ร่างบอบบางในชุดสูทสีกรมท่าเข้ารูปดูสวยสง่า ทุกย่างก้าวเดินกระฉับกระเฉงมั่นใจ ดวงตารีเรียวทอดมองไปเบื้องหน้าแน่วแน่ กลีบปากสวยแต้มรอยยิ้มบางขับให้ใบหน้างามที่แต่งเติมด้วยเครื่องสำอางดูมีเสน่ห์ชวนมอง
หญิงสาวเดินตรงมายังห้องทำงานใหญ่เบื้องหน้า ขาเรียวก้าวมายังโต๊ะทำงานในตำแหน่งเลขา ดรัณที่กำลังนั่งเคลียร์งานเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยทัก
“สวัสดีครับคุณกรี” หญิงสาวนามว่ากรี หรือ กีรติ ส่งยิ้มให้
“ค่ะ กรีมาหาพี่ตะวันค่ะ อยู่ไหมคะ”
“อยู่ครับ เดี๋ยวผมขอแจ้งนายก่อนนะครับว่าคุณกรีมาพบ” ใบหน้างามพยักรับ ดรัณจึงรีบต่อสายหาเจ้านายที่ทำงานอยู่ภายในห้อง พูดคุยสองสามคำจึงวางสาย
“เชิญครับ” กีรติยิ้มให้อีกครั้ง จากนั้นจึงเดินไปยังประตูห้องทำงานบานใหญ่
ภากรนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ไขว่ห้าง สองมือประสานวางไว้บนหน้าท้อง มองหญิงสาวที่เดินยิ้มเข้ามาภายในห้อง
“สวัสดีค่ะพี่ตะวัน” เรียวปากหยักยกยิ้มบาง ในการกล่าวทักทาย
“งานเสร็จเรียบร้อยดีไหม” ไม่คิดจะอ้อมค้อมให้เสียเวลาการทำงาน เอ่ยถามความคืบหน้างานที่มอบหมายให้กีรติไปจัดการ แม้จะทราบดีว่ากีรติไม่เคยทำให้ตนเองผิดหวัง ทว่าก็ยังอยากฟังจากปากของหญิงสาว
“เรียบร้อยค่ะ” นี่คือสิ่งที่ภากรอยากได้ยินมากที่สุด รอยยิ้มบางจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง
“ดีมาก กรีไม่เคยทำให้พี่ผิดหวังเลยสักครั้ง อยากได้อะไรเป็นของรางวัลไหม”
หากเป็นพนักงานธรรมดาทั่วไปภากรคงไม่เอ่ยถามเช่นนี้ ทว่ากีรติเปรียบเสมือนลูกพี่ลูกน้องของชายหนุ่มก็ว่าได้ เพราะกีรติคือลูกสาวของคุณน้าแก้วกัลยาภรรยาของน้าประวิทย์น้าชายของภากร หรือจะพูดให้เข้าใจคือกีรติเป็นลูกเลี้ยงของน้าภากรนั่นเอง
ทว่าภากรก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์หรือไม่นับญาติกับหญิงสาว มิหนำซ้ำยังเอ็นดูกีรติดั่งน้องสาวเสียด้วยซ้ำ ยิ่งได้กีรติมาช่วยงานเป็นเลขาของฟ้าคราม คอยเจรจากับลูกค้าแทนน้องชายตัวเอง ภากรก็ยิ่งเอ็นดูกีรติมากขึ้น
“ไม่ค่ะ กรีไม่อยากได้อะไร เพราะที่กรีทำคือหน้าที่ ขอบคุณพี่ตะวันนะคะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่คุยกับฟ้าอีกทีแล้วกันเรื่องผู้รับเหมา ว่าแต่เจ้านายกรีมันมาทำงานหรือยัง”
“เพิ่งมาได้ห้านาทีก่อนที่กรีจะเดินมาห้องพี่ตะวันค่ะ” ภากรเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือ สิบโมงเช้า น้องชายเขาเพิ่งเข้าบริษัทตอนเก้าโมงห้าสิบห้า
เจริญล่ะ
“ยังไงพี่ฝากกรีดูมันหน่อยแล้วกัน เตือนๆ มันบ้าง ไม่มีอะไรแล้ว กรีกลับไปทำงานเถอะ”
“ค่ะ” ร่างบางเดินออกจากห้องไป พร้อมกับประโยคที่ผุดขึ้นมาในหัว
จะให้เธอไปเตือนอย่างนั้นเหรอ คงถูกด่าสาดเสียเทเสียกลับมาน่ะสิไม่ว่า
คล้อยหลังกีรติออกไปได้ไม่นาน ประตูห้องทำงานของภากรก็เปิดออกอีกครั้ง จากฝีมือลูกน้องคนสนิทที่เดินยิ้มกรุ้มกริ่มเข้ามาหา
“มีอะไร” คนถูกถามเดินเข้ามาใกล้วางแผ่นกระดาษลงบนโต๊ะเจ้านาย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เงยหน้ามองลูกน้องที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า
“ผมเอาเค้กมาให้เจ้านายเลือกครับ พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเกิดคุณเตยแล้ว นายจะซื้อเค้กอะไรให้คุณเตยดีครับ” ร่างสูงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก สายตามองดรัณก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่า จนคนถูกมองเริ่มหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง เริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองคงทำเกินหน้าที่ไปมาก
“ผมขอโทษครับ ที่เอาเรื่องนี้มารบกวนเจ้านาย”
“รู้ตัวก็ดี จะได้ไม่ทำแบบนี้อีก เอาเวลาทำเรื่องไร้สาระพวกนี้ไปทำงานดีกว่าไหม” หน้าที่บานในคราแรกเหี่ยวลงเหลือไม่ถึงนิ้ว คนอะไรไม่มีความโรแมนติกเอาซะเลย รู้แหละว่าไม่รัก มีอคติกับคุณเตย แต่คุณเตยก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาเชียวนะ ใจดำจริงๆ คนอะไรก็ไม่รู้ ได้แต่คิดในใจสุดท้ายก็น้อมรับคำสั่งให้กลับไปทำงาน
“ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” หมุนตัวเดินออกจากห้อง กำลังจะยื่นมือไปดึงประตูเปิดออก หากไม่ติดว่ามีประโยคตามไล่หลังมา
“คอนโดจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม บอกยัยนั่นหรือยังว่าให้เตรียมตัวย้ายของออกจากห้องรูหนูนั่น” ดรัณอมยิ้ม อยากจะเดินกลับเข้าไปดีดปากเจ้านายตัวเองสักที แต่สิ่งที่ทำคือหมุนตัวกลับมาตอบคำถามคนหน้านิ่งตรงหน้า
“คอนโดจัดการเรียบร้อยหมดแล้วครับ แต่ยังไม่ได้แจ้งคุยเตยครับ ผมว่าจะรอถามเจ้านายก่อนว่าจะให้คุณเตยย้ายเข้าวันไหน”
“ก็พูดอยู่นี่ไงล่ะ นายนี่มันยังไงดรัณ ทำงานสลับมั่วกันไปหมด สิ่งที่ต้องทำไม่ทำ สิ่งที่ไม่ได้สั่งแต่ทำ ไปจัดการซะ”
“ครับ” แม้จะถูกตำหนิ และยังไม่ได้คำตอบว่าจะให้ย้ายวันไหน แต่ดรัณขอคิดเองว่าย้ายเข้าวันเกิดเลยแล้วกัน
"เสร็จแล้วก็ออกไปสิ จะมายืนยิ้มเพื่อ"
"ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ"
เมื่อประตูห้องปิดลง ลมหายใจของเจ้าของห้องก็ถูกผ่อนออกมา เหลือบสายตามองกระดาษที่ดรัณวางทิ้งไว้บนโต๊ะ มือก็ไม่รู้เป็นอะไรถึงยื่นออกไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาถือไว้ กวาดสายตามองเค้กหน้าตาน่าทานบนแผ่นกระดาษ แต่ที่สะดุดตาคงหนีไม่พ้นเค้กใบเตยสีเขียวนี่แหละ รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะวางกระดาษในมือลงตามเดิม