บทที่๗ รับผิดชอบ

1653 คำ
ช่วงสายของวันที่ผู้คนส่วนใหญ่ตื่นมาใช้ชีวิตกันถึงไหนต่อไหน แต่คนเมากลับยังนอนสบายอยู่บนเตียงกว้าง ส่วนใครอีกคนที่ถูกดูดกลืนเรี่ยวแรงไปจนหมดก็ยังหลับไม่ได้สติอยู่ข้างกัน “ปวดหัวฉิบหาย” ด้วยความรู้สึกหิวเพราะไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อเย็น เลยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการแฮงค์ที่วันนี้ต้องได้ถอนอีกเป็นแน่ “ปวดเอวจังวะ” บ่นให้กับตัวเองอย่างไม่ได้สงสัยอะไร คงไปพลาดล้มหรือชนอะไรเข้าให้ตามเคยนั่นแหละ นายพยุงตัวลุกแล้วบิดไล่ความปวดเมื่อยทั้งตัว รับรู้ได้ว่าร่างกายตัวเองเปลือยล่อนจ้อนจนต้องควานมือหาเสื้อ “...?” คิ้วเข้มขมวดแน่นเมื่อสัมผัสโดนอะไรบางอย่าง อุ่น ๆ นุ่ม ๆ เหมือนอาการเมาค้างหายสนิท ยื่นมือไปเปิดโคมไฟข้างหัวเตียงทันที “ไอ้ฉิบหาย!!” ดีดตัวลงจากเตียงยืนแข็งค้างอยู่กับภาพตรงหน้าเมื่อเห็นหน้าคนบนเตียง ไหล่บางกับคอแดงจ้ำที่ไม่มีผ้าปกปิดทำให้เห็นทุกอย่างและไม่ได้โง่ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น สติกระจุยกระจายเหมือนถูกระเบิดสมอง คิดอะไรไม่ออกก่อนจะรีบคว้ากางเกงมาใส่เพื่อหนีสถานการณ์ตรงหน้านี้ไปตั้งตัวก่อน แกร็ก! แต่ที่ฉิบหายกว่านั้นเมื่ออยู่ ๆ ประตูห้องนอนที่ไม่ได้ล็อกก็เปิดออกมา “คิดว่าเมาจนลุก...” คนเป็นแม่ที่จะมาดูลูกชายกลัวเมาจนไหลตายกำลังบ่นด้วยความแปลกใจ แต่ “...!!” คำพูดติดอยู่ในลำคอเมื่อเห็นสีหน้าตื่นของลูกชายพร้อมกับสายตาที่เหลือบไปเห็นร่างบางสีขาวใต้ผ้าห่มบนเตียงลูกชาย “ไอ้นาย!” ตะคอกด่าลูกชายด้วยความโกรธก่อนจะพุ่งเข้าไปฟาดมือตีลูกที่ตัวใหญ่กว่าแม่ “โอ้ย! แม่หนูเจ็บ!” ร้องอวดครวญหลบฝ่ามืออรหันต์ของแม่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมทั้งตีทั้งบิดเขาจนระบมไปทั้งตัว คนหลับด้วยความอ่อนเพลียเริ่มรับรู้ถึงเสียงที่ดังเข้าโสตประสาท นั่นทำให้น้ำหวานค่อย ๆ ลืมขึ้นมาด้วยความมึน ๆ เบลอ ๆ สายตาค่อย ๆ โฟกัสเห็นภาพแม่นงของเธอกำลังฟาดตีพี่นายอยู่ เหมือนจะเป็นภาพที่ไม่ได้หากดูได้ยากเท่าไหร่จนเกือบไม่ได้เอะใจอะไร จนสมองเริ่มทำงาน พรึ่บ! ดีดตัวลุกขึ้นนั่งโดยไม่ลืมกุมผ้าปกปิดร่างกายของตัวเองด้วยความตกใจตื่น เรียกสายตาสองคู่ของแม่ลูกให้หันมาสนใจเธอทันที เมื่อคืน... “พากันจัดการตัวเองให้เรียบร้อยไป” นางนงถอนหายใจออกมาแล้วบอกลูกทั้งสองก่อนจะเดินออกจากบ้านหลังเล็กกลับบ้านหลังใหญ่ไปหาสามี พอเหลือกันอยู่สองคนทำให้เขากับเธอหันมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็เป็นนายที่เดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่ได้พูดอะไรนอกจากโทษตัวเองที่เมื่อคืนดื่มหนักจนแยกแยะอะไรไม่ออก เมื่อวานซืนเป็นวันสุดท้ายของงานเกี่ยวข้าวเมื่อคืนเลยทำให้เขานัดตั้งวงกับเพื่อนทันที ดื่มแบบไม่กลัวตายหลังจากเหนื่อยสายตัวแทบขาดมาหลายเดือนจากคิวเกี่ยวข้าวที่ยาวเป็นหางว่าว เกี่ยวแทบไม่ได้หยุด ออกจากบ้านตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ากลับถึงบ้านสองสามทุ่มบางวันสี่ทุ่มก็มี เลยทำให้ช่วงเกี่ยวข้าวที่ผ่านมาแทบจะแค่จิบ ๆ ก่อนเข้านอนเท่านั้น พอหมดงานก็ปล่อยจอยเหมือนกลัวเหล้าหมดอายุ บอกตรง ๆ เลยว่าเมื่อคืนจำอะไรไม่ได้ ไม่มีสักเสี้ยวในความทรงจำด้วยซ้ำว่าน้ำหวานมาอยู่ตรงหน้า ส่วนน้ำหวานเห็นแบบนั้นก็รีบลุกใส่เสื้อผ้ากลับบ้านใหญ่พาตัวเองอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรู้สึกต่าง ๆ นานาที่พูดไม่ออก เธอไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเติบโตมากับคำพูดของผู้ใหญ่สองครอบครัวที่บอกมาตลอดว่าเราสองคนหมั้นหมายกันปากเปล่ามาตั้งแต่เธอคลอด แม้ตอนแรกเธอจะหนักแน่นกับคำว่าพี่น้องปฏิเสธทุกความรู้สึกของเขา แต่นี่แหละคือสิ่งที่หลายปีมานี้มันเปลี่ยนไปในตัวเธอ ไม่มีเขาถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาพูดมันไม่ผิด ใจลึก ๆ ของเธอในตอนที่เขาพยายามจีบมันหวั่นไหวไปแล้ว แต่เธอแค่หลอกตัวเองและไม่ยอมรับ ปฏิเสธแม้แต่ความรู้สึกที่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันมีมานานแค่ไหน จนกระทั่งเห็นเขาทำเหมือนเธอเป็นแค่น้อง มันจึงทำให้ใจเรียกร้องอยากได้เขาที่จีบเธอกลับคืนมา แต่มันสายเกินไป เพราะสิ่งที่เปลี่ยนไปในตัวเขาอย่างที่เธอก็รับรู้คือ ใจเขาไม่ได้มีเธออีกแล้วแม้แต่เศษเสี้ยว การปฏิบัติต่อเธอมันสัมผัสได้ว่าเขาบริสุทธิ์ใจเหมือนคนไม่เคยมีใจด้วยซ้ำ และเพราะรู้แบบนั้นมันทำให้เธออายจนเลือกจะปิดซ่อนทุกอย่างไว้ กลัวว่าเขาจะไม่สนิทกับเธอเหมือนเดิม กลัวเขาจะมองเธอเปลี่ยนไป พี่น้องที่เธออยากให้เป็นในอดีต แต่กลับไม่ต้องการมันเลยในตอนนี้ อีกอย่าง ระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเธอก็อยู่ที่นี่เหมือนครอบครัวส่วนหนึ่งไปแล้ว ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องหมั้นหมายอะไรอย่างในอดีตตอนพ่อแม่เธออยู่ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าความคิดของพ่อชิดกับแม่นงยังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า แล้วเกิดเรื่องนี้ขึ้นพวกท่านจะยังเอ็นดูเธอเหมือนเดิมอีกไหม หลังจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย นั่งเรียกความกล้าให้ตัวเองพักใหญ่ สุดท้ายน้ำหวานก็พาตัวเองลงไปเผชิญหน้ากับพ่อชิดแม่นงที่คงรออยู่ ไม่ผิดจากที่คิด แต่มีนายเพิ่มเข้ามาด้วย เธอเดินก้มหน้าไปยังโซฟาตัวใหญ่หน้าทีวีที่พ่อแม่ชอบนั่งดูทีวีประจำ ไม่กล้าเงยหน้าสบตากับใคร “มานั่งข้างแม่มา” แม่นงยังคงมีน้ำเสียงปกติกับเธอ เรียกและยื่นมือมารับให้ไปนั่งข้าง ๆ “รู้ใช่ไหมว่าพ่อกับแม่หมั้นหมายเราสองคนไว้ตั้งแต่เด็กแล้ว” เป็นนายชิดที่พูดขึ้นเป็นคนแรกหลังได้ฟังเรื่องราวจากปากเมียไปแล้ว “แต่พ่อ...” นายกำลังจะแย้งก็เจอสายตาเรียบนิ่งของพ่ออย่างที่ไม่ค่อยได้ทำ “จริง ๆ การที่เอาน้องมาอยู่ที่นี่แม่ก็หวังอยากให้มาอยู่ในฐานะสะใภ้ตั้งแต่แรก แต่ด้วยอายุตอนนั้นยังเด็กพ่อกับแม่เลยไม่เคยพูดเรื่องนี้” นางนงพูดต่อให้ลูก ๆ ได้เข้าใจ “แต่ตอนนี้ลูกทั้งสองโตแล้ว แล้วก็เลยเถิดมาขนาดนี้แล้ว พ่อกับแม่คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องหมั้นหมายกันให้ถูกต้องตามประเพณี” “แต่ผมเห็นหวานเหมือนน้อง” ในที่สุดนายก็พูดความคิดและความรู้สึกตัวเองออกมา แรกเริ่มเห็นเธอเป็นน้อง แต่ต่อมาก็รู้สึกชอบและอยากคบ แต่เป็นเธอที่ผลักไสเขาออกเรื่อย ๆ เอาแต่เรียกร้องคำว่าพี่น้องที่เขาเคยไม่อยากเป็น โดนเข้าทุกวัน ๆ จนในที่สุดเขาก็ยอมรับและถอยออกมา ระยะหลายปีของการแยกกันอยู่ มันเป็นระยะเวลาที่มากพอให้เขา ไม่เหลือเยื่อใยและความรู้สึกอื่นใดให้เธอเกินกว่าพี่น้องไปแล้ว เกือบปีที่เขาทำใจและพยายามตัดใจ กับอีกสองปีที่เธอกลับบ้านแค่วันหยุดเจอหน้ากันแค่ตอนกินข้าว มันไม่ได้ยากเลยที่จะทำให้ความรู้สึกหลายอย่างที่เคยมีหมดไป ความรู้สึกบางอย่างก็กลับมาคงที่เหมือนเดิม เขามองเธอเป็นเหมือนน้องมาตลอดหลังทำใจและยอมรับความจริงได้ “ตอนแรกจะเห็นเป็นอะไรพ่อไม่ว่า แต่ตอนนี้เอ็งได้น้องแล้วก็ต้องรับผิดชอบ” นายชิดย้อนกลับเสียงเรียบจริงจัง “แต่เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ไม่เห็นแปลกเลย เรื่องของวัยรุ่นทั่วไป” ที่จะมีอะไรกันโดยไม่จำเป็นต้องแต่งหรือหมั้นให้เป็นเรื่องใหญ่โต “ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้ามันเกิดขึ้นกับคนอื่นไม่ใช่คนที่แม่หมายให้เป็นเมียเอ็ง แล้วยังอยู่บ้านเดียวกันแบบนี้” นั่นแปลว่าจะมองหน้ากันไม่ติด แล้วไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แน่นอน “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรบังคับกัน” เขายังไม่ยอม “เอ็งเห็นด้วยกับพี่ไหมหวาน” แล้วก็หันไปถามอีกตัวแปรสำคัญที่ขอแค่เธอช่วยเขาปฏิเสธ เขาเชื่อว่าพ่อกับแม่จะยอมฟังและรอดูสถานการณ์ไปก่อน แต่ไม่! “หวาน ไม่รู้จ้ะ” น้ำหวานยังตั้งสติไม่ได้กับสักเรื่อง พอถูกโยนคำถามให้ตอบอย่างไม่ได้ตั้งตัวพร้อมกับสายตาทั้งสามคู่ นั่นเลยทำให้เธอตั้งตัวไม่ทันและเลือกคำตอบไม่ถูก และการที่น้ำหวานไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรออกมามันก็ทำให้นางนงอยากให้ความยุติธรรมกับหญิงสาว ห่วงความรู้สึกของน้ำหวานที่เป็นคนกลางพูดอะไรออกมาก็ลำบากไปหมด นั่นเลยทำให้นางนงตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเองพร้อมกับบอกลูก ๆ “เอาเป็นเอ็งต้องรับผิดชอบน้อง แม่จะให้ผูกข้อมือหมั้นกันก่อน ส่วนเรื่องแต่งค่อยพูดกันอีกที”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม