2
[AVA]
ที่มาของคนสำคัญ
'ปิงป่อง , ปิงป่อง'
ฉันยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งที่อยู่ติดกับแม่น้ำโขง หลังกดกริ่งสองครั้งก็ชะเง้อผ่านช่องประตูรั้วสเตนเลสเข้าไปอย่างร้อนใจ
บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านญาติที่ไหน แต่เป็นบ้านเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉันที่ทุกๆอย่างแตกต่างกับฉันราวฟ้ากับเหว
'ปุยฝ้าย' มีครอบครัวที่อบอุ่นมาก พ่อแม่เลี้ยงดูประคบประหงมสนับสนุนทุกอย่าง สวย รวย เป็นดาวประจำชั้น
และเรื่องหน้าตาฉันก็ต่างจากปุยฝ้ายมาก ฉันไม่สวย ใส่แว่นเฉิ่มๆ แต่งตัวไม่เป็น เป็นคนที่เดินไปไหนใครก็มองข้ามหัว และสนใจแค่ปุยฝ้ายคนเดียว แต่ฉันไม่เคยอิจฉาเพื่อนเลย เพราะมันคือเรื่องจริง
"อ้าว มาหาคุณปุยฝ้ายเหรอคะคุณเอวา"
ฉันยกมือไหว้พี่เพ็ญแม่บ้านที่นี่อย่างนอบน้อม
"สวัสดีค่ะพี่เพ็ญ หนูมาหาฝ้ายค่ะ"
"เข้ามาก่อนสิ พี่ไปบอกให้"
"ค่ะ ขอบคุณค่ะ" ฉันฉีกยิ้มให้หนึ่งที แต่เมื่อประตูบานเล็กเปิดและพี่เพ็ญเห็นกระเป๋าเป้ที่ฉันสะพาย ไล่ตามองแขนและขาที่มีรอยไม้เรียว ตาคู่นั้นก็ค่อยๆเบิกกว้างตกใจ
"ไปโดนอะไรมาคะเนี่ย!"
"เอ่อ..." พอฉันอ้ำอึ้งแม่บ้านตรงหน้าก็ทำหน้าละเหี่ยใจไหล่สองข้างลู่ลง
"โถ่ อีกแล้วเหรอคะคุณเอวา"
"ค่ะ รอบนี้หนักเลย โดนหาว่าขโมยของอีกแล้วค่ะ"
"ใครมาน่ะเพ็ญ"
พี่เพ็ญถอยหลบคนด้านหลังที่เอ่ยถามขึ้นมา ฉันยกมือไหว้แม่ของปุยฝ้ายอีกคน ก่อนที่ท่านเองจะมองสำรวจฉันไม่ต่างจากพี่เพ็ญ
"ตายแล้ว ขนาดนี้เลยเหรอ เข้าบ้านก่อนลูก มาๆ"
เห็นไหม... แทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย เพราะคนอื่นรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ฉันเจออะไรมา เรื่องถูกตี เรื่องถูกป้ายสีว่าขโมยของแม่เลี้ยงเป็นเรื่องปกติแล้ว
ฉันถูกดึงมือเข้าบ้านไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นโซฟาหลุยส์ที่ต่างจากบ้านที่เคยอยู่ลิบลับ ฉันมาที่นี่บ่อยช่วงใกล้สอบปลายภาค และแน่นอนว่าความอบอุ่นของบ้านนี้ทำให้ไม่อยากกลับบ้านตัวเองเลย
"เพ็ญไปเอากล่องยามาให้ฉัน และก็ไปตามปุยฝ้ายลงมาด้วย"
"ค่ะ"
พี่เพ็ญก้มหน้าเดินออกไป เหลือแค่ฉันกับแม่ของปุยฝ้ายที่มองฉันตาละห้อย
"รอบนี้หนักเลยสินะ"
"ค่ะ แต่หนูคงไม่กลับไปแล้วค่ะ ก่อนออกมาทำเรื่องไม่ดีไว้ด้วย ด่าแม่เลี้ยงไปแรงเลยค่ะ"
"อ้าว แล้วจะอยู่ยังไงล่ะเนี่ย เราเพิ่งอายุสิบหกเองนะ คิดดีแล้วใช่ไหม" ฉันพยักหน้าช้าๆ
จริงๆฉันก็คิดเรื่องออกจากบ้านมานานแล้วล่ะ แค่รอให้ตัวเองอายุสิบแปดและจบม.หกก่อน ทยอยเก็บเงินจากตอนช่วยงานครูที่โรงเรียน แข่งเขียนกลอน และบทความในวันกิจกรรมของโรงเรียนไปเรื่อยๆ
"ค่ะ เอวาจะหาเงินเรียนเอง เอาเท่าที่ไหวค่ะ"
"เท่าที่ไหว? แสดงว่าถ้าไม่ไหวเอวาจะไม่เรียนต่อเหรอ?"
"..." ฉันเงียบและก้มหน้าลง เพราะถ้าเรียนไม่จบฉันไม่รู้จะเอาวุฒิอะไรไปสมัครงาน
"เอวา"
"คงแบบนั้นค่ะ"
"เฮ้อ พ่อเราก็เป็นครูอาจารย์ทำไมใจร้ายกับลูกขนาดนี้"
"อาชีพไม่ได้วัดค่าความเป็นคนหรอกค่ะแม่"
"แม่ก็เพิ่งรู้นี่แหละ... แม่เคยเจอพ่อเราและบอกไปแล้วนะ แต่โดนตีหน้านิ่งใส่อย่างกับแม่จุ้นจ้าน"
ฉันนั่งตัวหด แบบนี้แหละ...พ่อฉันเป็นคนเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่
"เอวา!"
เสียงปุยฝ้ายดังขึ้นมาที่บันได ก่อนที่เธอจะวิ่งมาหาฉันและนั่งลงข้างๆกัน ตากลมโตมองสำรวจตามแขนตามตัวของฉันไม่ต่างจากแม่และแม่บ้านของเธอ
"เฮ้อ คุยกันไปนะ แม่จะออกไปข้างนอกหน่อย"
ฉันก้มหัวเล็กน้อย และเมื่อแม่ของปุยฝ้ายเดินออกไป ปุยฝ้ายก็ดึงมือฉันขึ้นไปห้องนอนเธอ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าห้องนอนเพื่อนแตกต่างจากห้องฉันมากแค่ไหน ใหญ่ สบาย แอร์เย็นฉ่ำ
อยู่ที่บ้านฉันนอนกับแม่บ้านหันเตียงคนละมุมกัน ทำทุกอย่างเอง แถมยังทำให้คนอื่น เช่นซักผ้ารีดผ้าให้พ่อ บางครั้งก็ทำอาหาร แต่ปุยฝ้ายทุกอย่างของเธอมีแม่บ้านทำให้หมด สบายมาก ถ้าเลือกเกิดได้ฉันอยากเกิดเป็นหมาแมวคนรวยไม่ก็เป็นปุยฝ้ายนี่แหละ
แล้วเราสองคนก็หย่อนก้นนั่งบนเตียงด้วยกัน
"มึงออกมาแบบนี้จะไปอยู่ไหน หรืออยู่กับกูก่อน?"
"คือ... กูจะขออยู่กับมึงแค่แป๊บนึงน่ะ พอหาหอได้ และหางานได้กูจะออกไปอยู่ที่อื่น มึงจะคิดเงินก็ได้นะ"
ปุยฝ้ายถอนหายใจทันที
"เฮ้อ กูจะคิดทำไม มึงไม่มีเงินอ่ะ แล้วจะไปทำงานอะไร"
"กูจะขอช่วยงานครู พวกเขียนวิจัย เขียนวิทยฐานะ แล้วก็จะรับทำรายงานทุกอย่าง ก็น่าจะพอไหว"
ฉันมีทักษะการเขียนและเก่งเรื่องสำบัดสำนวน งานวิชาการต่างๆก็เลยพอทำได้ ยอตัวเองนี่แหละ เพราะนอกจากเงินสี่สิบบาทที่ได้จากพ่อไปโรงเรียน เรื่องนี้ทำให้ฉันมีกินมีใช้อยู่บ้าง
ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นค่าผ้าอนามัย ค่าของใช้ผู้หญิงพวกบราชั้นในต่างๆ ซึ่งพ่อไม่เคยให้เงินฉันซื้อมัน ส่วนพวกครีมตัดออกไปเถอะฉันไม่ได้บำรุงตัวเองเลย ใช้สบู่เด็กก้อนละไม่กี่สิบบาทล้างหน้าก็พอแล้ว
"เอางี้มึงก็อยู่บ้านกูไปก่อนแล้วกัน แต่นอนข้างล่างนะ กูนอนดิ้นอ่ะกลัวถีบมึง" ปุยฝ้ายชี้นิ้วลงไปที่พื้นข้างเตียง
"ได้ สบายมาก นอนพื้นบ้านมึงสบายกว่าบ้านกูสิบเท่า"
"ดีที่มึงเป็นคนง่ายๆ แต่ตอนกลางคืนกูคุยโทรศัพท์กับผู้ชายนะ จะกวนมึงเปล่า?"
"ไม่เป็นไรกูจะใส่หูฟัง"
"โอเค ดีล"
ยังดีที่มีที่พึ่ง... และโชคดีที่มีเพื่อนแบบนี้
ฉันเคยมาที่นี่บ่อยแต่ไม่เคยค้างเพราะเกรงใจเพื่อน ตอนนี้ก็เกรงใจมาก เวลาอยู่บ้านปุยฝ้ายเลยตัวลีบแบน ช่วยหยิบจับทุกอย่างราวกับลูกแม่บ้านคนหนึ่ง เช่นตอนตั้งโต๊ะ ฉันจะช่วยตั้งให้เสร็จและไปกินข้าวพร้อมพี่เพ็ญในครัว ช่วยพี่เพ็ญล้างจานปัดกวาดเช็ดถู หรือบางวันก็ไปตากผ้าช่วย ซึ่งเสื้อผ้าก็ชุดของปุยฝ้ายนี่แหละ
ฉันโอเคที่จะอยู่แบบนี้ ตามสุภาษิตที่ว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย แต่ก็แอบเสียใจอยู่บ้างที่ฉันหายไปพ่อไม่โทรหาหรือตามหาฉันเลย
จนฉันรู้ซึ้งว่าพ่อของฉันเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่เผลอทิ้งสเปิร์มใส่แม่เท่านั้น ต่อให้แม่มีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่พ่อที่ดีหรอก
ตั้งแต่นั้นมาเราจึงตัดขาดกันอย่างถาวร
จนคืนที่หกที่ฉันค้างที่บ้านปุยฝ้าย ระหว่างที่ปูผ้านอนบนพื้นกางกระดาษมีเส้นและควงปากกา ฉันก็ใช้มือถือต่อไวฟายบ้านปุยฝ้ายหาข้อมูลมาเขียนรายงานด้วย แต่ฉันดันเจอเว็บไซต์หนึ่ง ที่แค่ชื่อเว็บก็ทำให้ฉันหยุดเลื่อนนิ้ว และตั้งใจดู
'ระบายได้นะ'
www.rabaidaina.co.th
'หากมีปัญหาที่ไม่สามารถระบายกับคนใกล้ตัวได้'
'มีคนรับฟังคุณอยู่ที่นี่'
ดีจัง
ฉันเหลือบมองปุยฝ้ายที่นอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงแวบหนึ่งก่อนจะกดเข้าไป หน้าเว็บคลีนๆสบายตา เข้ามาก็เจอบอร์ดที่มีคนตั้งไว้หลายคน พร้อมกับเครื่องหมายติ๊กถูกสีเขียวเขียนว่า 'มีคนรับฟังแล้ว'
แต่ถ้าไม่มีคนรับฟังก็จะขึ้นจุดสามจุดสีแดงและเขียนว่า 'รอคนรับฟัง'
หมายเหตุ... เราไม่สามารถเห็นปัญหาที่คนอื่นมาตั้งได้จนกว่าจะกดรับฟัง และคนที่ตั้งบอร์ดก็สามารถเลือกได้ว่าอยากได้คนรับฟังกี่คน
คนที่ทำเว็บนี้ขึ้นมาต้องเรียนพวกจิตวิทยามาแน่ๆ ไอเดียดีชะมัด
คนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างฉัน จึงลองสมัครแอ็กเคานต์ด้วยมือถือง่อยๆของตัวเองไว้ เพราะปัญหาของฉันจะระบายกับเพื่อนแค่คนเดียวคงไม่ไหว ฉันสงสารปุยฝ้ายที่ต้องมารับฟังปัญหาเดิมๆตั้งแต่ม.หนึ่งยันม.สี่
ถึงแม้ตอนนี้จะออกจากบ้านมาแล้ว แต่ฉันเชื่อว่าเส้นทางของฉันมันไม่มีทางสวยหรู และโรยด้วยกลีบกุหลาบแน่นอน อย่างที่เขาว่ากันถ้าคุณสวยโลกจะใจดีกับคุณร้อยเปอร์เซ็นต์ และถ้ารวยอีกก็เพิ่มไปอีกสองร้อย
ซึ่งฉันไม่มีอะไรสักอย่างจ้า
เอาไว้รู้สึกเหนื่อยเมื่อไหร่ เจออะไรมา ฉันจะระบายในนี้ อย่างน้อยก็ไม่มีใครรู้จักฉันสักคน เพราะไม่มีให้ใส่รูป ไม่ถามข้อมูลส่วนตัว และไม่ต้องยืนยันตัวตนผ่านเมลอะไรทั้งนั้น
ทุกอย่างเป็นความลับ