การยอมรับความจริงอาจไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็คงไม่ยากเกินความสามารถ เหมือนกับนายที่รับปากแล้วว่าจะไม่วุ่นวายเกินคำว่าพี่ของเธออีก และเขาก็ทำมันได้ดีไม่น้อยแม้แรก ๆ จะยากมากก็ตาม
แต่ด้วยระยะเวลาและความลงตัวของจังหวะเวลาทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เรียนจบและเลือกกลับไปอยู่บ้าน ส่วนน้ำหวานก็ยังใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาปีสองสามสี่ต่อมาเรื่อย ๆ และแน่นอนว่าอีกสามปีของการเรียนที่พอไม่มีนายคอยดูแลอย่างในวันวาน มันทำให้เธอรู้สึกแปลกไป
ถึงเวลาเรียนของเธอที่ปกติมีคนมาเคาะห้องรอรับก็เหลือเพียงเธอที่ต้องไปเรียนเอง ถึงเวลาเลิกเรียนที่มีข้อความส่งมาว่ารออยู่หน้าตึกแต่ตอนนี้ก็เงียบหายไม่มีแม้แต่ข้อความส่งมาสักฉบับ เวลากินข้าวหากไม่ได้นัดไปเดินตลาดกับเพื่อนก็แวะซื้อกลับมากินคนเดียวที่ห้อง
ความรู้สึกรำคาญและมากเกินไปของเขาที่ผ่านมามันสร้างความเคยชินให้กับเธอไปอย่างง่ายดาย พอไม่มีเขาก็กลายเป็นความเหงาที่เธอก็ไม่อยากยอมรับความรู้สึกลึก ๆ ในใจของตัวเอง
“เดี๋ยวก็ชิน” ปลอบตัวเองออกมาอย่างให้กำลังใจ เชื่อว่าหลังจากนี้ก็จะซึมซับชีวิตที่ไม่มีเขาในระหว่างอยู่นอกบ้านอีกหลายปี ยังไงก็จะชินและคุ้นเคยกับตัวเองอีกครั้ง
วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ปกตินั่งรถยนต์กลับบ้านพร้อมกับนาย แต่กลายเป็นการบิดมอเตอร์ไซต์กลับมาเองคนเดียว พอกลับมาถึงทุกอย่างที่บ้านก็ยังเหมือนเดิม จะต่างออกไปก็ตรงไม่มีใครอีกคนมากวนมาทักเธอเวลาเขาเหงา
“กลับมาแล้วเหรอลูก ทำไมไม่กลับพรุ่งนี้ล่ะ ขี่รถเย็นมันอันตราย” แม่นงทักทายลูกสาวของเพื่อนรักขึ้นเมื่อน้ำหวานเดินเข้าบ้าน
“อยู่หอไปก็เหงาจ้ะ เลยกลับบ้านดีกว่า”
“แม่ก็คิดว่าไม่ได้กลับ ถามพี่นายเขาบอกว่าหนูบอกไม่รู้เลยไม่ได้ให้ไปรับ”
“...” น้ำหวานยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไร ทั้งที่ความเป็นจริงนายไม่ได้ส่งข้อความถามเธอเลยด้วยซ้ำ “ทำกับข้าวหรือยังจ๊ะ เดี๋ยวหนูช่วย”
“ทำเสร็จแล้ว เอาของไปเก็บไปเดี๋ยวมากินข้าวกัน”
“จ้ะ” ตอบรับก่อนจะพาตัวเองขึ้นชั้นสองของบ้านเอาของไปเก็บแล้วก็ลงมาข้างล่าง “พี่นายละจ๊ะ”
“ไปเรียกแล้วบอกไม่หิว”
พยักหน้ารับก่อนจะช่วยยกข้าวปลาขึ้นโต๊ะนั่งร่วมวงเหมือนชีวิตเดิม ๆ ที่ทำให้เธอหายเหงามากกว่าตอนอยู่หอพักคนเดียว
พอกินข้าวเสร็จก็ช่วยแม่นงยกจานชามไปเก็บ ตักข้าวและกับใส่จานถือออกจากบ้านไปยังบ้านน๊อคดาวน์ถัดออกไปเพื่อส่งข้าวส่งน้ำให้เขา
“ทำไมไม่ไปกินข้าวจ๊ะ” พอขึ้นมาถึงตัวบ้านก็ถามคนที่นอนเล่นเกมอยู่บนโซฟาขึ้น ทำตัวปกติเหมือนวันวาน
“ไม่หิว” นายปรายตามองเธอนิดหน่อยก่อนจะสนใจเกมตรงหน้า ตอบกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าปกติตามประสาพี่น้อง
“ถ้าเป็นเหล้านี่วิ่งเข้าหาตลอด” บ่นให้เขาอย่างเป็นกันเอง
บอกเขาแล้วว่าหากเขาหยุดจะทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น และเธอก็จะทำให้มันดีที่สุดแม้จะรู้สึกแปลก ๆ กับสถานการณ์ที่ไม่ควรด้วยซ้ำ
“อร่อยไม่เหมือนกัน” ไหวไหล่ตอบกลับด้วยท่าทีปกติ
ดูเขาจะทำได้ดีกว่าเธอมากกว่าที่คิดซะอีก
“มากินข้าวได้แล้ว ใกล้ช่วงไถนาแล้วนี่ อดข้าวอดปลาเดี๋ยวก็ไม่มีแรงทำงานหรอก” เธอยังไม่ได้กลับออกไป ยังคงเรียกเขามากินข้าวเพราะอยากให้เขามีปฏิกิริยากับเธอมากกว่านี้
“วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวหิวพี่ไปกินเอง” เขาตอบปัด ๆ มุ่งมั่นกับการกดเกมในมือจนสะเทือนไปทั้งตัว
“งั้น หวานวางไว้นี่นะ” เมื่อเห็นเขาไม่ได้สนใจอะไรรอบตัวมากนัก เธอก็ทำได้เพียงล่าถอยออกไป
“อืม” ตอบรับผ่าน ๆ ให้เธอ
เมื่อเห็นแบบนั้นน้ำหวานจึงมองเขาอีกครั้ง ก่อนจะพาตัวเองออกจากบ้านหลังเล็กของเขาไปด้วยความรู้สึกแปลกและแตกต่าง
มันเป็นสิ่งที่เธอต้องการและเรียกร้อง แต่ทำไมพอเห็นเขาทำมันได้อย่างดี มันกลับทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจและไม่เป็นตัวของตัวเองเลยนะ
เธอต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ น้ำหวาน
เช้าวันหยุดน้ำหวานก็ตื่นและลุกมาใช้ชีวิตแบบเดิมที่เคยอยู่บ้าน ช่วยหุงหาทำงานบ้านยามเช้า
และก็เหมือนเดิมที่วันนี้นายไม่ออกมากินข้าวที่บ้านร่วมโต๊ะกับเธอทั้งที่อดีตตอนเขาเริ่มจีบเธอก็มักมากินข้าวด้วยกันทุกเช้าเย็นแม้บางครั้งจะขี้เกียจหรือไม่ค่อยหิวก็ตาม
“ลูกเทวดาของแม่ไม่มากินข้าวอีกแล้ว?” พ่อชิดถามเมียขึ้นเมื่อเห็นสามมื้อที่ตั้งแต่เย็นวันศุกร์จนเย็นวันเสาร์แล้วที่ลูกชายไม่มาร่วมวง
มื้อเช้าอาจจะมาบ้างไม่มาบ้างตามเวลาตื่นลูกเทวดา แต่ตอนเย็นส่วนใหญ่จะมากินด้วยประจำ อย่างน้อยก็เตรียมท้องไว้กินเหล้ากับเพื่อนฝูง
“มีคนยกให้กินถึงที่จะเดินมาให้เหนื่อยทำไม” ว่าให้ลูกชายแม้เจ้าตัวไม่ได้ยิน เพราะหลังพวกเธอกินข้าวเสร็จน้ำหวานก็ยกไปส่งให้ตลอด
“เสียนิสัยหมด” พ่อชิดส่ายหัวบ่นไม่จริงจัง
แต่น้ำหวานมั่นใจว่าความคิดของพ่อกับแม่ไม่ใช่เหตุผลจริงของนาย ที่เขาไม่มาร่วมวงกินข้าวด้วยเธอคิดว่าเพราะเธอมากกว่า
“บ่นอะไรขนาดนั้น” แล้วเสียงก็มาก่อนตัว คนที่ถูกครอบครัวนินทาเดินเข้ามานั่งร่วมวงที่นั่งประจำของตัวเองข้างน้ำหวาน
“คิดว่าจะต้องรอยกไปเสิร์ฟให้” พ่อว่าให้ลูกชาย
“ก็ว่าจะรอ แต่วันนี้หิวแล้วเลยต้องมา” ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ลงมือกินก่อนคนอื่นทั้งที่มาหลังเขาแท้ ๆ
แล้วบนโต๊ะอาหารก็ดำเนินต่อไปเหมือนไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่น้ำหวานกลับกลืนข้าวไม่ค่อยลงเลยสักนิด
เขานั่งข้างเธอ ทำตัวเหมือนพี่ชายคนหนึ่งอย่างตอนแรกที่เรายังเป็นแค่พี่น้องกัน แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกเหมือนเธอกับเขาห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้นะ
น้ำหวานอดทนรอทำตัวเป็นปกติจนมื้อเย็นจบลง เธอจึงออกจากบ้านใหญ่ไปตามนายที่เดินออกไปตั้งแต่กินข้าวเสร็จ
“พรุ่งนี้เย็นไปส่งน้องหน่อยได้ไหม”
“...” นายที่นั่งสูบบุหรี่เงยหน้าขึ้นเธอด้วยสายตาราบเรียบปกติ “อืม บ่าย ๆ แล้วกันไม่อยากกลับบ้านค่ำมืด”