ผ่านมาหลายวันหลังจากกลับกาญจนบุรีจนตอนนี้วันหยุดหมดไปแล้ว จากที่เป็นไข้อ่อน ๆ ก็หายไปจนหมดพอ ๆ กับคนที่ไปกาญจนบุรีกับฉันนั่นแหละ
ฉันก็ไม่ได้เจอพี่เกียร์เลย คงเป็นเพราะเรียนเสร็จก็กลับบ้านไม่ได้เจอใครทั้งสิ้น
“เซียร์จะสอบไฟนอลละนะ เฮียจะไม่ให้ไปติวจริง ๆ เหรอคะเจ้”
ตอนนี้ฉันกำลังเดินไปกับเจ้ใบไม้แฟนเฮียโจ้ และที่ฉันงอแงถามซ้ำ ๆ แบบนี้เพราะเจ้เล่าว่าเฮียไม่อยากให้ไปติวหนังสือจนดึกดื่น แต่ฉันจะต้องสอบอีก 2 อาทิตย์หน้าแล้วนะ !
ฉันจึงทำหน้าเซ็งขณะเดินกันไปศูนย์กีฬามหาวิทยาลัย
“โจ้บอกว่าเวลาที่เราขอมันดึกดื่นเกินไปแถมผู้ชายเยอะแยะ นางบอกไม่ไว้ใจ” ฉันแอบหันไปเบ้หน้าเซ็งสุดขีด
มันเป็นธรรมดาเปล่าไม่ใช่เหรอ ติวหนังสือช่วงสอบกับอีแค่กลับตีสอง ทำไมเฮียจะต้องห้ามด้วย
“เจ้ก็เห็นด้วยนะ เพราะอยู่กันดึกขนาดนั้นแล้วต้องกลับบ้านอีกมันก็อันตรายนะเซียร์”
“โธ่”
“อีกอย่างเฮียเราเขาก็ไม่อยู่ไปดูงานกับม๊าบ่อย ๆ เขาไม่ได้ห่วงเราแค่คนเดียวกลัวว่าเพื่อนที่มาส่งเราจะเหนื่อยไปด้วยน่ะ บ้านก็อยู่ไกลว่าคนอื่น”
เจ้ใบไม้ยังคงบรรยายโวหารให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยของผู้เป็นเฮีย
“ถ้านอนห้องต้นหญ้า ก็ไม่มีปัญหาใช่มั้ยคะ”
“ก็ลองถามดูสิ แต่ว่าคอนโดเซียร์จะเสร็จหรือยังนะ”
“ม๊าบอกเสร็จอาทิตย์หน้าพร้อมเข้าอยู่ค่ะ ตอนนี้ยังเอาเฟอร์นิเจอร์เข้าไปไม่ครบ แต่จริง ๆ เซียร์ก็นอนได้แล้วนะ แต่ไม่มีใครยอมให้เซียร์นอนเลย” ฉันฟ้อง
ตัวต้นเหตุน่าจะเป็นเฮีย ให้เหตุผลว่าช่วงนี้ยุ่งๆ ไปอยู่กับป๊าม๊าแทนที ส่วนตัวเองฉันก็เห็นเทียวรับเทียวส่งแฟนได้อยู่เลย
ดูวันนี้ยังออกมาเล่นบาสชิว ๆ ได้ แล้วบอกไม่มีเวลาย้อนแย้งมาก
‘เฮ้ !!!’
ฉันกับเจ้ใบไม้สะดุ้งโหยงเมื่อกำลังเดินขึ้นบันไดไปทางชั้นสองของศูนย์กีฬา ซึ่งเป็นสนามบาสและสนามวอลเลย์บอล แต่เสียงเฮกึกก้องนี่มันคืออะไร
“ไหนเจ้บอกว่าเฮียแค่มาออกกำลังกายขำ ๆ กับเพื่อนไงคะ ทำไมคนเยอะงี้อะ” ฉันพูดไม่ออกแต่เจ้ก็ยังจูงมือฉันแทรกผู้คนต่อไป
จากตอนแรกคิดว่าเราจะขึ้นไปอัฒจันทร์ด้านบน แต่เปล่าจ้า เจ้กำลังดึงฉันไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวข้างสนาม เรียกได้ว่าชิดติดขอบสนามสุด ๆ ไปเลย
“อ้าว มาแล้วเหรอไม้” เฮียยิ้มหวานหยดให้คนข้างกายฉัน แล้วยังหันมาเผื่อแผ่รอยยิ้มให้ฉันอีกด้วย “ว่าไงตัวเล็กไม่เจอกันเป็นอาทิตย์แล้ว คิดถึงเฮียมั้ย” เฮียยิ้มตาหยี แต่ฉันก็เบือนหน้าหนีเหม็นเบื่อ
ขนลุกไม่ไหว...คงมีแต่เจ้เท่านั้นแหละที่ตกหลุมพราง
“อ้าวไอ้นี่ เมินเฮีย...” เฮียทำท่าจะแจกมะเหงกให้ฉัน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อ...
แหวกกก!!! กรี้ดดดด วี้ดดด
ด้วยความสงสัยพวกเราจึงหันไปหาต้นเหตุของเสียงกรีดร้องโหยหวนทั่วสนาม พบกลุ่มคนที่เดินมายังกะบอยแบนด์ และฉันรู้จักผ่าน ๆ เพียงคนเดียว นั่นคือ ‘พี่ตี๋’ พี่ชายของซัน
และอีกคนที่จะบอกว่ารู้จักดีเลยก็รู้สึกไม่ใช่ ไม่รู้จักเลยก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าเป็นคนที่ฉันอยากรู้จักซึ่งก็คือพี่เกียร์ พวกเขามากับอีกสองคนที่ฉันไม่รู้จัก
อยากกรี๊ดมั้งได้มั้ยอ่า นี่เขาใส่เสื้อกีฬากับกางเกงขาสั้นแต่ทำไมดูเหมือนจะไปถ่ายแบบได้ขนาดนี้นะ
ฉันแอบเคืองเจ้ใบไม้อยู่นะที่ไม่บอก นึกว่ามาดูเฮียกระโดดโหยงเหยงคนเดียว ถ้าบอกว่าจะมีหนุ่ม ๆ มาเยอะขนาดนี้คนโสดป้ายแดงแบบฉันจะได้เติมหน้าเติมตาไม่ใช่มาหน้าโล้นขนาดนี้
หมดกันแผนจะหาผู้ใหม่ เฮ้อ !
“มาแล้วเหรอ เออมากันเยอะ ๆ สนุกดี” เฮียกล่าวทักทายกลุ่มพี่เกียร์ที่เดินเรียงรายกันมา
“หวัดดี วันนี้ขอเล่นด้วยนะ กูชื่อนนท์ นี่ไอ้เต้” ผู้ชายที่ท่าทางเป็นมิตร แต่สายตาดูขี้เล่นที่ยืนข้างพี่เกียร์เอ่ยทักทายเฮีย
“เออ กูโจ้” เฮียแนะนำตัวสั้นๆ แล้วหันไปหาอีกคนที่ยืนข้างๆ พี่เกียร์อีกฝั่ง ตอนนี้หน้าตาเบื่อหน่ายเหมือนโดนลากมา “สำหรับมึงกูคงไม่ต้องแนะนำเนอะตี๋ เรารู้จักกันดีจะตาย”
เฮียกระตุกยิ้มเยาะ พี่ตี๋มองหน้าเฮียนิดหน่อยก่อนพยักหน้าส่ง ๆ แล้วเลื่อนมามองฉันที่มองอยู่ก่อนแล้วหลบตาไป ทำท่าทีวางกระเป๋าสะพายบนเก้าอี้ตัวยาวต่อจากพี่นนท์ และพี่เต้
ฉันรับรู้ได้ถึงสัญญาณแปลก ๆ ออกมาจากพวกเขา คำถามเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด
เฮียไปรู้จักพี่ตี๋ได้ไง ไม่เห็นรู้เลย คงไม่ใช่ว่าคุยกันเรื่องซันนอกรอบหรอกนะ
ขณะกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พี่เกียร์ก็เดินถือกระเป๋าเป้เข้ามาเอื่อย ๆ พร้อมกับเล่นโทรศัพท์ไปด้วย ก่อนที่ฉันจะตาโตเป็นไข่ห่าน
นะ...นั่นมันกระเป๋า Keepall สีดำใบเก๋ ของแบนด์ Louis Vuitton ของแท้ราคาแสนห้าเลยนะนั่น แต่ดูจากหน้าคนถือแล้วกระเป๋าดูถูกไปเลยเพราะหน้าแพงเกิน
โอ๊ยย!
ปกติฉันไม่ใช่คอกระเป๋าอะไรแบบนั้น แต่เพราะเป็นแบนด์ที่เลื่องลือเรื่องกระเป๋าหนังที่จัดมาให้วัยรุ่นกระเป๋าหนัก แถมไอ้ฟรังก็บ่นว่าอยากได้ทุกวัน ๆ ฉันถึงรู้
พออยู่บนตัวพี่เกียร์แล้วมันเหลือเกินว่ะ...
พี่เกียร์มาถึงจุดที่เพื่อน ๆ เล่นบาสวันนี้รวมตัวกัน และมีฉันกับเจ้ใบไม้นั่งเอ๋อ ๆ กันอยู่สองคน ไม่ได้เป็นที่สังเกตอะไร
ก่อนที่ร่างสูงจะหันซ้ายหันขวาท่าทีงง ๆ แล้ว...!!!
“เฮ้ย! ทำอะไร” ฉันก็ตะโกนแสกหน้าพี่เกียร์ที่กำลังหย่อนกระเป๋าลงพื้น และเขาชะงักเพราะเสียงแปดหลอดของฉัน
“ฮะ ? อ้าวใบไม้ อ้าว...” พี่เกียร์ขมวดคิ้วงุนงง เจ้ใบไม้ยิ้มทักทาย ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้ว่าเจ้รู้จักกับพี่เกียร์ เพราะเรียนหมอปีเดียวกัน “เรามาอยู่ตรงนี้ได้ไงเนี่ย...เดี๋ยวนะเมื่อกี้พูดกับพี่เหรอ”
“ขอโทษค่ะ” ฉันขอโทษที่พูดห้วนใส่เขาเมื่อกี้ “แล้วพี่เกียร์จะวางกระเป๋าลงพื้นจริงๆ เหรอคะ” ฉันทำหน้าแหย
พื้นสกปรกมากไม่เหมาะกับวางกระเป๋าแพงเลยสักนิด
“ครับ ทำไมล่ะ” ร่างสูงพยักหน้า “กระเป๋าซื้อมาใช้ครับ”
“หือ ? กระเป๋าแพงขนาดนี้ไม่กลัวมันเปื้อนหรือไงคะ” พี่เกียร์หัวเราะเมื่อฉันพูดจบ
“แล้วให้ทำยังไง จะถือให้พี่เหรอ” พี่เกียร์เลิกคิ้วแล้วถามซึ่งฉันก็พยักหน้า อย่าว่าแค่กระเป๋าเลยเขาให้ถืออะไรฉันก็ถือให้หมดแหละ
“เฮ้ย! น้อยๆ หน่อยไอ้สองคนนั่นน่ะ มาถึงก็ให้น้องกูถือของให้เลยนะ มารยาททราม” เฮียเบ้ปากทำเสียงรำคาญ
“เซียร์อาสาถือเอง พี่เกียร์ไม่ได้ขอให้ถือสักหน่อย” ฉันแย้งเพราะเดี๋ยวพี่เกียร์จะดูเป็นผู้ชายไม่ดี
“อ๋อ มีน้ำใจจริง ๆ เล้ย”
เฮียพูดประชดใส่ฉันจนเพื่อน ๆ เขาที่อยู่ตรงนี้พากันหัวเราะ ยกเว้นพี่ตี๋ที่มองฉันกับพี่เกียร์ด้วยสายตาแปลก ๆ ดูจะงงไม่น้อย
“โดนแซวเลย...เขินมั้ยเนี่ย” พี่เกียร์พูดพลางหัวเราะเสียงเบา ๆ
เพียงแค่นั้นก็เหมือนเทน้ำมันลงบนกองเพลิงให้โดนล้อหนักกว่าเก่าอีก
“เดี๋ยว ๆ เกินไปว่ะไอ้เกียร์ แต่หน้าน้องนี่โคตรคุ้นเลย เหมือนเคยเจอที่ไหนหวา...” พี่นนท์ทำท่านึก ๆ ก่อนจะดีดนิ้ว ป๊อก ! “ถึงจะแต่งหน้าจัดกว่าวันนี้แต่ใช่แน่ น้องขี้เมาที่ผะ...”
ตุ๊บ !
กระเป๋ายี่ห้อแบนด์ดังบนเก้าอี้ติดกับตัวฉัน ถูกโยนไปบนพื้นอย่างไม่เบามือจนฉันสะดุ้งพอ ๆ กับคนที่พูดอยู่ร้องเสียงหลง
“เหี้ย ! กระเป๋ากู๊!!! มึงโยนลูกกูทำไม” พี่นนท์รีบวิ่งมาดูกระเป๋าตัวเอง และปัดอย่างเบามือพร้อมกอดอย่างหวงแหน
“เงียบปาก” พี่เกียร์นั่งลงแทนที่กระเป๋าพี่นนท์ซึ่งเมื่อครู่ถูกทิ้งอย่างไม่ไยดี แล้วทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว
พี่นนท์ทำท่าเอาเรื่องแต่ก็ทำอะไรคนหน้ามึนไม่ได้จึงไปหยิบกระเป๋าตัวเองมากอดแล้วเดินกลับไปนั่งที่เก่า
“พี่เกียร์ไปโยนกระเป๋าพี่เขาทำไม ถ้าอยากนั่งเดี๋ยวหนูลุกให้ก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไร...ของไอ้นนท์เกะกะน่ะ อ้อ พี่ฝากโทรศัพท์หน่อยได้ไหมเดี๋ยวต้องลงสนาม”
“ได้ค่ะ” ฉันหยิบโทรศัพท์ที่พี่เกียร์ยื่นให้มาไว้กับตัวเอง ก่อนที่พี่เกียร์จะพูดสมทบ
“ถ้าแชทเด้งหรือว่ารำคาญก็ปิดเครื่องได้เลยนะ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก” พูดจบก็เดินตามพวกเฮียโจ้เข้าสู่สนาม
“ไรวะแม่ง แปลกสัสฝากโทรศัพท์กันด้วย ทีกูขอโทรศัพท์เล่นหน่อยนี่ลีลา”
พี่เต้บ่นเสียงเบา แต่ฉันเสือกหูดีไปได้ยิน