ตอนที่ 7
หลังกลับจากโรงพยาบาล ภาคินัยก็แวะพาคุณป้าและหลานสาวทานมื้อเที่ยงด้วยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพราะเขายังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ใช้จากเธอ ระหว่างที่นั่งรับประทานอาหาร ภาคินัยก็เริ่มชวนคุยที่เรื่องงานที่ค้างเอาไว้ทันที
“สรุปว่าถึงตอนนี้น้องอัญก็ยังไม่มีบริษัทไหนเรียกตัวใช่มั้ยครับ” ภาคินัยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง
“ตอนนี้ยังเลยค่ะ” อัญชลิดาตอบเสียงแผ่ว ดวงตาคู่สวยหม่นแสงลงเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้น...” ภาคินัยเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ไปทำงานกับพี่นะครับ พี่คุยกับคุณป้าให้แล้ว” อัญชลิดาหันมามองคุณป้าของเธออย่างลังเล แต่ภาคินัยก็รีบพูดต่ออย่างกระตือรือร้น
“ที่ไร่ของพี่กำลังต้องการคนช่วยงานอยู่พอดี พี่เห็นว่าน้องอัญจบกีฏวิทยา น่าจะไม่ยากสำหรับตำแหน่งผู้จัดการไร่ ส่วนเรื่องเงินเดือนก็ไม่ต้องห่วงนะครับ สำหรับผู้จัดการไร่สตาร์ทที่ห้าหมื่นบาท แถมมีประกันสังคมและประกันสุขภาพพร้อม” ภาคินัยยื่นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธ
“อืม...ว่าไงคะคุณป้า” อัญชลิดาถามคุณป้าอย่างมีความหวัง หญิงชราจึงตัดสินใจถามหลานสาวกลับไปบ้าง “แล้วหนูอัญคิดว่ายังไงล่ะลูก หนูทำไหวมั้ยล่ะ ไม่ใช่ไปแล้วกลับต้องเป็นภาระให้พ่อเลี้ยงเค้านะลูก” อัญชลิดาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ถ้าพี่ภีมให้โอกาส อัญก็จะลองทำดูค่ะ แต่อัญไม่มีประสบการณ์นะคะ” ภาคินัยยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกันเอง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่จะสอนงานให้น้องอัญเอง”
“ฝากหลานป้าด้วยนะคะ...พ่อเลี้ยง” หญิงชราเอ่ยเสียงแผ่วเบา คล้ายจะฝากฝังดวงใจไว้ในมือของเขา ความโล่งใจฉายชัดบนใบหน้าเหี่ยวย่น เงินเดือนห้าหมื่นบาทนั้นช่างเป็นดั่งแสงสว่างในยามยาก สำหรับเศรษฐกิจที่ผันผวนเช่นนี้ การเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ในหมู่บ้านที่รายได้ไม่แน่นอนนั้นช่างดูริบหรี่นัก
ภาคินัยคลี่ยิ้มอ่อนโยน ส่งผ่านความอบอุ่นไปยังหญิงชรา ก่อนจะหันมาสบตาหลานสาวของเธอ ดวงตาคมกริบเปล่งประกายแห่งความเสน่หา ราวกับจะสะกดให้เธอตกอยู่ในภวังค์
“คุณป้าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลน้องอัญเป็นอย่างดี” เขาเอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม ราวกับคำสัญญาที่มาจากหัวใจ ทว่าภายใต้ความอ่อนโยนนั้น กลับซ่อนเร้นแผนการอันดำมืด ที่พร้อมจะแผดเผาหัวใจของเธอให้มอดไหม้
สองวันต่อมา
8.00 น
เช้านี้เป็นวันทำบุญครบรอบ 7 วันให้รณพีร์ บรรยากาศภายในวัดโป่งสาอบอวลไปด้วยความสงบและศรัทธา ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างมาร่วมงานบุญด้วยความตั้งใจ ภายในงานบุญ มีการช่วยกันจัดเตรียม ขันข้าว ตามประเพณีทางเหนือ บนสำรับอาหารประกอบด้วยข้าว ผลไม้ อาหารคาวหวาน ส่วนด้านล่างก็มีสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ รวมไปถึงของใช้ใหญ่ ๆ อย่างมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ที่ผูกด้ายสีขาวโยงไปรวมเอาไว้กับสิ่งของด้านบน
ขันข้าวเหล่านี้ถูกจัดวางอย่างสวยงามบน สะลี หรือร้านวางของที่ทำจากไม้ไผ่ เมื่อถึงเวลาทำพิธี พระสงฆ์สวดมนต์และให้ศีลให้พร จากนั้นชาวบ้านนำขันข้าวไปถวายพระสงฆ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้รณพีร์ ขณะที่ถวายขันข้าว อัญชลิดาและคุณป้ากล่าวคำอธิษฐานขอให้รณพีร์ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่ทำไปให้
ภาคินัยสังเกตเห็นว่าอัญชลิดาและคุณป้าใส่ของใช้ส่วนตัวของรณพีร์ลงในขันข้าว เมื่อเสร็จพิธี เขาจึงเดินเข้าไปถามอัญชลิดา
“น้องอัญจะบูชาคืนพวกรถ มอเตอร์ไซค์ของพี่ชายไหมครับ”
“บูชาคืนสิคะ ยกเว้นพวกเสื้อผ้า” อัญชลิดาตอบเสียงเศร้า
“งั้นเดี๋ยวพี่ออกค่าบูชาให้เองนะครับ” ภาคินัยเสนอ อัญชลิดานำสิ่งของคืน มีรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และโทรศัพท์มือถือ
“น้องอัญตั้งใจจะเอาโทรศัพท์ของพี่ชายไปขายหรือใช้เองครับ” ภาคินัยถาม
“ก็น่าจะขายค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะกดราคาหรือเปล่า” อัญชลิดาตอบ
“งั้นลองเข้าไปขายในเมืองไหมครับ เดี๋ยวพี่พาไป” ภาคินัยเสนอ
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวอัญไปขออนุญาตคุณป้าก่อนนะคะ” อัญชลิดาตอบ
“แล้วพวกรถยนต์กับมอเตอร์ไซค์ จะเก็บไว้ไหมครับ” ภาคินัยถามต่อ
“ก็คงขายเหมือนกันค่ะ คุณป้าขับไม่เป็นเลยสักอย่าง ทุกวันนี้แกยังปั่นจักรยานอยู่เลย” อัญชลิดาตอบ
“น้องอัญกับพี่ชายอยู่กับคุณป้ามานานแล้วเหรอครับ ขอโทษนะครับที่พี่ต้องถาม” ภาคินัยถามด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่ที่เจอเธอจนกระทั่งวันนี้ยังไม่เคยเห็นพ่อแม่ของอัญชลิดาเลย
“อัญกับพี่พีร์อยู่กับคุณป้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้มที่ปนเศร้า
“แล้วคุณพ่อคุณแม่ล่ะครับ” ภาคินัยถามต่อ
“ท่านเสียไปตั้งแต่พวกเราเด็ก ๆ แล้วค่ะ คุณพ่อเสียก่อน จากนั้นก็คุณแม่ ครอบครัวของอัญประสบอุบัติเหตุค่ะ คุณพ่อขับรถตกคลอง พอช่วยอัญกับพี่พีร์ขึ้นมาได้ คุณพ่อก็รีบลงไปช่วยคุณแม่ แต่พวกท่านหมดแรงก็เลยเสียชีวิต” อัญชลิดาเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พี่เสียใจด้วยนะครับ” พ่อเลี้ยงหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาแสดงความห่วงใยออกมา จนเธอรู้สึกอบอุ่น
“เราเหลือกันแค่สองคน แต่พี่พีร์ก็มาด่วนจากไปอีก” อัญชลิดากล่าว ภาคินัยได้ยินดังนั้นก็ลืมความแค้นไปชั่วขณะ
เขาพาเธอไปขายโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างแรก แต่ทางร้านกดราคา ทำให้อัญชลิดาลังเล พ่อเลี้ยงหนุ่มที่อยากได้โทรศัพท์ของรณพีร์อยู่แล้ว จึงเสนอเงินซื้อโทรศัพท์เครื่องนั้นกับเธอ โดยอ้างว่าจะเอาไปให้คนงานในไร่
“พี่ขอซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้ดีกว่าครับ ขายไปมันได้น้อยไม่คุ้มหรอก” ภาคินัยกล่าว อัญชลิดามองโทรศัพท์ในมือของภาคินัยด้วยความสงสัย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องการโทรศัพท์ของพี่ชาย
“สองหมื่นเป็นไงครับ” เขาเสนอราคาให้มากกว่าร้านเสนอเกือบเท่าตัว
“งั้นก็ได้ค่ะ” อัญชลิดาตอบรับอย่างไม่ลังเล เธอคิดว่าการขายโทรศัพท์เครื่องนี้น่าจะเป็นการตอบแทนน้ำใจของเขาได้บ้างไม่มากก็น้อย ก่อนที่ภาคินัยจะยิ้มมุมปากและรีบโอนเงินให้หญิงสาวผ่านแอพของธนาคารแล้วจึงพาเธอกลับ