นั่งทานข้าวอยู่ในครัวไทยที่แยกออกมาจากบ้านหลัก และเป็นที่สุมหัวพักผ่อนของเหล่าแม่บ้าน เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์แถมติดกับวันหยุดเทศกาล ในบ้านจึงไม่มีใครอยู่เลยนอกจากแม่บ้าน ฉันจึงย้ายตัวเองมาคลุกกับพวกเขาเพราะเหงา
เพื่อน ๆ ก็ไปเที่ยวกับครอบครัวกันหมด เหลือแต่ฉันที่ยังป่วยไม่ยอมหายเลยไม่อยากไปไหน
“หนูเซียร์ไม่ออกไปเที่ยวที่ไหนบ้างเหรอ เหงาแย่เลยนะ” ป้าแจ่มพูดขึ้นขณะที่กำลังปอกผลไม้ให้ทาน
“วันนี้เซียร์มีนัดติวหนังสือให้น้องรหัสที่ห้างตอนบ่ายค่ะ” ฉันตอบพลางหาวหวอด ๆ ไปด้วย ตอนนี้ไม่ได้เช้ามากแล้ว เกือบ11โมงแล้วด้วย แต่เมื่อคืนอ่านนิยายจนดึกดื่นแถมไม่มีเรียนก็เลยตื่นสาย
“เดี๋ยวป้าเตรียมร่มไว้ให้ดีกว่า เมื่อวานกรมอุตุฯ บอกว่าวันนี้พายุจะเข้า นี่ก็ครึ้ม ๆ มาตั้งแต่เช้าแล้ว” ป้าพูดทำให้ฉันเงยหน้ามองฟ้า พบว่าจริงอย่างที่เธอพูด “แล้วหนูไปยังไง มานะไม่อยู่เสียด้วยไปกับคุณท่าน”
เพราะบ้านเรามีคนขับรถอยู่แค่คนเดียวซึ่งขับรถให้ป๊า ส่วนม๊าจะไปกับเลขาเสียส่วนใหญ่ แล้วเฮียก็ชอบขับรถเอง แม้ฉันที่มีใบขับขี่จะเอารถที่บ้านไปก็ได้ แต่ฉันยังขับรถไม่ค่อยแข็ง แถมรถในกรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกับมือใหม่หัดขับ
“แท็กซี่สิคะป้า ป้าจะเอาอะไรมั้ยคะ เดี๋ยวขากลับจะได้ซื้อมาฝากเลย”
“ไม่เป็นไรจ้า เมื่อเช้าป้าเพิ่งจะไปจ่ายตลาดมา” ฉันพยักหน้าและหันไปกินข้าวตรงหน้าให้เรียบร้อย ว่าจะเอาจานไปล้างแต่ก็โดนแย่งไปล้างก่อนอยู่ดี “ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวเซียร์ขอไปเตรียมของออกไปข้างนอกก่อน”
ฉันขึ้นมาบนห้องเตรียมของสักพัก พอเห็นว่ายังมีเวลาอีกมากก็นอนกลิ้งไปมาบนที่นอน
หลายวันที่ผ่านมาฉันก็ไม่ได้เจอซันอีก เขาทำตามสัญญาที่ว่าจะไม่ตาม มันก็เป็นอย่างนั้น แต่ฉันก็ไม่ได้เจอพี่เกียร์เช่นกัน
ฉันไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกภัทรฟัง และบอกเพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์ไว้ว่าไม่ต้องเอาไปพูดที่ไหน ซึ่งพวกนั้นก็ทำตามที่พูดอย่างดีเพราะไม่มีใครมาถามเรื่องที่เกิดขึ้นอีก
นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็เห็นนาฬิกาบนหัวเตียงบ่งบอกว่าใกล้ถึงเวลาต้องออก จึงพิมพ์บอกกระถินแล้วเรียกแท็กซี่เจ้าประจำ
ฉันเลือกร้านคาเฟ่ในห้างร้านประจำที่ชอบมานั่งใช้บริการอ่านหนังสือบ่อย ๆ วันนี้ฉันมาถึงก่อนน้องจึงมีเวลานั่งอ่านแชตที่เพื่อนแต่ละคนส่งรูปเข้ามาอวดในกลุ่มหวังว่าฉันจะอิจฉาตาร้อน ซึ่งก็บอกได้เลยว่าสำเร็จ !
ไม่นานน้องรหัสก็วิ่งมาเข้ามาพร้อมกับเพื่อนอีกคนที่สนใจจะมาติวกับฉัน ฉันรับติวหนังสือมาตั้งแต่ช่วงมัธยมฯ แล้ว ตอนแรกก็ติวให้แค่เพื่อนก่อนพอนาน ๆ เข้าเพื่อนก็เริ่มเกรงใจบอกให้ฉันคิดค่าสอน ฉันก็ไม่รู้จะคิดยังไงจึงคิดราคากันเองเอาแค่พอมีค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น พอเข้ามหาลัยก็เพิ่งจะรับสอนให้น้องรหัสกับเพื่อนน้องนี่แหละ
“อีกสองอาทิตย์สอบแล้ว งานเยอะมากเลยค่ะ” กระถินที่เริ่มทำโจทย์บ่นกระปอดกระแปดตามเคย
“จริง อยากได้สมองซักเสี้ยวของพี่เซียร์จัง จะได้ไม่ต้องอ่านหนังสือเยอะ ๆ” น้องว่าก่อนจะมองฉันด้วยความอิจฉาเล็ก ๆ “สนใจแบ่งขายมาให้หนูสักนิดมั้ยคะ”
“ก็แบ่งให้อยู่นี่ไงคะ” ฉันหัวเราะ ส่วนพวกน้องยู่ปากทำหน้าตาน่าสงสาร
จริงอยู่ที่ฉันเรียนเก่ง แต่มันก็ไม่ใช่พรสวรรค์ เพราะมีความคิดในวัยเด็กเพียงแค่ถ้าเรียนเก่งจะสามารถแบ่งเบาภาระพ่อแม่ไปได้เยอะ จึงตั้งใจเรียน รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้มีเงินส่งเสียเรียนพิเศษเยอะ ๆ เหมือนคนอื่นก็เลยขยันมากขึ้น ส่งผลให้ได้ทุนมาเรียนมัธยมปลายในกรุงเทพชื่อดังแบบฟรี ๆ พ่อแม่ที่เห็นว่ามันเป็นโอกาสและคิดว่าโรงเรียนดี ๆ ค่าเทอมสูงแบบนี้เขาเองคงไม่มีศักยภาพจะส่งไหวจึงอนุญาตตามความประสงค์ของฉัน
เด็กต่างจังหวัดที่ไม่มีญาติในกรุงเทพฯ ต้องมาอยู่คนเดียวทำอะไรเองทุกอย่างเป็นเรื่องลำบากมากในช่วงแรก แต่เพราะฉันเป็นเด็กทุนจึงจำเป็นต้องทำกิจกรรมวิชาการแลกกับค่าเทอมเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน และรุ่นพี่ม.6 ปีสุดท้ายที่ดูแลเด็กทุนก็คือ เฮียโจ้
ฉันมีเพื่อนอยู่บ้างแต่ไม่ค่อยสนิทสนม เนื่องจากพอเรียนเสร็จก็ต้องเข้าห้องกิจกรรม ไม่ได้มีเวลาออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนจึงสนิทกับเฮียแทน นานเข้าเริ่มรู้สึกว่าเงินไม่พอใช้ และไม่อยากขอเงินจากที่บ้านเพิ่มจึงเริ่มปรึกษาเฮีย เขาเลยชวนไปช่วยงานม๊าที่ขณะนั้นเพิ่งเปิดร้านทำขนมแรก ๆ มีพนักงานประจำเพียงคนเดียว และ ‘เจ้ใบไม้’ อีกคนที่มาช่วยหลังเลิกเรียน
และใช่ เจ้ใบไม้ คือแฟนของเฮียและปัจจุบันทั้งคู่ก็ยังคบกันอยู่
ปัญหาภายในร้านเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ยังไม่เข้าที่เข้าทางเนื่องด้วยเป็นร้านใหม่ เราก็อยู่ช่วยกันแก้ทีละปัญหา อยู่ด้วยกันจนสนิทสนม และทั้งคู่ก็เอ็นดูฉันเนื่องจากเป็นคนเด็กสุดในร้าน
กว่าจะเก่งฉันผ่านอะไรมาเยอะไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรอกนะ ฉันน่ะสู้ชีวิตจะตาย!
“ว่าแต่พี่เซียร์ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเหรอคะ วันหยุดยาวทั้งที” กระถินดูดโกโก้เย็น และกำลังพักสายตา หันมาถามฉันตาแป๋ว
“ไม่ได้ไปค่ะ พี่พึ่งหายไข้ เลยไม่ค่อยอยากไปเที่ยวไหน” เพราะเรานั่งติดหน้าต่างบานกระจกเห็นพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า แถมเมฆยังตั้งเคล้าทำท่าจะตกอีก วันนี้แท็กซี่ที่เรียกมาเร็วกว่าที่คาดจึงร้อนรนลืมเอาร่มที่ป้าแจ่มเตรียมไว้ให้ “มารถอะไรกันคะ”
“วันนี้มาแท็กซี่ค่ะ” น้องอีกคนหันมาบอก
“งั้นวันนี้พอแค่นี้ดีกว่า ฝนเหมือนจะตกอีกแล้วเดี๋ยวจะกลับลำบาก” น้อง ๆ พยักหน้าแล้วเริ่มเก็บหนังสือ “เดี๋ยวพวกขนมกับน้ำพี่จ่ายให้เองนะ”
เพราะนอกจากจะเป็นติวเตอร์ที่รับเงินจากน้องแล้วฉันก็ยังเป็นพี่รหัสด้วย ไม่ลืมที่จะเทคแคร์น้องในสายแน่นอน ซึ่งอย่าถามนะว่าต้นสายทำอะไรอยู่ เฮียน่ะตั้งแต่ต้องทำงานก็ไม่ได้มาดูแลน้อง ๆ ในสายเลย มีแต่ฝากเงินมาให้ฉันเลี้ยงน้อง ส่วนพี่ปี3 ก็ซิ่วไปแล้ว
น่าเหนื่อยใจจริง ๆ
“ขอบคุณค่าา งั้นพวกหนูกลับก่อนน้า” เมื่อสะพายกระเป๋าเตรียมกลับเรียบร้อยน้อง ๆ ก็โบกมือลา
ฉันหันมาจัดการพวกขนมนมเนยที่ยังทานไม่หมดเพราะเสียดาย ก็ได้ยินเสียงสั่นจากมือถือของตัวเองบนโต๊ะ
ครืดดด ครืดดดด
-แม่-
ชื่อที่ปรากฏบนจอทำให้ฉันย่นคิ้วแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติเราจะคุยกันช่วงก่อนนอนเสียส่วนใหญ่ จึงวางทุกอย่างแล้วกดรับสาย
“ว่าไงจ๊ะแม่” ฉันกรอกเสียงใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แต่ก็หุบยิ้มทันทีเมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นแม่กำลังสั่นยามที่เอ่ยตอบ
[เซียร์ พ่อโดนรถชน] เมื่อได้ยินคำเมื่อครู่คล้ายกับสมองหยุดสั่งการทันที ฉันอึ้งหูยังคงได้ยินเสียงแม่สะอื้นอยู่เป็นพัก ๆ ก่อนจะพูดต่อ [พ่อยังไม่รู้สึกตัว แม่กำลังไปโรง'บาล แบตก็จะหมด]
“แม่ใจเย็น ๆ นะ แม่ไปยังไง”
ฉันบอกแม่ให้ใจเย็นแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ มือไม้เริ่มสั่นเทา ทั้งฉันเป็นพวกชอบคิดไปในแง่ร้ายก่อนทำให้เริ่มทำอะไรไม่ถูก จึงพยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด
[เดี๋ยวขมมารับ มาแล้ว แม่ไปก่อน เดี๋ยวยังไงเดี๋ยวโทรบอกอีกที...]
สายตัดไป ฉันก็ยังนิ่งงันกับสิ่งที่ได้รับรู้เมื่อสักครู่ สมองกำลังประมวลว่าต้องทำอะไร อันไหนก่อนหลัง แต่สิ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้คือไปหาพ่ออย่างเร็วที่สุดเท่านั้น
หยิบเงินสดวางไว้ที่โต๊ะพร้อมเก็บของลวก ๆ เข้ากระเป๋า ขาก็วิ่งออกไปนอกร้าน มือก็ค้นหาเบอร์คนที่จะช่วยฉันได้ในตอนที่สติฉันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
กดโทรหาเฮีย รอสายนานมากสุดท้ายก็ไม่มีใครรับ คาดว่าคงประชุมหรือไม่ก็ทำงานอยู่แน่ พอวิ่งมาหน้าห้างกำลังคิดว่าจะเอายังไงต่อ ฝนก็ตกลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว พอทำอะไรไม่ถูกในหัวก็ตีกันให้วุ่น ก่อนจะกดมือถือมือไม้สั่นว่าพอจะมีใครที่สามารถมาช่วยฉันในเวลานี้ได้อีกบ้าง
ฉันเป็นห่วงพ่อเลยกะจะโทรไปหาแม่เพื่อถามอาการอีกที แต่ปลายสายตัดไปคงจะแบตหมดอย่างที่บอกมาก่อนหน้านี้ มือถือดูหมดประโยชน์อย่างสมบูรณ์เพราะมันไม่สามารถติดต่อใครให้ช่วยได้เลย
ฉันเลื่อน ๆ ดูในรายชื่ออีกครั้งพบเบอร์คนคนหนึ่งที่เพิ่งจะได้มันมาเมื่อไม่กี่วันนี้ ‘พี่เกียร์’
ฉันไม่ลังเลสักนิดที่จะโทรหาเขาในเวลานี้ ใครก็ตามที่สามารถช่วยฉันได้ ได้โปรดรับสายฉันด้วยเถอะ!
ตื้ด ตื้ด ตื้ด~
เสียงระทึกใจจากการรอนานเสียจนฉันเกือบจะถอนถอดใจไป แต่แล้วก่อนสายจะตัดก็ได้ยินเสียงขานรับจากปลายสาย
[ครับ ?]
แบบนี้เองสินะ แบบนี้นี่เองเวลาที่เจอเทวดาลงมาโปรดความรู้สึกมันเป็นแบบนี้นี่เอง...
“พี่เกียร์รับแล้วเหรอ” ฉันถามเหมือนไม่อยากเชื่อว่าเขาจะรับแล้วจริง ๆ “พี่เกียร์ช่วยเซียร์ด้วย ฮึ่ก !”
ฉันขอความช่วยเหลือจากเขา สัมผัสได้ถึงหยดน้ำที่เอ่อล้นจากดวงตา
[อยู่ไหน...มีอะไรครับ] น้ำเสียงเขาตระหนกเล็กน้อยเพราะเสียงของฉัน [ใจเย็นแล้วบอกพี่ก่อนว่าให้พี่ช่วยอะไร แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน]
“อยู่ห้างใกล้มหาลัยค่ะ พี่เกียร์ช่วยหาใครสักคนพาหนูไปหาพ่อหน่อยได้ไหม พ่อหนูโดนรถชน” ฉันรีบพูดจนลิ้นพัน แต่ก็พยายามให้รู้เรื่องที่สุดเท่าที่จะทำได้
[รอพี่ทางออกหนึ่ง เดี๋ยวพี่ไปหาเลยตอนนี้โอเคไหม หยุดร้องก่อนนะ] เสียงกุกกักบ่งบอกว่าเขากำลังมาหาจริง ๆ ทำให้ความอุ่นวาบเกิดขึ้นในใจของฉัน [ถ้าเราไม่โอเค ให้พี่ถือสายรอเป็นเพื่อนไหม]
เขาพูดน้ำเสียงลังเลว่าควรตัดสายดีมั้ย
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เกียร์รีบมานะคะ” ฉันเป็นฝ่ายตัดสายไป แล้วส่งข้อความทิ้งไว้ให้เฮียโจ้ว่าเกิดอะไรขึ้น
การที่ไม่สามารถไปไหนเองได้มันทำให้ฉันหงุดหงิด และเริ่มเข้าใจที่เฮียคะยั้นคะยอให้ฉันฝึกขับรถให้แข็ง คงคิดเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้แน่ ๆ
ฉันหลบฝนอยู่ใกล้ประตูที่หนึ่งของห้างอย่างที่พี่เกียร์บอก เนื่องจากฝนตกทำให้คนบางส่วนเริ่มเข้ามาหลบฝนในห้างกันเยอะขึ้น
รอไม่นานรถยุโรปสีขาวสะอาดตาก็จอดลงหน้าประตู เมื่อฝั่งคนขับลดกระจกลงก็พบว่าเป็นคนที่ฉันกำลังรออยู่ จึงวิ่งขึ้นรถอย่างไว ไม่สนใจว่าฝนฟ้าจะตกจนตัวเองจะต้องเปียก
“พี่เกียร์...” ฉันมองเสี้ยวหน้าเขาที่ขยับรถไปจอดข้างทาง บอกตรง ๆ ว่าซึ้งใจจนน้ำตาไหลอีกรอบ “หนูต้องไปหาพ่อ”
“รู้แล้วครับ แล้วพ่ออยู่ไหนล่ะ” เขาจอดรถแล้วหันมาถามฉันเสียงอ่อน และกำลังมองหน้าแย่ ๆ ของฉัน
“ที่กาญ…” พอพูดออกไปก็สะอึก กาญจนบุรีไม่ได้ใกล้เลย และฉันก็เกรงใจเขาขึ้นมาดื้อ ๆ “พี่ไปส่งหนูที่ท่ารถก็ได้”
“ช่วยปักหมุดโรง’บาลใน GPS ให้หน่อย” เขายัดโทรศัพท์ที่เปิดหน้าแผนที่มาให้ฉัน “หยุดร้องไห้ได้แล้ว”
เขาว่าเสียงอ่อนอีกรอบแล้วช่วยปัดละอองฝนที่เกาะพราวบนผมของฉันออกให้
พอฉันรับโทรศัพท์ของเขามา ตาก็พร่ามัวเพราะน้ำตาไม่ยอมหยุดไหล เขาเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้ แล้วหันไปหยิบกระดาษทิชชูมาวางไว้ตรงหน้า
“นี่ค่ะ” ฉันค้นหาโรงพยาบาลประจำจังหวัดแล้วส่งให้เขา ทำให้เห็นว่าระยะเวลาเดินทางราว ๆ 3 ชั่วโมง เนื่องด้วยรถติดและฝนตก
“รถติดเอาเรื่องเลย ทนนิดนึงนะ” ฉันพยักหน้าเข้าใจ
รถบนท้องถนนขยับได้ทีละเล็กทีละน้อยก็หยุด ดีหน่อยตอนขึ้นทางด่วนและใกล้ถึงนครปฐม ฉันพยายามติดต่อแม่ก็ยังไม่ติด เลยลองโทรไปที่เบอร์พ่อบ้าง ก็ไม่มีคนรับสายอยู่ดี แต่เมื่อสักครู่แม่เอาเบอร์พี่ขม ซึ่งเป็นคนข้างบ้านและเป็นลูกน้องพ่อโทรมาบอกว่าพ่อฟื้นแล้ว แต่จำอะไรช่วงเกิดเหตุไม่ได้ หมอกำลังพาไปเอกซเรย์สมอง และกระดูก แต่แม่บอกว่าคาดว่าขาขวาหัก
พอรู้ว่าไม่ได้เป็นอะไรเลวร้ายแบบที่คิดตอนแรกก็โล่งใจไปได้เปาะนึง แต่คงต้องรอผลจากคุณหมออีกทีถึงจะวางใจได้
“ขอบคุณนะคะพี่เกียร์ หนูไม่อยากรบกวนแต่ไม่มีที่พึ่งแล้ว” ฉันทราบซึ้งใจเมื่อเห็นร่างสูงต้องมาทนรถติด แถมยังต้องมาพาฉันไปต่างจังหวัดกะทันหันแบบนี้ทั้งที่เราพึ่งรู้จักกันไม่นาน
“โทรหาพี่เป็นคนสุดท้ายเหรอ”
“ค่ะ ตอนแรกก็คิดว่าพี่อาจไม่รับ” ฉันพูดตามตรงว่าตอนรอสายเขาเกือบถอดใจไปแล้ว “ก็ครั้งที่แล้วที่เจอกัน หนูทิ้งพี่เกียร์นี่คะ”
“จริงสิ...” เขาพึมพำเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ “ทิ้งจริง ๆ ด้วย”
