ประจบเอาใจ 2

2073 คำ
“หลานสะใภ้มาฟ้องอะไรคุณย่าเหรอครับ” เสียงทุ้มดังแทรกเข้ามา ปรายตามองเกณิกาเล็กน้อยอย่างคาดโทษหากหญิงสาวทำให้ตนถูกคุณย่าต่อว่า ร่างสูงเดินเข้ามาภายในห้องรับแขก ทรุดตัวลงนั่งอีกฝั่งข้างคุณหญิงรัศมี ยกมือไหว้ท่าน “สวัสดีครับคุณย่า” คนเป็นย่าเมื่อเห็นหลานรัก โอบกอดร่างสูงใหญ่ด้วยความดีใจ มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลาลูบแผ่นหลังกว้างไปมาด้วยความรักคิดถึง “นึกว่าลืมย่าไปแล้ว” ตัดพ้อแกมน้อยใจตามประสาคนอายุมากที่อยากเจอหน้าลูกหลานทุกวัน ภากรหอมแก้มนุ่มนิ่มลงไปเป็นการไถ่โทษที่ทำให้ท่านรอคอย “ไม่มีทางลืมหรอกครับ ช่วงนี้งานยุ่งมากห้างสรรพสินค้าใหม่กำลังจะเปิดตัว” เอ่ยด้วยความสัตย์จริงทุกคำไม่มีปด ชายหนุ่มยุ่งสายตัวแทบขาดกับโครงการห้างสรรพสินค้าใหม่ อยู่ในขั้นตอนเตรียมงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ “มัวแต่ทำงาน แล้วแบบนี้ย่าจะมีเหลนเมื่อไหร่กัน ย่าอยากมีเหลนแล้วตะวัน รอเจ้าฟ้าก็คงอีกนาน ขานั้นยังลอยชายไปเรื่อยไม่มีทีท่าว่าจะลงหลักปักฐานกับใครสักคน มีเหลนให้ย่าเถอะนะ” หลานชายปรายตามองหญิงสาวข้างกายคุณย่า พลางคาดโทษไปในที เพราะคิดว่าเกณิกาคงมาเป่าหูคุณย่าให้เอ่ยปากกับตนเรื่องนี้ คิดจะใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการจับเขาสินะ “แต่ผมยังสนุกกับงานอยู่เลยครับ” “เห้อ! แบบนี้ทุกที สนุกแต่กับงานจนลืมนึกถึงความสมบูรณ์ของครอบครัว อายุเราก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เกิดนานไปไม่มีจะทำยังไง มีลูกตอนนี้แหละดีแล้วยังไม่แก่กันเท่าไหร่ จะได้มีกำลังเลี้ยงไหว ใช่ไหมหล่อน” คนถูกโยนระเบิดมาใส่ในมือถึงกับทำหน้าไม่ถูก หากตอบว่าใช่ กลับจากที่นี่ไปคงถูกคนที่จ้องเธอเขม็งอยู่ในตอนนี้หักคอแน่ หากจะไม่ตอบเธอก็ไม่อยากทำร้ายสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของคุณหญิงรัศมี “เตยแล้วแต่คุณตะวันค่ะ” นี่คงเป็นทางออกเดียวที่จะรักษาความรู้สึกทั้งสองคน “ย่ะ พอกันทั้งคู่ แล้วไหนเมียเราบอกย่าว่ามีธุระมาไม่ได้ อยู่ดีๆ ทำไมโผล่มา” ภากรปรายตามองคนที่แก้ตัวให้เล็กน้อย ไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด ที่พูดไปคงเรียกคะแนนหลานสะใภ้ที่ดีสินะ “ผมยกเลิกครับ เพราะทนคิดถึงคุณย่าไม่ไหว อีกอย่างก็กลัวหลานสะใภ้มาฟ้องอะไรคุณย่าด้วย” อ้อนเอาใจ สวมกอดเอวนิ่มของผู้เป็นย่า แต่ไม่ลืมจะจิกกัดเกณิกาให้เลือดซิบ คุณหญิงรัศมีปรายตาค้อนใส่หลานชาย สองครั้งแล้วนะที่เอ่ยคำว่าหลานสะใภ้ออกมาเต็มปากเต็มคำโดยไม่รู้ตัว หากบอกว่าไม่ยอมรับแต่ประโยคที่ลั่นมามันต่างจากการยอมรับตรงไหนกัน น่าสงสารคนปากไม่ตรงกับใจโดยแท้ “เตยไม่ได้ฟ้องนะคะ” “ฉันมาก่อนก็เลยไม่ได้ฟ้องน่ะสิ” เกณิกากำลังจะอ้าปากแย้งต่อ คุณหญิงรัศมีจึงแทรกขึ้นมาเสียก่อน “พอเลยเราสองคน ทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้ เดี๋ยวหล่อนไปบอกแม่บ้านเอาน้ำชากับขนมไปที่สวน ฉันจะไปนั่งรับลมสักหน่อย” “ค่ะ” เมื่อเกณิกาพ้นออกจากห้องรับแขก คุณหญิงรัศมีจึงหันมาหาหลานชาย “ไปตะวันพาย่าไปที” ย่าหลานเดินประคองกันไปยังสวนหน้าบ้านเพื่อนั่งรับลม มองดูดอกไม้ที่แข่งกันออกดอกชูช่อส่งกลิ่นหอมมาตามสายลมที่พัดผ่าน “ฟ้าไปไหนเหรอครับคุณย่า วันนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอครับ” เอ่ยถามถึงน้องชาย ที่ไม่เห็นมาร่วมวงสนทนาเหมือนเช่นทุกครั้ง “นอนยังไม่ตื่น เพิ่งกลับมาตอนพระบิณฑบาตนี่เอง เลยได้ใส่บาตรพร้อมย่า” นางรัศมีเอ่ยแกมรอยยิ้ม มีอย่างที่ไหนไปเที่ยวทั้งคืนกลับมาพร้อมกับพระสงฆ์ออกเดินบิณฑบาต “ก็ดีนะครับ คุณย่าจะได้มีเพื่อนใส่บาตรไง” ค้อนขวับแกมหมั่นไส้หลานชายที่สัพยอก “ตะวัน” น้ำเสียงจริงจังของผู้เป็นย่าเรียกขาน มือที่เหี่ยวย่นยื่นมาจับมือหลานชายไว้ เรียกให้คิ้วหนาเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ “ตะวันอย่าเกลียดเมียตัวเองเลยนะลูก เชื่อย่าเถอะนะว่าเตยไม่รู้เรื่องยานั่นจริงๆ ย่าเองที่เป็นคนบอกให้เตยขึ้นไปดูแลตะวัน เพราะเห็นว่าเราเมามาก วางอีโก้ของเราลงได้ไหม แล้วมองเตยใหม่” “หลานสะใภ้มาฟ้องอะไรคุณย่าครับ หรือว่ามาขอร้องให้คุณย่ามาเกลี้ยกล่อมผมให้ยอมรับเธอ ผมบอกเลยนะครับว่าที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ก็มากพอแล้ว” น้ำเสียงทุ้มเคล้าความไม่พอใจ พาลโมโหให้คนต้นเรื่องที่ทำให้คุณย่าต้องมานั่งขอร้องตน ที่เสนอหน้ามาที่นี่คงไม่ใช่เพราะมาเยี่ยมคุณย่าสินะ ที่แท้ก็มาเพื่อให้คุณย่าพูดเกลี้ยกล่อมเขานี่เอง “ไม่ใช่ ย่าพูดเอง” “คุณย่าครับ แม้ผมจะไม่ได้แต่งงานกับยัยนั่น แต่ผมก็รับผิดชอบเลี้ยงดูอย่างดีนะครับ เงินก็ให้ใช้ไม่คาดมือ ได้ทั้งเงินเดือนที่ทำงานและเงินเดือนจากผม แต่ถ้าจะให้ผมยกย่องออกหน้าออกตาเป็นเมีย ผมว่าหลานสะใภ้คุณย่าไม่เหมาะที่จะเดินข้างผม ให้อยู่แบบนี้ดีแล้วครับ” ฝ่ามือของคุณหญิงรัศมีตีลงบนแขนหลายชาย “อย่าพูดแบบนี้ให้ย่าได้ยินอีกนะตะวัน คนเรามีเกียรติมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน แม้เตยจะเป็นแค่หลานคนใช้ แต่หล่อนก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา อย่าเอาชาติตระกูล ชาติกำเนิดมาเป็นตัวชี้วัดว่าใครต่ำใครสูง ย่าไม่ชอบ และย่าก็ไม่เคยสั่งสอนให้ตะวันดูถูกคนอื่นแบบนี้” คนถูกดุคุกรุ่นในอก ไม่ได้โกรธเคือง ไม่ได้ไม่พอใจคุณย่าที่กล่าวว่าตัวเอง หากแต่ไม่พอใจคนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองถูกต่อว่าต่างหาก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนถูกคุณย่าต่อว่าเรื่องเกณิกา แต่แทบทุกครั้งที่สนทนากันก็ว่าได้ รถยนต์กระชากตัวออกจากรั้วบ้านใหญ่ตามอารมณ์คนขับ ใบหน้าคมเข้มบึ้งตึงกรามเป็นสันนูนขึ้นจนเห็นเด่นชัด เกิดจากการข่มอารมณ์ที่อบอวลในอก สายตาคมเพ่งมองไปยังถนนเบื้องหน้า เท้าลงน้ำหนักมากขึ้นเมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนสายหลัก จนคนที่นั่งข้างกันเกร็งไปทั้งตัว มือจับเบาะเอาไว้แน่นด้วยความกลัว “คุณตะวันขับช้าลงกว่านี้หน่อยได้ไหมคะ” สุดท้ายก็ทนความหวาดกลัวไม่ไหว “หุบปาก!” เสียงเข้มตวัดลั่น เพิ่มความเร็วมากขึ้นจากเดิม จนเกณิกาใจเต้นแรงนั่งเกร็ง “แต่เตยกลัว” เรียวปากหยักยกยิ้ม ชำเลืองมองเสี้ยวหน้าคนข้างกัน ก่อนจะผ่อนความเร็วลงให้อยู่ในระยะปลอดภัย ทว่าก็ยังเกินกว่ากฎหมายกำหนดอยู่ดี เกณิกาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก อาการเกร็งในคราแรกลดลงไปมาก หายใจหายคอโล่งขึ้นไม่น้อย หัวใจที่เต้นแรงตุบๆ ก็เหมือนจะเต้นในจังหวะปกติ ภากรเลี้ยวรถเข้าจอดริมไหล่ทาง หันมองผู้หญิงหน้าตาใสซื่อเหมือนคนไม่มีพิษมีภัย ทว่าความจริงกลับไม่ใช่ เกณิการ้ายกาจกว่าที่เขาคิดไว้หลายเท่านัก รู้จักใช้คุณย่าเป็นเครื่องมือให้มาพูดกับเขา หน้าไม่อาย! “จอดทำไมคะ” “หน้าด้าน ไร้ยางอาย กล้าดียังไงถึงได้ไปบอกคุณย่าให้มาพูดกับฉัน ให้ฉันเชิดหน้าชูตาเธอออกสังคม อยากมีตัวตนมากขนาดนั้นเลยหรือไง” เกณิกาอยากจะกรีดร้องใส่หน้าทว่าคงไม่ทัน เพราะมือของหญิงสาวไวกว่า ตวัดลงบนแก้มสากเต็มแรงจนได้ยินเสียงดังชัดเต็มสองหู ใบหน้าหล่อหันไปตามแรงกระแทกของฝ่ามือ ริ้วแดงปรากฏชัดบนแก้ม สายตาคมตวัดมองกลับคืน มือหนากระชากแขนเรียวเต็มแรง ร่างบางถลาเข้าใกล้ “เตยหอม!” เสียงเข้มลอดไรฟัน กรามขบกันเป็นสันบนใบหน้า เกณิกาตื่นกลัวแกมตกใจกับอารมณ์ชั่ววูบที่ทำลงไป ทว่ายังคงซ่อนความกลัวไว้ภายใน เชิดหน้าขึ้นสู้กับสายตาคม “เธอรู้ไหม ว่าไม่มีใครเคยทำแบบนี้กับฉันมาก่อน เธอกล้ามากเลยนะที่กล้าตบหน้าคนอย่างฉัน” ออกแรงบีบลงบนแขนเรียวจนกระดูกแทบแตกคามือ นัยน์ตาลุกโชนด้วยไฟเกรี้ยวโกรธ เกณิกานิ่วหน้าด้วยความเจ็บแต่กลับไม่อ้อนวอนขอร้องให้เขาปล่อย “ก็คุณตะวันมาว่าเตยก่อนทำไม เตยไม่ได้พูด ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น คุณหญิงท่านพูดเองไม่เกี่ยวกับเตย” “ฉันไม่เชื่อ!! ในเมื่อเธออยากได้ฉันจนตัวสั่นขนาดนั้น จำได้ไหมตอนนั้นเธอพูดกับคะน้าว่ายังไง” "ตอนไหน เตยพูดอะไร" "ก็พูดว่าเธอจะแย่งฉันมาจากมิลายังไงล่ะ และเธอก็ทำจริงๆ เหมือนที่เธอพูด ทุเรศสิ้นดี" เกณิกาพยายามย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ย้อนนึกถึงวันที่เธอเผลอพูดความในใจออกไปกับคะน้าที่เป็นหลานลูกสาวคนใช้ในบ้าน ‘ไงยะ เตยหอม แอบมองคุณตะวันไม่แผ่วเลยนะ สายตาแกมันหวานเยิ้มแทบจะกินคุณตะวันเข้าไปทั้งตัวแล้วรู้ไหม’ เกณิกาละสายตาจากภากร หลังจากแอบมองอยู่ที่มุมบ้านในช่วงเย็นหลังจากที่ภากรกลับมาจากมหาวิทยาลัย ‘ก็คุณตะวันเขาเป็นคนดี’ 'ตอบไม่ตรงคำถามย่ะ แอบชอบคุณตะวันล่ะสิไม่ว่า แต่ฉันได้ข่าวมาว่าคุณตะวันกำลังตามจีบผู้หญิงคนหนึ่งอยู่นะ ทั้งสวย ทั้งเก่ง บ้านก็รวย แกอกหักแล้ว’ ‘ก็ช่างปะไร ฉันชอบคุณตะวันไม่ได้ชอบแฟนคุณตะวันสักหน่อย’ ‘จะแย่งมาว่างั้น’ ‘ก็ไม่รู้สินะ’ และประโยคสนทนาประสาเพื่อนก็ลอยเข้าหูเจ้าของชื่อเข้าอย่างจัง ความเอ็นดู ความสนิทสนมเมื่อครั้งเยาว์วัย แปรเปลี่ยนเป็นไม่ชอบใจและยังแอบผิดหวังไม่น้อยกับสิ่งที่เกณิกาเอ่ยออกมา เพราะภากรเอ็นดูเกณิกาเหมือนน้องคนหนึ่ง ไม่คิดว่าเกณิกาจะคิดแบบนี้ จากที่เป็นผู้ชายอบอุ่นแสนดีของเกณิกา ภากรก็ตีตัวออกหากทีละนิดจนกลายเป็นคุณตะวันผู้เย็นชา ยิ่งมีเรื่องนี้เข้ามายิ่งทำให้ภากรมองเกณิกาเป็นผู้หญิงไม่ดีมากขึ้นกว่าเดิม “อยากได้ฉันจนตัวสั่น ถึงขนาดจะแย่งฉันมาเลยเหรอ ฉันไม่เคยเจอใครหน้าด้านเหมือนเธอมาก่อนเลยจริงๆ” สายตาดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง เกณิกาส่ายหน้าไปมา นี่เขาได้ยินที่เธอพูดวันนั้นใช่ไหม และแสดงว่าเขาไม่อยู่ฟังจนจบใช่หรือเปล่าถึงได้เข้าใจเธอผิดไปขนาดนี้ “เตยแค่พูดเล่นกับคะน้าเท่านั้น เตยไม่เคยคิดจะแย่งคุณตะวันมาเป็นของเตยเลยนะคะ” “ตอแหล!” หมดปัญญาจะถกเถียง มองเจ้าของประโยคใจร้ายอย่างเจ็บปวดเสียใจ หากเขารู้ว่าหลังจากนั้นเธอเอ่ยอะไรต่อ เขาคงไม่เข้าใจเธอผิดเช่นนี้ใช่ไหม ‘เอาจริงดิเตย แกจะแย่งจริงอะ’ คะน้ายังแคลงใจว่าเพื่อนของเธอจะกล้าแย่งหลานคุณหญิงรัศมีมาเป็นของตัวเองจริงอย่างที่พูดออกมา คนถูกถามส่ายหน้ารัวเร็ว ‘ไม่ ฉันพูดเล่นไปงั้นแหละ ฉันรู้ว่าเราเป็นใคร คุณตะวันเป็นใคร มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ขอแค่มองอยู่แบบนี้ เห็นคุณตะวันมีความสุขกับคนที่คุณตะวันรัก ก็พอแล้ว’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม