บ่ายสองกว่า ๆ ที่รถกระบะแต่งซิ่งของนายกำลังขับเคลื่อนสู่ตัวเมือง ด้านหลังมีรถมอเตอร์ไซต์ถูกยกขึ้นเพราะเจ้าของมันนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาตามคำขอที่เธอให้เขามาส่ง
“เดี๋ยวก็เริ่มไถนาแล้วใช่ไหม” บนรถที่อยู่ในความเงียบสักพักก็เป็นเธอที่ถามออกมาก่อน
“อืม ใกล้แล้ว” เขาตอบตามจริง เพราะครั้งแรกก็เริ่มในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว
“อย่าลืมทากันแดดดี ๆ ด้วยล่ะ” บอกเล่าด้วยความเป็นห่วง “รังสียูวีแรงขนาดนี้เดี๋ยวเป็นมะเร็งผิวหนังได้”
“ก็ทาตลอด” ถึงจะเป็นผู้ชายและใช้แรงงานแต่ก็ดูแลตัวเองอย่างดี
“อืม” ตอบรับในลำคอ รู้สึกยากอย่างไม่เคยเป็นที่จะหาเรื่องพูดคุยกับเขา ทั้งที่ตัวเขาก็ตอบกลับเธออย่างปกติทุกอย่างแท้ ๆ “อิจฉาพี่นายจัง เรียนจบก็ได้ทำงานอยู่บ้าน”
“ขี้เกียจทำงาน?”
“เปล่า แต่แค่ไม่รู้จะทำอะไรที่ไหน พอลองวางแผนอนาคตแล้วก็นึกไม่ออกเลย”
“ไม่เห็นต้องรีบ ยังเหลือเวลาเรียนอีกตั้งนาน”
“ก็วางแผนไว้ไม่เสียหายนี่”
“ชอบอะไรก็ทำอันนั้น” ไหวไหล่แนะนำด้วยท่าทีสบาย ๆ “หรือถ้ายังค้นหาตัวเองไม่เจอก็ลองผิดลองถูกต่อไป พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร”
“โตแล้วก็ไม่อยากเป็นภาระให้พ่อกับแม่แล้ว” แค่พวกเขาเลี้ยงและส่งเสียเธอเหมือนลูกก็มากมายจนตอบแทนไม่มีวันหมด จะให้เรียนจบแล้วอยู่บ้านเฉย ๆ ก็ยังไงอยู่
“พ่อแม่เห็นเอ็งเป็นเหมือนลูก พวกแกเลี้ยงได้จนเอ็งแก่นั่นแหละ” ไม่ได้พูดเกินจริง แต่พ่อแม่เขาไม่เคยมองเธอเป็นคนอื่นหรือผู้อาศัยเลย “อีกอย่างเอ็งอยู่บ้านก็ไม่ได้นั่ง ๆ นอน ๆ ช่วยหยิบจับงานบ้านแบ่งเบาแม่ได้อย่างดี”
ไม่มีใครว่าอะไรเธอหรอก ดูท่าจะรักกว่าลูกแท้ ๆ อย่างเขาซะอีก
“...” น้ำหวานฟังเงียบ ๆ โดยที่หันไปมองเขาด้วยความรู้สึกยากจะพูด
เอ็ง คำนี้เขาก็ใช้พูดแทนเธออยู่เรื่อย ๆ แต่ส่วนใหญ่เขาจะติดปากกับคำว่า หวาน มากกว่า แต่เมื่อกี้เขาเอาแต่เรียก เอ็ง ๆ ออกมาทุกประโยคเลย
หรือในสายตาเขากับระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาจะทำสิ่งที่เธอต้องการได้สำเร็จแล้วนะ
“แล้วเรียนเป็นยังไงบ้าง” นายถามกลับด้วยประโยคคำถามทั่วไป
“ก็เหนื่อยแหละ งานเยอะเหมือนอาจารย์สั่งแข่งกัน” ดึงสติกลับมาตอบคำถามของเขา “ดีนะที่ส่วนใหญ่อาจารย์เน้นสั่งงานเลยได้เอาเวลาเรียนมาทำงาน”
ยิ่งเรียนปีสูงก็ยิ่งงานเยอะ ดีที่อาจารย์ส่วนใหญ่ไม่เน้นสอนจนหมดคาบ นอกจากสั่งงานให้กับนักศึกษาแทบตายแล้วแต่ก็ยังปล่อยให้นักศึกษามีเวลาหายใจหายคอโล่งอีกเหมือนกัน
“บ่นเหมือนคนขี้เกียจ” เขาว่าให้เธออย่างไม่จริงจัง
“มันก็มีบ้างแหละ” ใครบ้างจะไม่เคยขี้เกียจ
“ก็ทำงานส่งให้ครบ ทำข้อสอบให้ได้ แค่นั้นก็จบแล้ว”
“อืม หวานก็ส่งงานครบตลอดนั่นแหละ” บ่นบ้างขี้เกียจบ้างแต่ก็รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองอย่างดี “พี่ก็รู้ว่าหวานเด็กเกรด 3.5 อัปตลอด”
ไม่ลืมขี้โม้ใส่เขาในสิ่งที่เป็นจริง เพราะเธอถือว่าเรียนดีระดับหนึ่งเลย หากยิ่งตั้งใจก็จะยิ่งได้คะแนนสูง แต่ก็มีบ้างที่รู้สึกเบื่อและขี้เกียจจนละเลย แต่เกรดก็ไม่เคยต่ำกว่านี้เลย
“ก็ดีแล้ว”
แล้วบนรถก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง น้ำหวานแอบมองคนขับรถข้าง ๆ ด้วยความรู้สึกแปลกใจที่เขาไม่ได้ถามหรือพูดถึงเรื่องผู้ชาย
ปกติคนอย่างเขาที่คลาดสายตาจากเธอต้องถามแล้วจี้อีก
“มีผู้ชายมาจีบไหม”
“ได้เข้าใกล้ผู้ชายหรือเปล่า”
“ใครมาวอแวให้รำคาญไหม”
ในฐานะพี่ชายคนหนึ่งก็ได้นี่ไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมทำเหมือนไม่ได้สนใจส่วนนี้ของเธอเลยล่ะ
เพราะช่วงบ่ายถนนเลยโล่ง คนเหยียบคันเร่งเหมือนกลัวไม่ถึงวันนี้เลยทำให้ใช้เวลาไม่นานก็ถึงหอพักของเธอ
นายลงไปยกรถมอเตอร์ไซต์ลงจากท้ายกระบะเข็นมันมาจอดหน้าห้องพักของเธอ ส่วนน้ำหวานก็ยกพวกของแห้งที่แม่ห่อให้ไว้ทำกินระหว่างอาทิตย์เข้าห้อง
“อยู่ห้องก็ล็อกประตูดี ๆ ไปไหนมาไหนก็อย่ากลับดึกมากล่ะ” พอเห็นทุกอย่างเรียบร้อยก็บอกเธอขึ้นตามประสาพี่คนหนึ่ง
“พี่จะกลับเลยเหรอ”
“อืม ไม่อยากขับรถมืด ๆ”
“อ๋อ งั้นขับรถดี ๆ น้ะจ๊ะ” ไม่กล้าพอจะรั้งเขาไว้ ไม่กล้าพอจะชวนเขาไปเดินตลาดด้วยกันทั้งที่มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติของพี่น้องที่สนิทกันเลยสักนิด
ยืนส่งมองเขาที่ขึ้นรถแล้วขับออกจากหอพักไปราวกับหมดหน้าที่ผู้ปกครอง ปล่อยให้น้องสาวนอกไส้อย่างเธอได้แต่ยืนมองอยู่ที่เดิมแบบนั้นทั้งที่เขาออกไปถึงไหนต่อไหนแล้วแท้ ๆ
ทำไมกลายเป็นเธอเองล่ะที่ทำไมได้อย่างที่พูด ทำไมกลายเป็นเธอเองล่ะที่ทำให้บรรยากาศมันดูน่าอึดอัดและแปลกไป
“ตั้งสติหวาน เป็นแบบนี้มันดีแล้ว เป็นแค่พี่น้องกันมันดีที่สุดแล้ว”