“พี่โกรธหรือเปล่าคะ” ฉันถามเขา เพราะตั้งแต่วันนั้นไม่ได้เจอกันเลย จนวันที่ต้องมาเจอกันก็ดันเป็นวันร้าย ๆ แบบนี้อีก
“โกรธเรื่องอะไรล่ะ” เขาถามมือยังคงบังคับพวงมาลัย และสายตาไม่ได้ละจากหนทางด้านหน้า เนื่องจากฝนยังคงตกหนักถนนจึงค่อนข้างลื่น
“เรื่องวันนั้นไงคะ” สายตาที่เขามองมาตอนนั้นมันยังติดในใจฉันอยู่เลย เดาไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกอะไร ตอนที่ฉันเลือกปล่อยแขนเขาแล้วเดินไปหาเพื่อนตามที่ซันบอก
“จะไปโกรธทำไมล่ะ เราต้องทำตามแฟนเราอยู่แล้ว” เสียงทุ้มพูดเรียบ ๆ ไม่บ่งบอกอะไรเช่นเคย
“แฟนเก่าค่ะ” ฉันแก้ข่าวด้วยเสียงเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าเขาอยากรู้ไหม แต่ฉันแค่รู้สึกอยากบอก
“ครับ” เขาตอบรับมาแค่นั้น ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำฉันเงียบไปด้วย
“...”
อยากถามเขานะว่าเขามีปัญหาอะไรกับซันมาก่อนหรือเปล่า แต่พอคิดว่ามันคงเป็นเรื่องส่วนตัวก็เลยไม่กล้าถาม เพราะฉันกับซันคงไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก
“นอนไปก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวถึงแล้วพี่ปลุก” ในหน้าจอ GPS พบว่าอีกชั่วโมงครึ่งจะถึงปลายทาง
“…” ฉันเหล่ตามองเขา เหมือนเขาก็รู้ตัวว่าโดนแอบมอง
“มีอะไรครับ” เขาถามเมื่อเห็นฉันยังคงจ้องอยู่ไม่เลิก
“หนูกำลังพยายามเดาว่าพี่เกียร์อยากให้หนูนอนเพราะรำคาญหนูหรือเปล่า ถ้ารำคาญหนูหยุดพูดก็ได้ แต่ไม่นอนได้ไหม หนูอยากอยู่เป็นเพื่อน”
“แล้วแต่เลยครับ พี่แค่เห็นเราร้องไห้หนักมาเลยคิดว่าอาจจะอยากพัก”
ผู้ชายคนนี้นี่มัน...
“พี่เกียร์น่ารักจังเลยค่ะ”
เอี๊ยด!
ตัวฉันกระชากไปด้านหน้าจนหัวทิ่มหัวตำพร้อม ๆ กับเสียงล้อลากไปกับพื้นถนนเนื่องจากเบรกกะทันหัน
“โทษทีพี่ไม่เห็นรถข้างหน้าจอด” เขาว่างั้น แล้วเปลี่ยนมาทำหน้าดุใส่ “แล้วใครสั่งสอนให้พูดแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น”
ฉันแค่ชื่นชมเขาเองนะ ไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย...
“เขินเหรอคะ” ฉันถามงง ๆ “ไม่ได้ฟังมาเยอะจนเบื่อแล้วเหรอ”
“มีใครเขามาพูดใส่ต่อหน้าแบบนี้บ้างล่ะ หรือว่าเราพูดแบบนี้จนชิน” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ ก็ฉันคิดว่าเขาน่ารักจริง ๆ นี่นา
“หนูก็แค่พูดตามที่คิด ไม่ชอบไม่พูดแล้วก็ได้” ฉันหน้าจ๋อย
โดนดุเพราะชมเขานี่นะ บ้าไปแล้ว
เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก ฉันก็ไม่อยากชวนเขาคุยเพื่อให้เขาได้ใช้สมาธิกับถนนได้เต็มที่ พอเงียบปาก ตาก็เริ่มหย่อน แล้วก็...