เมื่อเขาเดินกลับเข้ามาในบ้านผัดกะเพราหอมกรุ่นก็วางอยู่บนโต๊ะทานข้าวเรียบร้อยพร้อมกับน้ำพริกชามเล็กและไข่เจียวอีกหนึ่งจาน
“ทำไมเธอทำเร็วจัง”
“ก็เตาแก๊สในห้องครัวมีสองเตานี่คะ ผัดกะเพราเตาหนึ่งอีกเตาหนึ่งก็ทำไข่เจียว”
“ดูท่าทางเธอจะทำอาหารเก่งพอใช้ได้นะ”
“ไม่เก่งหรอกค่ะแค่พอทำอาหารง่ายๆ ได้แค่นั้นเอง”
“แล้วทำไมต้องปลูกพืชผักสวนครัวไว้เยอะขนาดนั้นล่ะ”
“ก็เอาไว้ทำกินเองไงคะ ถ้าอยากจะกินผัดกะเพราขึ้นมาก็ต้องไปซื้อที่ตลาดมัดหนึ่งก็สิบบาทแต่ใช้แค่นิดเดียวสู้ปลูกไว้แบบนี้ดีกว่าประหยัดและสะดวกด้วยค่ะ”
“เธอปลูกหอมไว้เยอะมากเลยนะ ชอบกินหอมแดงเหรอ”
“หอมแดงเป็นวัตถุดิบหลักในการทำน้ำพริกของณิรินค่ะ ก็เลยต้องปลูกไว้เพราะมีบางช่วงที่หอมแดงในตลาดแพงมาก การปลูกวัตถุดิบไว้หลังบ้านแบบนี้มันก็ทำให้ประหยัดต้นทุนได้เยอะ”
“เธอทำน้ำพริกขายมานานแค่ไหนแล้ว”
“ถ้าทำขายเองจริงๆ ก็ตั้งแต่แม่ตายแต่ก่อนหน้านั้นก็ช่วยแม่มาหลายปีแล้วเหมือนกันค่ะ”
“เธอเก่งเหมือนกันนะทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง”
“ไม่เก่งหรอกค่ะน้ำพริกผัดหมูมันเป็นอะไรที่ทำง่ายมากๆ”
“แต่ฉันว่ามันอร่อยเลยทีเดียวล่ะ” เขาพูดขณะตักน้ำพริกวางไว้บนไข่เจียวแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
“นายหัวคิดดีๆ นะคะที่มันอร่อยเพราะหิวหรือเปล่า”
“อร่อยจริงๆ ฉันไม่ได้หิวมากเท่าไหร่”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิผัดกะเพรานี่ก็รสชาติกลมกล่อมใช้ได้เลย ปกติชอบทำเมนูนี้เหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ แต่มันเป็นเมนูที่ทำง่ายและไวมากจริงๆ แล้วณิรินชอบกินอาหารใต้มากกว่าค่ะ แต่เคยซื้อน้ำพริกแกงใต้มาทำเองแล้วมันก็อร่อยไม่ถึงใจไม่เหมือนกับทานที่ร้านป้าต้อย สุดท้ายเวลาอยากจะทานกินอาหารใต้ก็เลยเลือกไปกินที่ร้านมากกว่า”
“มันอาจจะอยู่ที่น้ำพริกด้วยนะครั้งหน้าถ้าฉันขึ้นมากรุงเทพฉันจะซื้อน้ำพริกมาให้เธอ อยากกินเมนูอะไรล่ะ”
“อยากกินคั่วกลิ้งกับแกงไตปลานายหัวมีสูตรเด็ดๆ ไหม”
“ฉันก็ไม่เคยทำเองหรอกนะ แต่ถ้าเธออยากรู้สูตรเด็ดจริงๆ เดี๋ยวฉันจะถามป้าแดงให้นะ” เขาหมายถึงแม่บ้านของเขาที่ทำอาหารให้ทานอยู่ที่สุราษฎร์ธานี
“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ณิรินทร์ญาก็ตักน้ำพริกใส่กระปุกส่วนนายหัวปาริธก็หน้าที่ติดสติกเกอร์ชื่อร้านบนฝากระปุกใช้เวลาไม่นานน้ำพริกร้อยกระปุกก็เสร็จและมาเรียงกันอยู่ในกล่อง
“กระปุกแบบนี้เธอส่งราคาเท่าไหร่”
“กระปุกละสามสิบบาทค่ะแม่ค้าเขาเอาไปขายสามสิบห้า แต่ถ้าสั่งไม่ถึงร้อยก็ขายอีกราคาหนึ่งค่ะ”
“เขาได้กำไรจากเธอกระปุกละตั้งห้าบาทเลยนะมันไม่เอาเปรียบเกินไปเหรอ”
“ไม่หรอกค่ะเราส่งราคานี้มาตั้งนานแล้ว เขารับไปเขาก็ต้องรับผิดชอบว่ามันจะขายได้หรือเปล่าเพราะการขายของณิรินไม่ใช่การฝากขาย แต่เป็นการที่เขาซื้อไปขายเองค่ะ ถ้าเกิดอาทิตย์หนึ่งเขาขายไม่ได้แล้วน้ำพริกมันเสียเขาก็ต้องรับผิดชอบตรงนั้นไป”
“เธอขายแค่น้ำพริกผัดหมูอย่างเดียวเหรอ”
“มีน้ำพริกแคบหมูด้วยค่ะ”
“แล้วจะทำหรือเปล่าล่ะ”
“วันนี้ไม่ทำหรอกค่ะน้ำพริกแคบหมูต้องไปสั่งแคบหมูในตลาดมาก่อนจากนั้นก็ค่อยทำส่วนใหญ่ณิรินทำเฉพาะมีออเดอร์ค่ะเพราะถ้าทำทิ้งไว้นานๆ แคบหมูมันจะไม่กรอบแล้วมันจะเหม็นหืนค่ะ”
“เธอจะเอาไปส่งเขาเลยหรือเปล่า”
“ไม่หรอกค่ะณิรินนัดเขาไว้ที่บ้านประมาณหกโมงเย็น ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วนายหัวก็กลับได้เลยนะคะ”
“ฉันช่วยทำงานเสร็จแล้วจะไล่ฉันกลับเลยเหรอ”
“ก็นี่มันเย็นแล้วนายหัวไม่มีธุระจะไปทำอะไรอย่างอื่นเลยเหรอ”
“ไม่หรอกแล้วเธอล่ะมีอะไรต้องไปทำไม”
“ไม่หรอกค่ะ”
“แล้วคืนนี้ต้องไปทำงานที่ผับหรือเปล่า”
“ไปสิคะคืนวันศุกร์กับคืนวันเสาร์เป็นคืนที่คนเข้ามาใช้บริการมากณิรินก็เลยไม่อยากจะพลาด”
“เธอบอกว่าพรุ่งนี้จะต้องตื่นมาทำแซนด์วิชตั้งแต่เช้าแล้วจะไหวเหรอ”
“ไหวค่ะทำแซนด์วิชเสร็จณิรินก็ยังมีเวลานอนอีกตั้งหลายชั่วโมง”
“วันหยุดทั้งทีเธอไม่ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เหรอ”
“ไม่รู้จะไปเที่ยวไหนคะ เพื่อนบางคนก็กลับบ้านที่ต่างจังหวัดบางคนก็ไปเที่ยวกับแฟน”
“เธอคงยังไม่มีแฟนสินะถึงไม่ได้ออกไปเที่ยวแบบนี้”
“ค่ะ”
“ทำไมล่ะเธอก็หน้าตาดีนี่”
“การมีแฟนคือการมีภาระค่ะ”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็มันจริงนี่คะเวลาออกไปเจอแฟนต้องแต่งตัวสวย ต้องคุยโทรศัพท์ด้วยกันทุกวัน มันเสียเวลามากๆ เลย”
“พูดเหมือนเคยมีแฟน”
“ใช่ค่ะณิรินเคยมีแฟนมาก่อน วันหยุดเขาก็ชวนออกไปเที่ยวบางครั้งก็โทรมาคุยนานเป็นชั่วโมงณิรินว่ามันเสียเวลาค่ะ ไม่ใช่ไม่อยากจะคุยกับแฟนนะคะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะคุยนาน นายหัวลองคิดดูสิเวลาที่ณิรินโทรศัพท์กับเขาชั่วโมงหนึ่งณิรินทำอะไรได้ตั้งเยอะ ทำน้ำพริกได้ตั้งหลายกระปุกณิรินก็เลยคิดว่ายังไม่มีแฟนตอนนี้จะดีกว่า”
“แล้วทำไมไม่ชวนให้แฟนมาช่วยทำล่ะ ช่วยกันทำสองคนมันน่าจะเสร็จไวขึ้นน่ะ”
“เคยชนมาแล้วค่ะแต่เขาบ่นว่ากลิ่นมันเหม็นและติดตัว เขาก็เลยไม่มาช่วย”
“เธอเลิกกันเพราะเรื่องที่เขาไม่มาช่วยทำน้ำพริกเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอกค่ะ มันมีหลายๆ เรื่องสะสมณิรินเป็นคนค่อนข้างประหยัดหรือจะเรียกง่ายๆ ว่างก็ได้เลยค่ะ แต่เขาเป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยชอบกินอาหารหรูๆ บ่อยมาก”
“เขาให้เธอจ่ายเหรอ”
“เปล่าค่ะ แต่ถึงแม้เขาจะไม่ให้ณิรินเป็นคนจ่าย แต่ณิรินก็ไม่ค่อยชอบไลฟ์สไตล์แบบนั้นเลยเรายังเป็นนักศึกษาด้วยกันทั้งคู่ ถ้าหากในอนาคตคบกันไปเรื่อยๆ ถึงขั้นสร้างครอบครัวแล้วเขายังใช้ชีวิตติดหรูแบบนั้นมันไม่ค่อยโอเคสำหรับณิรินเลยค่ะ เงินทุกบาททุกสตางค์มันหามาด้วยความยากลำบากการจะใช้จ่ายอะไรมันต้องมีเหตุผล ไม่ใช่ว่าณิรินไม่อยากจะไปกินอาหารหรูหรือใช้จ่ายหาความสุขให้ตัวเองแบบนั้น แต่มันก็ต้องมีลิมิตไม่ใช่กินหรูทุกมื้อ เที่ยวทุกอาทิตย์แบบนั้นมันก็ไม่ไหวหรอกค่ะ การให้รางวัลตัวเองที่ทำงานหนักก็แค่เดือนละครั้งก็น่าจะพอแล้ว”
“ทำไมจะต้องทำงานมากมายขนาดนี้ด้วยล่ะ เธอเป็นหนี้เขาอยู่เหรอ”
“ไม่ได้เป็นหนี้หรอกค่ะแต่ตอนนี้ณิรินยังพอมีแรงก็อยากจะทำงานเก็บเงินไว้ก่อนอนาคตมันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนพอขึ้นปีสี่ก็อาจจะไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่เพราะต้องไปฝึกงาน”
“เธอเรียนอะไรเหรอ”
“เรียนบัญชีค่ะ”
“แล้วต้องไปฝึกงานที่ไหนล่ะ”
“ก็ตามบริษัทต่างๆ เดี๋ยวอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเขาจะติดต่อและประสานงานให้เอง”
“ฉันมีบริษัทส่งออกอยู่แถวสมุทรสาครถ้าเรียนจบแล้วมีตำแหน่งว่างฉันจะบอกเธอแล้วกันนะ”
“ขอบคุณนายหัวมากๆ นะคะแต่สมุทรสาครมันไกลไปค่ะ ณิรินหางานทำใกล้ๆ แถวนี้ดีกว่าเพราะนอกจากจะได้ทำงานประจำแล้วก็ยังมีน้ำพริกที่จะต้องทำส่ง ถึงแม้กำไรครั้งหนึ่งมันจะได้ไม่กี่ร้อยแต่พอรวมกันมันก็เป็นเงินที่เยอะอยู่”
“เธอขยันแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า”
“ก็ประมาณนั้นค่ะ ณิรินเห็นแม่ทำงานโรงงานแล้วตอนเย็นก็กลับมาทำน้ำพริกด้วยมันก็เลยเป็นภาพที่ชินตา”
นายหัวปาริธอดชมหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้เขานั่งคุยกับเธออยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะขอตัวกลับเพราะคิดว่าเธอน่าจะมีเวลาได้พักผ่อนบ้าง