บทที่11 : โดนแซวเลย

1631 คำ
ผ่านมาหลายวันหลังจากกลับกาญจนบุรีจนตอนนี้วันหยุดหมดไปแล้ว จากที่เป็นไข้อ่อน ๆ ก็หายไปจนหมดพอ ๆ กับคนที่ไปกาญจนบุรีกับฉันนั่นแหละ ฉันก็ไม่ได้เจอพี่เกียร์เลย คงเป็นเพราะเรียนเสร็จก็กลับบ้านไม่ได้เจอใครทั้งสิ้น “เซียร์จะสอบไฟนอลละนะ เฮียจะไม่ให้ไปติวจริง ๆ เหรอคะเจ้” ตอนนี้ฉันกำลังเดินไปกับเจ้ใบไม้แฟนเฮียโจ้ และที่ฉันงอแงถามซ้ำ ๆ แบบนี้เพราะเจ้เล่าว่าเฮียไม่อยากให้ไปติวหนังสือจนดึกดื่น แต่ฉันจะต้องสอบอีก 2 อาทิตย์หน้าแล้วนะ ! ฉันจึงทำหน้าเซ็งขณะเดินกันไปศูนย์กีฬามหาวิทยาลัย “โจ้บอกว่าเวลาที่เราขอมันดึกดื่นเกินไปแถมผู้ชายเยอะแยะ นางบอกไม่ไว้ใจ” ฉันแอบหันไปเบ้หน้าเซ็งสุดขีด มันเป็นธรรมดาเปล่าไม่ใช่เหรอ ติวหนังสือช่วงสอบกับอีแค่กลับตีสอง ทำไมเฮียจะต้องห้ามด้วย “เจ้ก็เห็นด้วยนะ เพราะอยู่กันดึกขนาดนั้นแล้วต้องกลับบ้านอีกมันก็อันตรายนะเซียร์” “โธ่” “อีกอย่างเฮียเราเขาก็ไม่อยู่ไปดูงานกับม๊าบ่อย ๆ เขาไม่ได้ห่วงเราแค่คนเดียวกลัวว่าเพื่อนที่มาส่งเราจะเหนื่อยไปด้วยน่ะ บ้านก็อยู่ไกลว่าคนอื่น” เจ้ใบไม้ยังคงบรรยายโวหารให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยของผู้เป็นเฮีย “ถ้านอนห้องต้นหญ้า ก็ไม่มีปัญหาใช่มั้ยคะ” “ก็ลองถามดูสิ แต่ว่าคอนโดเซียร์จะเสร็จหรือยังนะ” “ม๊าบอกเสร็จอาทิตย์หน้าพร้อมเข้าอยู่ค่ะ ตอนนี้ยังเอาเฟอร์นิเจอร์เข้าไปไม่ครบ แต่จริง ๆ เซียร์ก็นอนได้แล้วนะ แต่ไม่มีใครยอมให้เซียร์นอนเลย” ฉันฟ้อง ตัวต้นเหตุน่าจะเป็นเฮีย ให้เหตุผลว่าช่วงนี้ยุ่งๆ ไปอยู่กับป๊าม๊าแทนที ส่วนตัวเองฉันก็เห็นเทียวรับเทียวส่งแฟนได้อยู่เลย ดูวันนี้ยังออกมาเล่นบาสชิว ๆ ได้ แล้วบอกไม่มีเวลาย้อนแย้งมาก ‘เฮ้ !!!’ ฉันกับเจ้ใบไม้สะดุ้งโหยงเมื่อกำลังเดินขึ้นบันไดไปทางชั้นสองของศูนย์กีฬา ซึ่งเป็นสนามบาสและสนามวอลเลย์บอล แต่เสียงเฮกึกก้องนี่มันคืออะไร “ไหนเจ้บอกว่าเฮียแค่มาออกกำลังกายขำ ๆ กับเพื่อนไงคะ ทำไมคนเยอะงี้อะ” ฉันพูดไม่ออกแต่เจ้ก็ยังจูงมือฉันแทรกผู้คนต่อไป จากตอนแรกคิดว่าเราจะขึ้นไปอัฒจันทร์ด้านบน แต่เปล่าจ้า เจ้กำลังดึงฉันไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวข้างสนาม เรียกได้ว่าชิดติดขอบสนามสุด ๆ ไปเลย “อ้าว มาแล้วเหรอไม้” เฮียยิ้มหวานหยดให้คนข้างกายฉัน แล้วยังหันมาเผื่อแผ่รอยยิ้มให้ฉันอีกด้วย “ว่าไงตัวเล็กไม่เจอกันเป็นอาทิตย์แล้ว คิดถึงเฮียมั้ย” เฮียยิ้มตาหยี แต่ฉันก็เบือนหน้าหนีเหม็นเบื่อ ขนลุกไม่ไหว...คงมีแต่เจ้เท่านั้นแหละที่ตกหลุมพราง “อ้าวไอ้นี่ เมินเฮีย...” เฮียทำท่าจะแจกมะเหงกให้ฉัน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อ... แหวกกก!!! กรี้ดดดด วี้ดดด ด้วยความสงสัยพวกเราจึงหันไปหาต้นเหตุของเสียงกรีดร้องโหยหวนทั่วสนาม พบกลุ่มคนที่เดินมายังกะบอยแบนด์ และฉันรู้จักผ่าน ๆ เพียงคนเดียว นั่นคือ ‘พี่ตี๋’ พี่ชายของซัน และอีกคนที่จะบอกว่ารู้จักดีเลยก็รู้สึกไม่ใช่ ไม่รู้จักเลยก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าเป็นคนที่ฉันอยากรู้จักซึ่งก็คือพี่เกียร์ พวกเขามากับอีกสองคนที่ฉันไม่รู้จัก อยากกรี๊ดมั้งได้มั้ยอ่า นี่เขาใส่เสื้อกีฬากับกางเกงขาสั้นแต่ทำไมดูเหมือนจะไปถ่ายแบบได้ขนาดนี้นะ ฉันแอบเคืองเจ้ใบไม้อยู่นะที่ไม่บอก นึกว่ามาดูเฮียกระโดดโหยงเหยงคนเดียว ถ้าบอกว่าจะมีหนุ่ม ๆ มาเยอะขนาดนี้คนโสดป้ายแดงแบบฉันจะได้เติมหน้าเติมตาไม่ใช่มาหน้าโล้นขนาดนี้ หมดกันแผนจะหาผู้ใหม่ เฮ้อ ! “มาแล้วเหรอ เออมากันเยอะ ๆ สนุกดี” เฮียกล่าวทักทายกลุ่มพี่เกียร์ที่เดินเรียงรายกันมา “หวัดดี วันนี้ขอเล่นด้วยนะ กูชื่อนนท์ นี่ไอ้เต้” ผู้ชายที่ท่าทางเป็นมิตร แต่สายตาดูขี้เล่นที่ยืนข้างพี่เกียร์เอ่ยทักทายเฮีย “เออ กูโจ้” เฮียแนะนำตัวสั้นๆ แล้วหันไปหาอีกคนที่ยืนข้างๆ พี่เกียร์อีกฝั่ง ตอนนี้หน้าตาเบื่อหน่ายเหมือนโดนลากมา “สำหรับมึงกูคงไม่ต้องแนะนำเนอะตี๋ เรารู้จักกันดีจะตาย” เฮียกระตุกยิ้มเยาะ พี่ตี๋มองหน้าเฮียนิดหน่อยก่อนพยักหน้าส่ง ๆ แล้วเลื่อนมามองฉันที่มองอยู่ก่อนแล้วหลบตาไป ทำท่าทีวางกระเป๋าสะพายบนเก้าอี้ตัวยาวต่อจากพี่นนท์ และพี่เต้ ฉันรับรู้ได้ถึงสัญญาณแปลก ๆ ออกมาจากพวกเขา คำถามเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด เฮียไปรู้จักพี่ตี๋ได้ไง ไม่เห็นรู้เลย คงไม่ใช่ว่าคุยกันเรื่องซันนอกรอบหรอกนะ ขณะกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พี่เกียร์ก็เดินถือกระเป๋าเป้เข้ามาเอื่อย ๆ พร้อมกับเล่นโทรศัพท์ไปด้วย ก่อนที่ฉันจะตาโตเป็นไข่ห่าน นะ...นั่นมันกระเป๋า Keepall สีดำใบเก๋ ของแบนด์ Louis Vuitton ของแท้ราคาแสนห้าเลยนะนั่น แต่ดูจากหน้าคนถือแล้วกระเป๋าดูถูกไปเลยเพราะหน้าแพงเกิน โอ๊ยย! ปกติฉันไม่ใช่คอกระเป๋าอะไรแบบนั้น แต่เพราะเป็นแบนด์ที่เลื่องลือเรื่องกระเป๋าหนังที่จัดมาให้วัยรุ่นกระเป๋าหนัก แถมไอ้ฟรังก็บ่นว่าอยากได้ทุกวัน ๆ ฉันถึงรู้ พออยู่บนตัวพี่เกียร์แล้วมันเหลือเกินว่ะ... พี่เกียร์มาถึงจุดที่เพื่อน ๆ เล่นบาสวันนี้รวมตัวกัน และมีฉันกับเจ้ใบไม้นั่งเอ๋อ ๆ กันอยู่สองคน ไม่ได้เป็นที่สังเกตอะไร ก่อนที่ร่างสูงจะหันซ้ายหันขวาท่าทีงง ๆ แล้ว...!!! “เฮ้ย! ทำอะไร” ฉันก็ตะโกนแสกหน้าพี่เกียร์ที่กำลังหย่อนกระเป๋าลงพื้น และเขาชะงักเพราะเสียงแปดหลอดของฉัน “ฮะ ? อ้าวใบไม้ อ้าว...” พี่เกียร์ขมวดคิ้วงุนงง เจ้ใบไม้ยิ้มทักทาย ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้ว่าเจ้รู้จักกับพี่เกียร์ เพราะเรียนหมอปีเดียวกัน “เรามาอยู่ตรงนี้ได้ไงเนี่ย...เดี๋ยวนะเมื่อกี้พูดกับพี่เหรอ” “ขอโทษค่ะ” ฉันขอโทษที่พูดห้วนใส่เขาเมื่อกี้ “แล้วพี่เกียร์จะวางกระเป๋าลงพื้นจริงๆ เหรอคะ” ฉันทำหน้าแหย พื้นสกปรกมากไม่เหมาะกับวางกระเป๋าแพงเลยสักนิด “ครับ ทำไมล่ะ” ร่างสูงพยักหน้า “กระเป๋าซื้อมาใช้ครับ” “หือ ? กระเป๋าแพงขนาดนี้ไม่กลัวมันเปื้อนหรือไงคะ” พี่เกียร์หัวเราะเมื่อฉันพูดจบ “แล้วให้ทำยังไง จะถือให้พี่เหรอ” พี่เกียร์เลิกคิ้วแล้วถามซึ่งฉันก็พยักหน้า อย่าว่าแค่กระเป๋าเลยเขาให้ถืออะไรฉันก็ถือให้หมดแหละ “เฮ้ย! น้อยๆ หน่อยไอ้สองคนนั่นน่ะ มาถึงก็ให้น้องกูถือของให้เลยนะ มารยาททราม” เฮียเบ้ปากทำเสียงรำคาญ “เซียร์อาสาถือเอง พี่เกียร์ไม่ได้ขอให้ถือสักหน่อย” ฉันแย้งเพราะเดี๋ยวพี่เกียร์จะดูเป็นผู้ชายไม่ดี “อ๋อ มีน้ำใจจริง ๆ เล้ย” เฮียพูดประชดใส่ฉันจนเพื่อน ๆ เขาที่อยู่ตรงนี้พากันหัวเราะ ยกเว้นพี่ตี๋ที่มองฉันกับพี่เกียร์ด้วยสายตาแปลก ๆ ดูจะงงไม่น้อย “โดนแซวเลย...เขินมั้ยเนี่ย” พี่เกียร์พูดพลางหัวเราะเสียงเบา ๆ เพียงแค่นั้นก็เหมือนเทน้ำมันลงบนกองเพลิงให้โดนล้อหนักกว่าเก่าอีก “เดี๋ยว ๆ เกินไปว่ะไอ้เกียร์ แต่หน้าน้องนี่โคตรคุ้นเลย เหมือนเคยเจอที่ไหนหวา...” พี่นนท์ทำท่านึก ๆ ก่อนจะดีดนิ้ว ป๊อก ! “ถึงจะแต่งหน้าจัดกว่าวันนี้แต่ใช่แน่ น้องขี้เมาที่ผะ...” ตุ๊บ ! กระเป๋ายี่ห้อแบนด์ดังบนเก้าอี้ติดกับตัวฉัน ถูกโยนไปบนพื้นอย่างไม่เบามือจนฉันสะดุ้งพอ ๆ กับคนที่พูดอยู่ร้องเสียงหลง “เหี้ย ! กระเป๋ากู๊!!! มึงโยนลูกกูทำไม” พี่นนท์รีบวิ่งมาดูกระเป๋าตัวเอง และปัดอย่างเบามือพร้อมกอดอย่างหวงแหน “เงียบปาก” พี่เกียร์นั่งลงแทนที่กระเป๋าพี่นนท์ซึ่งเมื่อครู่ถูกทิ้งอย่างไม่ไยดี แล้วทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว พี่นนท์ทำท่าเอาเรื่องแต่ก็ทำอะไรคนหน้ามึนไม่ได้จึงไปหยิบกระเป๋าตัวเองมากอดแล้วเดินกลับไปนั่งที่เก่า “พี่เกียร์ไปโยนกระเป๋าพี่เขาทำไม ถ้าอยากนั่งเดี๋ยวหนูลุกให้ก็ได้นะคะ” “ไม่เป็นไร...ของไอ้นนท์เกะกะน่ะ อ้อ พี่ฝากโทรศัพท์หน่อยได้ไหมเดี๋ยวต้องลงสนาม” “ได้ค่ะ” ฉันหยิบโทรศัพท์ที่พี่เกียร์ยื่นให้มาไว้กับตัวเอง ก่อนที่พี่เกียร์จะพูดสมทบ “ถ้าแชทเด้งหรือว่ารำคาญก็ปิดเครื่องได้เลยนะ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก” พูดจบก็เดินตามพวกเฮียโจ้เข้าสู่สนาม “ไรวะแม่ง แปลกสัสฝากโทรศัพท์กันด้วย ทีกูขอโทรศัพท์เล่นหน่อยนี่ลีลา” พี่เต้บ่นเสียงเบา แต่ฉันเสือกหูดีไปได้ยิน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม