวัยรุ่นเต็มตัวเป็นครั้งแรก ไม่ต้องรีบกลับบ้าน ไม่ต้องคอยคิดว่าหลานจะกินข้าวหรือยัง หรือกำลังทำอะไรอยู่
แต่แปลก… ทำไมเธอกลับรู้สึกโหวง ๆ ในใจ
รมิดาเหลือบมองนาฬิกาข้อมืออย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะส่ายหัวให้กับตัวเอง “ยังไม่ทันถึงมหาวิทยาลัยเลย จะคิดถึงน้องอชิแล้วเหรอเนี่ย”
เธอพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป แล้วเปลี่ยนมาโฟกัสกับบรรยากาศรอบตัวแทน วันนี้คณะของเธอมีเรียนเช้าจนถึงบ่าย และตอนเย็นก็มีนัดกับเพื่อน ๆ ที่คณะเพื่อเตรียมการนำเสนอรายงาน หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วบอกกับตัวเองว่า…
“เอาล่ะ วันนี้เราจะเป็นนักศึกษาธรรมดาสักวัน แล้วจะไม่พะวงเรื่องที่บ้านมากเกินไป”
แต่จะทำได้จริง ๆ หรือเปล่า… นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง และรมิดาเองก็ลืมถามปรเมศว่าเขานั้นมีเรียนหรือไม่ และช่องทางติดต่อเธอก็ไม่มี จุดนี้เองจะทำให้เกิดความวุ่นวายจนไปถึงการแตกหักของปรเมศกับรมิดา…..