เมื่อภาคินกับภูผาเดินตรงเข้ามายังห้องผู้บริหารของคลับ หรูหราด้วยโซฟาหนังแท้และผนังกระจกใส มองเห็นแสงไฟด้านนอกวับวาว
“แป๊บนะ กูเคลียร์งานก่อน เดี๋ยวกูให้เด็ก ๆ เตรียมโซนวีไอพีไว้ให้” ภาคินเอ่ยพลางวางแฟ้มลงบนโต๊ะ
ชายหนุ่มพยักหน้า “เออ งั้นกูรอมึง” เขาทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างสบาย ๆ
ทันใดนั้นเอง
ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ก่อนผู้จัดการหญิงในชุดสูททันสมัยก้าวเข้ามาอย่างคล่องแคล่ว
“คุณภาคินคะ วันนี้ฉันรับพนักงานใหม่เข้ามา 1 คนค่ะ เป็นนักศึกษาหน้าตาดี น่าจะช่วยดึงดูดลูกค้าได้เพิ่มขึ้น เธอบอกว่าอยากเริ่มงานเร็ว ฉันเลยนัดให้มาเริ่มพรุ่งนี้ รบกวนคุณภาคินเซ็นอนุมัติค่ะ จะได้ส่งเรื่องไปแผนกการเงิน”
“อื้ม เอามา” ภาคินรับเอกสารด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ผู้จัดการวางแฟ้มลงตรงหน้า ก่อนยืนรออย่างนอบน้อม
ภาคินกวาดตาอ่านชื่อพลางพึมพำ “ลลิน… ลลินดา วัฒนกูล? หึ… นามสกุลดังนี่นา”
ทันทีที่ได้ยินชื่อ ภูผาที่นั่งพิงโซฟาอยู่เลิกคิ้วขึ้นโดยอัตโนมัติ หัวใจเต้นวูบ ความทรงจำเก่าเมื่อสิบปีก่อนพลันผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน
ลลิน…
แฟนเก่าที่เขาเคยทิ้งไว้เมื่อตอนเรียนจบมอปลาย เพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ ทว่าชื่อที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินอีกครั้ง กลับปรากฏขึ้นตรงหน้าที่นี่… ในคลับของเพื่อนสนิท
“ยัยเด็กนั่น… ว่างถึงขนาดมาทำงานแบบนี้แล้วเหรอวะ”
เสียงทุ้มของภูผาพึมพำแผ่วเบากับตัวเอง ภาพในอดีตย้อนกลับมาอย่างชัดเจน ลลิน เด็กสาวลูกคุณหนูผู้ไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก และทุ่มเทรักให้เขาทั้งใจ แต่เป็นเขาเอง… ที่เลือกทิ้งเธอไปอย่างไร้เยื่อใย
“เป็นเชี่ยอะไร ไอ้ภู กูพูดกับมึงอยู่นี่นะ”
เสียงภาคินดังแทรก ทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย
“ห้ะ… เออ ว่าไง”
ภาคินหรี่ตามองเพื่อน “กูถามว่าพรุ่งนี้เย็น มึงว่างมาดื่มกับกูไหม ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
“เออ… มา” ภูผาตอบสั้น ๆ อย่างไม่ได้คิดมาก
ภาคินเลิกคิ้วแปลกใจ เพราะเพื่อนปกติไม่ค่อยตอบรับง่าย ๆ แบบนี้ แต่เขาสุดท้ายก็ไม่ได้ซักถามต่อ
ส่วนภูผาเองกลับนั่งเงียบ ใจเต็มไปด้วยคำถามที่ตีวนข้นมาในหัวไม่หยุด ลลิน… ยัยเด็กที่เขาทิ้งไปตอนนั้น ทำไมถึงต้องมาทำงานแบบนี้ แล้วเธอ… มีแฟนใหม่แล้วหรือยัง? หน้าตาของเธอจะเปลี่ยนไปแค่ไหนกันนะ…
อีกด้านของลลิน
คืนนั้น ลลินกลับมาถึงห้องเช่าเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยกล่องข้าวของเก่า เธอหยิบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเล็ก ๆ ก่อนรีบมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล เพื่อเอาไปให้แม่เปลี่ยนเวลานอนเฝ้าพ่อที่ยังรักษาตัวอยู่
คุณพ่อของเธอแม้ยังมีสติรับรู้ แต่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทุกการขยับหรือพลิกตัวต้องอาศัยคนดูแล และหากจะจ้างพยาบาลพิเศษมาช่วย เธอรู้ดีว่า ค่าใช้จ่ายจะสูงเกินกว่าที่ครอบครัวพัง ๆ อย่างพวกเธอจะแบกรับไหว
ดังนั้น… หากแม่เป็นคนเฝ้าเองก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้มาก ส่วนตัวเธอ ลลินต้องเป็นคนออกไปดิ้นรนหาเงินให้ได้ ทั้งค่าอยู่ค่ากิน และค่ารักษาพยาบาลที่ยังรออยู่ข้างหน้า
หญิงสาวตัวเล็กนั่งลงบนเตียงแข็ง ๆ ของห้องเช่า มือเรียวกุมกระเป๋าไว้แน่น สายตาคู่สวยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นปนหวาดหวั่น ไม่ว่าจะเหนื่อยสักแค่ไหน… เธอก็ต้องทำให้ได้ เพื่อพ่อ เพื่อแม่ และเพื่อรักษาครอบครัวนี้เอาไว้
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ลลินเดินตรงเข้าไปหาแม่ที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงพ่อ
“แม่คะ หนูเอาเสื้อผ้ามาให้แล้วค่ะ”
เธอยื่นถุงเสื้อผ้าให้ด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ
แม่หันมารับก่อนถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “จ้ะ… แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะลูก ได้งานหรือยัง”
ลลินพยักหน้า “ได้แล้วค่ะ แม่ หลังเลิกเรียนหนูจะไปทำงาน รายได้ก็ดีอยู่ค่ะ”
แม่ของเธอพยักหน้าช้า ๆ ก่อนล้วงเงินจำนวนหนึ่งจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ “นี่… ค่าข้าวกับค่ารถไปมหาวิทยาลัยนะลูก”
ลลินมองธนบัตรในมือแม่ ดวงตาไหววูบ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น เงินนี่… ต้องเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือในกระเป๋าแน่ ๆ แม่คงไม่ยอมกินอะไร แล้วก็ไม่ยอมพูดให้เธอกังวลด้วยซ้ำ
หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมดันมือแม่กลับไป “แม่เก็บไว้เถอะค่ะ งานพิเศษของหนูเขาจ่ายเป็นรายวัน ถ้าผ่านช่วงฝึกงาน รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ตอนนี้หนูยังพอมีอยู่บ้าง… แม่เก็บไว้ซื้อข้าวเถอะนะคะ”
แม่ของเธอชะงักเล็กน้อย น้ำตาคลอระเรื่อ แต่ก็ยิ้มบาง ๆ พลางกำมือของลูกแน่น ความรู้สึกอบอุ่นและเจ็บปวดปนกันอยู่ในหัวใจทั้งคู่
เช้าวันรุ่งขึ้น มหาวิทยาลัย XX
ลลินเดินทางไปมหาวิทยาลัยด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง หลังจากนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายเธอตัดสินใจแล้ว ต้องดรอปเรียนหนึ่งปี
กลางวัน หางานบริษัทเอกชนทำ
กลางคืน ไปทำงานที่ไนน์ตี้ไนน์คลับ
แบบนี้ถึงจะมีรายได้พอเลี้ยงดูครอบครัว
เพราะถ้ายังดันทุรังเรียนต่อไป เทอมสองจะยิ่งเป็นภาระเรื่องค่าเทอม ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อจะฟื้นตัวเมื่อไหร่
เธอก้าวเข้าไปในห้องฝ่ายการเงินของมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นถามเสียงสุภาพ
“นักศึกษาแน่ใจนะคะ ว่าจะดรอปเรียน”
“แน่ใจค่ะ” ลลินตอบเสียงหนักแน่น
“แล้วต้องการขอเงินค่าเทอมที่จ่ายไปคืนด้วยหรือเปล่าคะ”
“ค่ะ อยากขอคืนได้ไหมคะ”
เจ้าหน้าที่พยักหน้าเล็กน้อย “ได้ค่ะ แต่จะไม่ได้คืนเต็มจำนวน เพราะตอนนี้มหาวิทยาลัยเปิดเทอมและเริ่มการสอนไปแล้ว”
“ค่ะ เข้าใจค่ะ” ลลินตอบทันที
“งั้นนักศึกษาทิ้งเลขบัญชีไว้เลยนะคะ ถ้าเอกสารดำเนินการเสร็จ เงินจะถูกโอนเข้าบัญชีค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ลลินยื่นเอกสารพร้อมเขียนเลขบัญชีลงไป ก่อนจะก้าวออกจากห้องด้วยหัวใจที่ทั้งโล่งและหนักในเวลาเดียวกัน โล่งเพราะตัดสินใจชัดเจนแล้ว แต่ก็หนัก เพราะนี่คือการสละความฝันชั่วคราว เพื่อครอบครัวที่ต้องมาก่อนทุกสิ่ง
หลังออกจากมหาวิทยาลัย ลลินตรงไปสมัครงานทันที เธอใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็เดินเข้าไปถึงสามบริษัทติด ๆ กัน แต่ทุกแห่งกลับให้เหตุผลคล้ายกันแทบไม่ต่าง
“น้องยังเรียนไม่จบ ไม่มีประสบการณ์นะคะ”
“พี่ว่า… กลับไปเรียนให้จบก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาสมัครใหม่”
คำตอบเหล่านี้เหมือนค้อนทุบลงกลางใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คนตัวเล็กก้าวออกมาจากบริษัทสุดท้ายด้วยสีหน้าหม่นหมอง เดินคอตกไปตามทางเท้า ความรู้สึกสิ้นหวังตีตื้นขึ้นมาไม่หยุด
ทั้งชีวิตที่ผ่านมา… เธอไม่เคยคิดเลยว่า ครอบครัวของเธอจะต้องเผชิญปัญหาเรื่องเงินแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง