พอสั่งความเสร็จช่วงสายป้าก็ออกเดินทาง เจลการู้สึกเคว้งคว้างไปช่วงหนึ่งด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี บ้านนี้ยามปกติก็คนน้อยแทบไม่เห็นใครอยู่แล้วเพราะเจ้าของบ้านอย่างมาเรียสไม่ชอบให้คนเข้ามายุ่มย่ามในบ้านของเขา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ขึ้นมาได้ ทว่าเมื่อในตอนนี้ที่ป้าไม่อยู่ เธอกลับรู้สึกแปลกประหลาดและไม่คุ้นชินเอาเสียเลยทั้งๆ ที่นี่กลับเป็นบ้านที่เธออยู่มากกว่าเจ้าของที่ตอนนี้คงกำลังเก็บตัวที่ไหนสักแห่งในบ้านหลังนี้
เธอมองเวลา เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาอาหารและนั่นยังเป็นเวลาอีกหลายชั่วโมง เธอจึงตัดสินใจไปดูแลสัตว์เลี้ยงของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะกลับมาจัดการเรื่องราวต่างๆ ภายในคฤหาสน์วาคอนซีเลสต่อไป
...........................
“นายน่าจะมาฉลองคริสมาสต์ด้วยกัน ตอนนี้ฉันกับอเล็กซิสก็อยู่ที่นี่”
เลอานโดรเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส ตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังนอนอาบแดดบนเรือยอร์ชของอเล็กซิสที่กรีซ ข้างกายพวกตนในยามนี้เต็มไปด้วยสาวสวยมากหน้าหลายตา
“ถ้านายบินตามมาตอนนี้ก็ยังทันนะ”
เลอานโดรชักชวนในตอนท้าย แม้จะรู้ว่าค่อนข้างเป็นไปได้ยากก็ตามเนื่องจากช่วงเวลานี้ทุกปีมาเรียสมักจะกลับไปยังคฤหาสน์วาคอน-ซีเลส ไม่ยอมไปไหนมาไหนกับพวกตน งานด่วนแค่ไหนเขาก็ไม่รับ พวกตนทั้งห้าคนรู้จักกันมายาวนาน จึงรู้ดีว่ามาเรียสกลับบ้านช่วงนี้เพราะเหตุผลเดียว
…มารดาที่ตายไปนานแล้วของมาเรียสนั่นเอง…
“ขอบใจ แต่ฉันจะอยู่ที่นี่แหละ” มาเรียสตอบปฏิเสธอย่างที่คาด
“งั้นก็ตามใจนาย อ้อ แล้วอย่าบอกราล์ฟล่ะว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน ฉันกับอเล็กซ์หลบหน้าหมอนั่นอยู่ นายก็ได้รับสายนั้นจากซินญอร่า มอนเตรามาโนใช่ไหม”
มาเรียสหัวเราะเสียงเบาในลำคอ ก่อนจะตอบรับคำขอของเพื่อนสนิท
“อืม ฉันเองก็คงต้องหลบหมอนั่นเหมือนกันช่วงนี้”
“คิดถึงไคลน์นะ พวกเราควรไปหาเขาที่เมืองไทยดีไหม?”
เลอานโดรเปรยขึ้นมา มาเรียสได้แต่ตอบรับ
“หลังจากนี้ก็แล้วกัน”
ให้เวลาหมอนั่นอยู่กับลูกเมียบ้าง พวกเขาไม่ควรไปรบกวนคนมีครอบครัวแล้วน่ะนะ
แม้ว่าบางครั้งมาเรียสจะอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมไคลน์ถึงทำเช่นนี้ได้ ยอมรับและมีใครสักคนเข้ามาในชีวิตอย่างนั้น ยอมให้ใครสักคนมีอิทธิพลเหนือตนเอง
เพราะความรักหรือ…
แต่...ความรักบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้
...เพราะมันไม่มีจริง
มาเรียสเชื่อเช่นนั้นมาตลอด เหมือนกับตอนที่เขายังจดจำคำสั่งสอนของพ่อได้อยู่เสมอ ในตอนที่พ่อพูดกับเขาวันฝังศพของแม่
‘แกต้องไม่รักใครมาเรียส จำเอาไว้ว่าแกคือทายาทของเลสซี แกจะรักใครไม่ได้ เพราะถ้าแกรักใคร นั่นจะกลายเป็นจุดอ่อนของแก…’
‘…’
‘…แล้วถึงวันนั้น ไม่แกตาย คนที่แกรักก็ต้องตาย’
‘…’
‘เหมือนแม่ของแก’
“ก็ได้”
เลอานโดรตอบเสียงกลั้วหัวเราะอย่างเข้าใจนั่นดึงสติของ มาเรียสให้กลับมาอีกครั้ง แล้วเลอานโดรก็ขอตัววางสาย ซึ่งมาเรียสไม่รั้งอีกฝ่ายเอาไว้ เขาวางสายและกดรับสายจากโทรศัพท์อีกเครื่องเพราะ เอมิเลีย…ผู้หญิงที่เขากำลังพิจารณาว่าควรจะแต่งงานกับเธอดีหรือไม่โทร.เข้ามาพอดี
.................
เวลาล่วงเลยมาจนยามเย็น พ่อครัวทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วและเป็นหน้าที่ของเจลกาที่ต้องไปเชิญเจ้านายหนุ่มลงมารับประทานอาหารมื้อนี้ ดูเหมือนว่าบางครั้งเขาไม่จำเป็นต้องใช้งานเธออย่างนี้เลยก็ได้ เพราะอันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใช้อะไรเธอเลย แต่นั่นแหละ เธอไม่ควรตั้งข้อสงสัยในการกระทำเหล่านี้ของคนรวยให้มากนัก โดยเฉพาะมาเรียสที่มักจะทำอะไรที่ทำให้คาดไม่ถึงอยู่เสมอ
เจลกาเดาว่าระหว่างนี้ชายหนุ่มก็คงจะอยู่ในห้องสมุดซึ่งเป็นห้องทำงานบนชั้นสองทางปีกตะวันตกของคฤหาสน์เหมือนเดิม เธอเลยตรงไปยังสถานที่นั้นก่อนเป็นที่แรก แล้วก็เป็นความจริงเมื่อประตูห้องสมุดนั้นเปิดแง้มอยู่ หญิงสาวกำลังจะเคาะประตูส่งสัญญาณให้เขาแล้วหากไม่ใช่เพราะได้ยินที่เขาพูดคุยกับปลายสายเสียก่อน หยอกเย้าเอาใจจนทำให้เธอที่เพิ่งระลึกได้ว่ามาเรียสนั้นมีคนรักอยู่ก่อนแล้วยืนนิ่ง
มือเล็กชะงักอยู่อย่างนั้น ขณะที่หัวใจพลันปวดแปลบ ความฝันเพ้อเจ้อของเธอคล้ายกับถูกทำลายลงในชั่วพริบตา
ถ้าความรักของเธอเปรียบเสมือนกับลูกโป่งใบใหญ่ที่กำลังล่องลอยอยู่บนฟ้า ดูสวยงาม หากกลับจับต้องไม่ได้ และตอนนี้มันก็แตกสลายไปแล้วเพราะความจริงที่เธอลืมไปและมโนเพ้อเจ้อไปเพียงลำพัง
เธออาจจะเป็นคนที่เขาทำดีด้วย แต่เธอต้องไม่ลืมว่ายังไงเธอก็ไม่ใช่คนที่รักและไม่ใช่คนที่เขาเลือก
มาเรียส วาคอนซีเลสจะเลือกคนอย่างเธอได้ยังไง ความห่วงใยและสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำกับเธอนั้นมันไม่ได้มีความหมาย เธอเป็นแต่หลานสาวของแม่บ้านคนหนึ่งไม่ใช่คนพิเศษอะไรเลย สุดท้ายแล้วเธอก็มีค่าแค่นั้นในสายตาของเขาเท่านั้นเอง…
.........................
มาเรียสมองร่างเล็กคุ้นตาที่หายตัวไปเลยนับตั้งแต่เธอมาแจ้งเขาว่าอาหารเย็นพร้อมแล้ว ตอนแรกเขากะว่าจะเรียกให้เธอมานั่งรับประทานด้วยกันพร้อมกับที่อยากจะซักถามความเป็นไปของคนที่เขาไม่ได้เจอหน้าเธอมานานกว่าสามปี ทั้งๆ ที่เธอจะนับไปแล้วก็เป็นคนในปกครองของเขา เพราะชายหนุ่มเห็นเธอมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ติดตุ๊กตากระต่ายเก่าๆ เป็นชีวิตจิตใจคนนั้น
ทว่าหญิงสาวกลับหายไปเสียอย่างนั้นและเขาไม่เจอเธอนอกจากคนที่เธอคอยสั่งให้มาดูแลเขา กระทั่งมาเรียสเห็นเงาตะคุ่มในสวนผ่านหน้าต่างห้องนอนของตนเองจึงลงมาดู กลับพบว่าเจลกากำลังนั่งอยู่เพียงลำพังและข้างกายของเธอมีเบอร์เบิ้นอยู่หนึ่งขวด
เขาขมวดคิ้ว มองเธอด้วยสายตาตำหนิติเตียน หญิงสาวเป็นคนตัวเล็กมากอยู่แล้วและใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นก็เหมือนเด็กไฮสคูล มันทำให้มาเรียสที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกลับรู้สึกไม่ชอบใจ มันเหมือนเห็นเด็กสาวที่ใสซื่อริอาจทำตัวเสเพล และมันดูไม่เข้ากับแม่กระต่ายน้อยตัวนี้เอาเสียเลย
“เอาคืนมานะ!”
หญิงสาวร้องเสียงดังพร้อมกับกระโดดลุกขึ้นยืน ใบหน้าเล็กๆ นั้นแดงก่ำและดวงตาฉ่ำเยิ้มคู่นั้นก็เห็นได้ชัดว่าเธอเมาแล้ว
มาเรียสยกแขนที่ถือขวดเหล้านั้นยกขึ้นสูง ขณะที่แม่กระต่ายน้อยก็กระโดดหย็องแหย็งต่อหน้าเขาหมายจะแย่งคืนให้จงได้
“เอาคืนเจมานะคะ!”
เธอร้องอย่างขัดใจ ขณะทิ้งมือลงข้างลำตัว แต่แล้วร่างเล็กกลับ เซถลาคล้ายกลับจะหกล้มทำให้มาเรียสโยนขวดเหล้าเหวี่ยงทิ้งไปทันทีแล้วรีบยื่นมือออกไปรับหญิงสาวเอาไว้โดยเร็ว เขารั้งจนร่างเล็กนั้นแนบชิดกับร่างกายสูงใหญ่ของตน ส่งผลให้หญิงสาวที่ไม่ทันตั้งตัวจึงกระแทกชนกับชายหนุ่มเต็มๆ
“อ๊ะ!”
ฝ่ามือเล็กวางแหมะบนอกหนั่นแน่นด้วยกล้ามเนื้อของมาเฟียหนุ่ม โชคดีที่เขาประคองเธอเอาไว้ ทำให้หญิงสาวไม่ล้มหน้าทิ่มไปกับพื้นเสียก่อน
หัวใจของเจลกาคล้ายกับจะหยุดเต้น ใบหน้าเล็กก้มต่ำจนแทบจะชิดกับอกของเขา ดูเหมือนฤทธิ์เหล้าที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นจะหมดฤทธิ์ไปเลยอย่างไรอย่างนั้น เธอได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของเขาจากการใกล้ชิดกันอย่างนี้
เจลกาน้ำตารื้นขึ้นมาทันทีขณะที่หัวใจเจ็บแปลบ เธอเกลียดความรู้สึกแบบนี้และความใจดีที่เขามีต่อเธออย่างนี้ เพราะมันทำให้เธอตัดใจไม่ได้
ถ้ามาเรียสใจร้ายและไม่เห็นเธอในสายตาเหมือนกับที่เขาทำกับคนอื่นๆ เธอก็คงไม่เป็นอย่างนี้!
ไม่บ้ารักเขาจนหัวปักหัวปำแบบนี้