บทที่9 : เสียงหัวใจ

3837 คำ
“มิเซียร์” แรงสะกิดทำฉันลืมตามาแบบอึน ๆ “ถึงแล้วครับ” อ้อ ! พอเห็นนอกรถแม้ไม่ชัดมากเนื่องจากเม็ดฝนกระจายตัวอย่างหนาแน่นจนเบื่องหน้ามัวไปหมด แต่ก็พอมองออกว่าพี่เกียร์หยุดอยู่ที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลที่พ่อฉันอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นฉันก็โทรไปยังเบอร์พี่ขมทันที [เซียร์ ถึงแล้วเหรอลูก ตอนนี้พยาบาลพาพ่อมาพักที่ห้องพิเศษ อาคารร้อยปี ชั้น 9 ห้อง 912] “โอเคจ้า เดี๋ยวหนูขึ้นไปนะ” ฉันหันไปพยักหน้าให้พี่เกียร์ว่าลงกันเถอะ เขาก็เอี้ยวตัวไปหลังรถแล้วหยิบร่มมาไว้ในมือ “ร่มมีแค่อันเดียว เดี๋ยวพี่ไปรับตรงประตูแล้วค่อยเปิดนะ” พูดจบเขาก็เปิดประตูออกแล้วกางร่ม เพราะฝนตกน้ำจึงกระเซ็นเข้ามาด้านในเล็กน้อย พอเขาวิ่งมาตรงประตูข้างคนขับฉันก็เปิดประตูแล้วลงไปตามที่เขาบอก “นำไปเลย” ร่มที่มีอยู่ขนาดไม่ได้เหมาะเพื่อใช้สำหรับสองคน เราจึงต้องรีบร้อนวิ่งเข้าตึก โชคดีที่เขาเลือกมาจอดใกล้ตึกที่ต้องไปพอดี เราเลยไม่เปียกมาก “…” ไม่สิ...ต้องบอกว่ามีแค่ฉันคนเดียวที่ไม่เปียกมากกว่า พอหันมาดูร่างสูงที่วิ่งมาด้วยกันพบว่าเขาเปียกไปเกือบครึ่งตัว “เดี๋ยวไม่สบายพอดีหรอกค่ะ” จัดการกับร่มครู่หนึ่งเขาก็หันมาหัวเราะแล้วส่ายหัวกับสภาพตัวเอง พอเห็นฉันทำท่าจะบ่นอีก ก็รีบดึงแขนฉันไปรอลิฟต์ “ไปหาพ่อกันเร็ว เดี๋ยวเขารอนาน” ฉันถอนหายใจกับสภาพว่าที่คุณหมอตกน้ำ เหมือนฉันพาเขามาแกล้งยังงั้นแหละ เราเดินไปยังห้องที่พ่อนอนพักอยู่ ตอนแรกพี่เกียร์บอกว่าจะรออยู่ข้างนอก แต่ฉันก็ลากเขาเข้ามาด้วยจนได้ พอเข้ามาก็พบร่างกำยำสูงใหญ่ ผิวสีคล้ำแดดจากการทำงานกลางแจ้งใส่ชุดโรงพยาบาลนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ ปรากฏขามีการเข้าเฝือกทางด้านขวา “สวัสดีครับ” ร่างสูงข้างกายยกมือไหว้ทักทายแม่ฉันด้วยท่าทีสุภาพ แม่ก็รับไหว้แล้วส่งสายตามาถามฉันว่าเขาคือใคร “เพื่อนเฮียโจ้” พอฉันแนะนำจบแม่ก็พยักหน้า ฉันดันพี่เกียร์ให้นั่งลงตรงโซฟา แล้วหยิบผ้าขนหนูที่ทางโรงพยาบาลมีไว้ให้ญาติยื่นไปให้เขาเช็ดตัว แม่ก็เอาน้ำมาให้ปากก็พูดกับฉันไปด้วย “ก่อนจะหลับไปก็บ่นแม่ พอรู้ว่าแม่โทรไปบอกเซียร์” แม่ฟ้องให้ฉันฟังอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “นี่หมอเขาก็ว่าขาทางขวาหัก สแกนสมองแล้วก็ปกติดี แต่ตอนไปเจอเห็นพ่อเบลอ ๆ จำเหตุการณ์ตอนโดนรถชนไม่ได้เลย แม่เลยตกใจ” “น่าจะเป็นเพราะหัวกระแทกช่วงที่รถชนนะครับ เขาเรียก TGA เป็นกลุ่มอาการที่สูญเสียความทรงจำชั่วคราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ส่วนความทรงจำจะกลับมาตอนไหนก็แล้วแต่คนน่ะครับ” เขาพูดขึ้นขณะเช็ดผมไปด้วย แม่ก็หันมามองฉันอีก “เขาเรียนหมออะแม่” แม่นี่ก็นะ สงสัยอะไรก็ไม่ถามเขา หันมาส่งสายตาถามให้ฉันอธิบายอยู่นั่น “แล้วพ่อเขาโดนรถชนได้ไงอะแม่” “ก็พ่อแกสิ ช่วงนี้ฝนมันตกก็เลยไปทำงานไม่ได้ เพราะโครงบ้านที่ไปทำยังไม่ทันได้มุงหลังคา พ่อเขาเห็นว่าช่วงนี้ฝนตกลมแรง กลัวลูกน้องจะคลุมเหล็กไว้ไม่ดีแล้วมันจะเป็นสนิมเลยขับมอไซต์ไปดู ขับอีท่าไหนไม่รู้ชนกันกลิ้งตกถนนไปเลย ดีนะทางนู้นไม่เป็นอะไรมากเขาเลยช่วยเรียกรถพยาบาลให้” “ใครเขามาปลูกบ้านช่วงหน้าฝนกันนะ” ฉันพึมพำปกติไม่มีใครเขาปลูกบ้านช่วงนี้กันไม่ใช่เหรอ “ไม่ใช่ปลูกบ้าน บ้านฝรั่งซื้อทิ้งไว้แล้วเขาให้เติมโรงจอดรถ” แม่ว่างั้น ฉันก็พยักหน้าเออออ อ้อ! ลืมบอก พ่อฉันเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างน่ะ “ว่าแต่มันมืดค่ำแล้ว จะกลับกันยังไงล่ะเนี่ย” แม่หันมาถามเราสองคน ซึ่งเราก็มองหน้ากันทันที สายตาที่ว่างเปล่าบ่งบอกได้ว่ายังไม่มีใครได้คิดเรื่องนี้กันสักคน “พรุ่งนี้พี่เกียร์ มีเรียนมั้ยคะ” ฉันถามอย่างไม่แน่ใจ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นวันอาทิตย์แต่ก็ไม่รู้ว่าคณะเขาเรียนกันยังไง “เสาร์อาทิตย์พี่มีเรียนครึ่งวันครับ เข้า 6 โมงเช้า” “หา! 6โมงเช้า จะทำยังไงล่ะคะทีนี้ เรากลับกันเลยดีไหม” ฉันช็อก นี่ทุกวันเขาไปเรียนเช้าขนาดนั้นได้ด้วยเหรอ “ใจเย็น เราพึ่งมาเอง มาเยี่ยมพ่อไม่ใช่เหรอ นี่ยังไม่ทันได้คุยกับพ่อเลยนะ” ทำไมเขาทำท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลยล่ะ ในขณะที่ฉันกำลังจะถามว่าจะเอายังไงแน่ ก็ได้ยินเสียงคนเจ็บที่นอนอยู่เมื่อครู่ตื่นขึ้นมาพอดี “ไอ้เซียร์เหรอ” เสียงแหบพร่าเรียกขาน ฉันก็รีบเดินไปหาทันที ดวงตาเรียวรีที่เหมือนกับของฉัน หันไปยังร่างคนที่ไม่คุ้นเคยแล้วถาม “นั่นใครล่ะ แฟนเอ็งเรอะ” พี่เกียร์ชะงักมือที่กำลังยกมือไหว้พอดี เพราะอึ้งกับคำพูดพ่อฉัน “พ่อ!!” พ่อหันมาขมวดคิ้วใส่ แล้วทำท่างงว่าฉันตะโกนทำไม เขาสงสัยจริงๆ อย่างที่ถามไป เพราะรู้ว่าพ่อเป็นคนตรงๆ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น “ผมชื่อเกียร์ครับ เป็นเอ่อ...” เสียงทุ้มสะดุดไปเล็กน้อยก่อนนะทำท่านึก แล้วเหลือบมองฉันเพียงเสียววิก็พูดต่อ “รุ่นพี่ที่มหาลัยครับ” เขาคงนึกว่าจะอธิบายจุดเชื่อมโยงระหว่างเรายังไงดีอยู่สินะ ก็เราเจอกันไม่กี่ครั้งเองนี่นา ไม่ใช่เพื่อน ห่างไกลจากคำว่าสนิท รุ่นพี่ในคณะก็ไม่ใช่ แต่แปลกที่ฉันรู้สึกสะดวกใจกับเขามาก “เพื่อนของเฮียโจ้อะพ่อ” ฉันรีบพูดเสริมเพราะดูเหมือนพ่อจะยังไม่หายสงสัยทำท่าจะถามต่ออีกด้วย ขืนปล่อยให้ถามอะไรแปลกๆ ฉันกลัวพี่เกียร์จะอึดอัดน่ะสิ “อ้อ ความจริงเอ็งไม่น่าบ้าจี้มาตามแม่เอ็งเล้ย ดูสิไปรบกวนคนอื่นเขาอีก” พ่อบ่นฉันก่อนจะหันไปค้อมหัวลงเล็กๆ ให้พี่เกียร์ “โทษทีนะพ่อหนุ่ม คงโดนเจ้านี่มันบังคับให้พามาล่ะสิ” “ไม่เป็นไรเลยครับ น้องเป็นห่วงคุณพ่อมาก แล้วผมก็ไม่ได้ลำบากอะไร แต่มันฉุกละหุกไปหน่อยเลยไม่ได้มีอะไรติดมือมาเยี่ยมเลย ต้องขอโทษด้วยนะครับ” “โอยย เรื่องเล็กๆ ไม่ต้องไปพิธีรีตองอะไรหรอก พ่อไม่ถืออะไรพวกนั้นหรอก” พ่อพูดปัดโดยไม่ใส่ใจ “ว่าแต่มากันแบบนี้จะไปนอนไหนกันล่ะ” “พี่เขาเรียนหมอพรุ่งนี้ต้องไปเรียน 6 โมงเช้า น่าจะกลับเลย” ร่างสูงไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะขอตัวไปคุยโทรศัพท์ด้านนอก พอได้ทีพ่อก็ซักฉันใหญ่ “แฟนเอ็งล่ะสิ” แขนที่ยังมีสายน้ำเกลือสะกิดฉัน แถมด้วยสายตาล้อเลียน “แฟนเฟินอะไรพ่อ พึ่งเคยเจอกัน 3 ครั้งเอง” ฉันส่ายหน้าเพราะไม่เคยพาใครที่เป็นผู้ชายนอกจากเฮียมาเจอเขาคงจะตื่นเต้น เฮียเองก็ไม่ได้มาในฐานะผู้ชายของฉันแต่มาในฐานะพี่ชาย ถ้าวันนี้พวกไอ้ภัทรอยู่ฉันคงใช้ให้พวกมันพามา ไม่วายโดนพ่อคิดว่าเป็นแฟนฉันอยู่ดี กลัวฉันจะขายไม่ออกมั้ง ฉันมีแฟนแล้วจนเลิกไปแล้ว เพียงแค่พ่อไม่รู้เท่านั้นเอง ยังกลัวฉันขายไม่ออกอีก “ขึ้นคานแน่ๆ ลูกแม่น่ะ” พ่อหันไปนินทาฉันกับแม่ที่นั่งปอกผลไม้อยู่ “สภาพเหมือนลูกลิงแบบนี้ ใครจะเอา” “พ่อ!” ฉันตะโกนใส่หน้าคนเจ็บซึ่งนอนหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งฉัน แต่ประตูก็เปิดพรวดโดยมีพี่เกียร์สีหน้าตื่น “พ่อเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาเข้ามาดูหน้าตาเป็นกังวล “เปล่าค่ะ พ่อเขาแค่ชอบแกล้งเซียร์” ฉันหันไปค้อนพ่อที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พ่อนะพ่อ “อยู่โรงพยาบาลไม่ควรเสียงดังแบบนั้นนะครับ เดี๋ยวทั้งหมอทั้งพยาบาลก็แห่กันมาเพราะคิดว่ามีอะไรฉุกเฉินหรอก” เขาว่าเสียงดุ ก็ได้ยินเสียงพ่อกลั้นขำจากทางด้านหลัง “จ๋อยเลยเอ็ง” พ่อยังแกล้งไม่เลิกฉันเลยทำหน้ามุ่ยแล้วเดินออกมานั่งโซฟาข้างๆ แม่ “สรุปยังไงกันล่ะ มีที่หลับที่นอนกันรึยัง บอกตามตรงพ่อไม่อยากให้กลับคืนนี้หรอกนะ พ่อเป็นห่วง” “เดี๋ยวผมไปส่งน้องที่บ้านแล้วเปิดที่พักแถวนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวสักตี 4 ค่อยออก” “ถ้าไม่รังเกียจก็นอนบ้านพ่อเถอะ อย่าไปเสียตังเลยเงินทองสมัยนี้ยิ่งหายาก ๆ อยู่ เดี๋ยวแม่เขาก็กลับไปนอนบ้าน พ่อให้ไอ้ขมไปเก็บเสื้อผ้ามาอยู่เฝ้าแล้ว อีกเดี๋ยวคงมา” พ่อว่างั้นแม่ก็พยักหน้า พี่เกียร์เลยหันมาเลิกคิ้วถามความเห็นฉัน “พี่เกียร์จะขับรถไหวมั้ยล่ะคะ ขับเช้าแล้วไปเรียนต่อไหวแน่เหรอ” คือตัวฉันมันไม่มีอะไรอยู่แล้ว ไม่มีเรียนด้วย เป็นห่วงแต่เขานั่นแหละเป็นทั้งคนขับแล้วยังมีเรียนต่ออีก “วันหยุดพี่เข้าไปราวน์แค่สามชั่วโมงก็กลับแล้วครับ ค่อยพักก็ได้” ฉันได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า “งั้นก็รีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว ต้องตื่นเช้ากันอีก” พ่อเริ่มเอ่ยปากไล่ “กลับกันก่อนเลยเดี๋ยวไอ้ขมก็มาแล้ว” เราสามคนลาพ่อกลับ ส่วนฉันก็เข้าไปกอดให้หายคิดถึงอีกที ก่อนไปเดินไปที่รถพี่เกียร์ขอเข้าไปร้านสะดวกซื้อใต้ตึก แล้วเดินออกมาในมือถือร่มมาเพิ่มสองคัน ก่อนจะยื่นให้ทั้งแม่และฉัน “ขอบคุณมากจ้า แม่ก็รีบจนลืมเอามาจากบ้านเลย” ฉันรับร่มอีกคันมาไว้ในมือแล้วลอบมองเขาบ่อยๆ โอ๊ย คันปากจังเลยเว๊ย! “มองอะไรครับ” เขากระซิบกับฉันเมื่อเห็นว่าแม่เดินตามอยู่ไม่ใกล้มากทางด้านหลังจึงพูดให้พอได้ยินแค่สองคน “เดี๋ยวพูดไปก็มาว่ากันอีก ไม่พูดหรอก” แต่มันคันปากชะมัด! “พูดมาเลย ใครจะไปว่าอะไรล่ะ” เขาเอียงคอสงสัยไม่เข้าใจว่าเขาจะว่าฉันทำไม “พี่เกียร์...น่ารักที่สุดในโลกเลยนะคะ” เนี่ย! พอพูดให้ฟังก็มาทำหน้าดุใส่กัน วันหลังไม่ต้องขอให้พูดแล้วนะ ฮึ่ย... “บ้านหลังในสุดเลยค่ะ พี่เกียร์” ฉันที่นั่งข้างคนขับชี้ไปยังบ้านหลังสีฟ้าด้านในสุดของซอยในบ้านจัดสรรขนาดกลางที่พี่เกียร์เลี้ยวเข้ามา “เดี๋ยวรอแป็บนะลูก แม่เอากุญแจไปเปิดประตูรั้วให้ก่อนนะ” ฉันรีบลงไปถือร่มกางให้ท่าน สักพักก็เปิดให้รถพี่เกียร์เข้ามาจอดข้างบ้าน บ้านฉันไม่ได้ใหญ่โตอะไร เป็นโครงการบ้านขนาดกลางห่างจากตัวเมืองที่ตั้งโรงพยาบาลประจำจังหวัดประมาณ 15 นาที พอหมดภาระเรื่องฉันไปการเงินทางบ้านจึงเริ่มดีขึ้นแต่ทั้งสองก็ยังทำงานหนักทุกวัน “พี่เกียร์มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนมั้ยคะ” ฉันถามเพื่อความแน่ใจเพราะมากะทันหัน ไม่แน่ใจว่าเขามีชุดทิ้งไว้ในรถบ้างหรือเปล่า จะได้ไปค้นชุดพ่อให้เขาใส่ไปก่อน “ครับ บางทีพี่ต้องนอนคอนโดเพื่อน เลยมีติดรถอยู่ตลอด” เขาเดินอ้อมไปเปิดท้ายรถ ปรากฏของที่วางกันเป็นระเบียบอัดแน่นอยู่ในนั้น ร่างสูงค้นๆ อยู่สักพักก็ได้กระเป๋าใบเล็กออกมา “เข้าบ้านกัน” ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่พักหนึ่งเมื่อเห็นเขาอยู่ในบ้านของฉัน จู่ๆ ก็รู้สึกเขินแปลกๆ “นั่งก่อนลูก เดี๋ยวแม่ไปดูที่หลับที่นอนให้ เกียร์นอนห้องน้องได้ไหม บ้านมีอยู่แค่ 2 ห้อง” แม่หันไปถามพี่เกียร์หลังจากเดินไปเปิดไฟจนทั่วบ้าน “ผมนอนที่ไหนก็ได้ครับ” ร่างสูงวางกระเป๋าแล้วเดินไปนั่งโซฟาหน้าทีวี พอแม่เดินขึ้นไปชั้นบน เขาก็หันมาถามฉัน “ถามแม่ให้หน่อยได้ไหมว่าทานข้าวหรือยัง พี่ว่าตอนเย็นคงวุ่นวายกันน่าดู ไม่น่าได้ทานอะไรแน่ๆ” ฉันวิ่งจู๊ดไปขึ้นไปถามแม่แล้ววิ่งจู๊ดกลับมาหาเขาที่นั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่ “แม่บอกว่ายังไม่ได้ทานค่ะ แล้วก็ไม่มีกับข้าวด้วยเพราะไม่ได้ทำไว้ แต่เดี๋ยวแม่ลงมาทำให้ค่ะ พี่เกียร์หิวมั้ยคะ” “งั้นบอกแม่ว่าพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ทำให้ทานเอง” ฉันพยักหน้ากำลังออกตัวจะวิ่งอีกรอบ เขาก็มาขัดเอาไว้ก่อน “เดินดีๆ สิ เดี๋ยวก็พลาดตกบันไดกันพอดี” ฉันพยักหน้า ไม่วิ่งก็ได้ “แม่!! ดูที่นอนเสร็จพักไปเลยนะ เดี๋ยวมีคนทำกับข้าวให้กิน!!” ว่าเสร็จฉันก็หันไปยิ้มให้ เขาก็ส่ายหัวเหมือนอ่อนอกอ่อนใจ “ใครจะทำเซียร์เหรอ ครัวพังพอดี เดี๋ยวแม่ทำเอง พักเถอะ” แม่ชะโงกหน้ามาถามอยู่ตรงบันได พูดเหมือนจะอยากให้พักแต่ความจริงกลัวฉันทำครัวไหม้ล่ะสิ ชิ! “ผมทำให้เองครับ” พี่เกียร์เดินมาตรงใต้บันไดแล้วบอกแม่ พอเห็นว่าเป็นพี่เกียร์แม่ก็อนุญาตทันที เกินไปแล้วนะ... “หนูช่วยเองแต่ทำอาหารไม่เป็นนะ เป็นลูกมือให้ได้อย่างเดียว” ฉันจ้องหน้าพี่เกียร์ด้วยความจริงจัง “...” พี่เกียร์หัวเราะออกมา “หุงข้าวพอเป็นใช่มั้ย” เขาถามในขณะที่สำรวจครัวอยู่พักหนึ่งแล้วเห็นว่าหม้อข้าวถูกล้างเก็บไว้แล้ว “เป็นค่ะ แต่พี่กะปริมาณน้ำให้หนูได้ไหม” ฉันหยิบหม้อข้าวเพื่อเอาไปซาวน้ำ แล้วหันมาถาม “พอแล้วครับ” ร่างสูงเปิดตู้เย็นก่อนจะเลือกๆ หยิบวัตถุดิบในนั้นออกมาจำนวนหนึ่งวางบนโต๊ะ ใกล้ๆ เตาแก๊ส ครัวบ้านฉันเป็นแบบครัวไทยปกติที่ติดตั้งเตาแก๊สไว้กับโต๊ะปูนบิ้วอิน ทำให้มีที่ปรุงอาหารไม่ได้มากมายนัก พ่อเลยหาโต๊ะมาวางไว้เพื่อเพิ่มพื้นที่ “หนูมีประโยชน์อะไรบ้างมั้ยคะตอนนี้” ฉันถามทันทีที่กดหม้อข้าวเรียบร้อย ได้แต่มองห่างๆ กลัวเข้าไปยุ่งแล้วจะเกะกะเปล่าๆ “เราทำอะไรกันดีคะ” แม้จะเห็นวัตถุดิบคร่าวๆ แต่ก็เดาไม่ออกอยู่ดี เพราะไม่ค่อยได้เข้าครัวเนื่องจากวีรกรรมตอนเด็ก “แกงเขียวหวานไก่ ผัดผัก แล้วก็ไข่เจียว คิดว่าทานพอมั้ยครับ เผื่อจะเพิ่มไข่น้ำไปด้วย” “สามอย่างก็พอแล้วค่ะ เดี๋ยวจะนานไปใหญ่ หนูช่วยเจียวไข่มั้ยคะ” ฉันเลือกเมนูง่ายๆ ที่ทำได้ เขาก็พยักหน้า “แต่ไปล้างผักให้พี่ก่อน ไข่เจียวไว้ทำสุดท้าย” พอแบ่งหน้าที่ต่างคนต่างเดินสลับกันไปมาอยู่ในครัวเพื่อเตรียมวัตถุดิบ และเขาก็เริ่มทำตัวเป็นเชฟ เพราะภายในบ้านไม่ได้ใหญ่มากทำให้กลิ่นคลุ้งจากห้องครัวไปทั่วบ้าน แม่แวบๆ เข้ามาดูพอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็ขอตัวไปอาบน้ำ "พี่วานหยิบไก่ในชามให้พี่หน่อย" พี่เกียร์ชี้ไปที่ตรงชามข้างหน้า ฉันก็รีบหยิบให้ทันที ชะโงกหน้าไปดูในหม้อพบว่าก่อนที่พี่เกียร์จะใส่ไก่ลงไปในน้ำแกงที่น่าจะพึ่งผสมกับกะทิจนเป็นสีออกชาเขียวข้นน่ากิน ท่าทางเขาคล่องแคล่วกว่าที่ฉันคิด ทำให้ฉันแอบมองเขาไม่หยุด พอหมดหน้าที่ก็นั่งจ้องเขาที่โต๊ะทานข้าวมือก็เด็ดใบโหระพาไปด้วย หน้าตาดี นิสัยดี การศึกษาดี บ้านมีตัง แถมยังทำกับข้าวเป็นอีก เขาต้องเป็นสเป็คของผู้หญิงมากกว่าครึ่งโลกแน่ ๆ “สงสัยอะไร มองจนพี่จะทะลุอยู่แล้ว” ฉันชะงักไปเมื่อร่างสูงเดินมา แล้วเอาชามใบโหระพาในมือไป “แค่หมั่นไส้เฉย ๆ” “พี่ไปทำอะไรให้ มาหมั่นไส้กันเฉยเลย” เขาเอาใบโหระพาในมือไปใส่ในหม้อแล้วปิดฝาไว้ ก่อนจะหันมาถาม “พร้อมทำไข่เจียวยัง” ฉันพยักหน้ารัวๆ แล้วไปรีบเดินไปหาทันที จัดการตีไข่เล็กน้อย พี่เกียร์ก็ตั้งกระทะพร้อมใส่น้ำมันให้ พอมายืนตรงนี้ก็เห็นผนังด้านหลังเตาแก๊ส ที่ดำเนื่องจากเคยไหม้เมื่อนานมาแล้ว “พี่เกียร์เห็นตรงนี้มั้ย” ฉันใช้ส้อมที่ใช้ตีไข่ชี้ไปให้เขาดูตรงรอยดำนั่น “เพราะม.4หนูต้องไปเรียนกรุงเทพฯ แม่เลยให้หนูเข้าครัวมา...” เสียงฉันสะดุดไปเมื่อมือหนาจับหลังมือของฉันข้างที่ถือชามไข่อยู่ เขาพลิกให้ของเหลวข้างในเทลงบนกระทะที่บัดนี้ร้อนจนเริ่มมีควันขึ้นแล้ว “ว่าต่อเลยครับ” แล้วถอยออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพยักหน้าให้ฉันพูดต่อ ความอุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่บนหลังมือ กับกลิ่นมิ้นท์ที่ออกมาจากตัวเขา ยังคงติดอยู่ตรงจมูกเพราะเมื่อกี้อยู่ใกล้กันมาก ส่งผลให้หน้าร้อนนิดๆ แต่ท่าทางพี่เกียร์ก็นิ่งมากไม่ได้มีอาการผิดปกติใดๆ ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรนอกจากต้องการเทไข่เพราะกลัวกระทะจะไหม้เท่านั้น ตึก ตัก ตึก ตัก... ฉันพลิกไข่เจียวที่เหลืองจนได้ที่ ไปวางไว้ในจาน เขาก็ปิดเตาแก๊สให้ แล้วเดินเอาไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร “ว่าไงครับ แล้วไงต่อ” เมื่อเห็นว่าฉันยังพูดไม่จบเขาก็เอ่ยท้วง “แค่จะบอกว่า ครั้งแรกที่ทำไข่เจียว หนูทำไฟไหม้ผนังค่ะ แม่เลยไม่ให้เข้าครัวอีกเลย” พูดจบร่างสูงก็หัวเราะเล็กๆ แล้วหันไปดูยังรอยไหม้ “เมื่อกี้ก็เกือบนะ” “แฮะๆ” ตึกตัก ตึกตัก ! เฮ้! เสียงอะไรน่ะ...อ่อเสียงหัวใจฉันเองหรอกเหรอ “ไปเรียกแม่มาทานข้าวได้แล้วครับ” เขาหันมาพูด ฉันก็รีบวิ่งออกมาจากครัว แวะหลบอยู่ตรงบันไดแล้วเอามือพัดๆ หน้าตัวเองซึ่งรับรู้ถึงความร้อนฉ่า แย่แน่ ๆ ฉันไปใจเต้นกับการกระทำของเขาทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ยนะ ใจง่ายไปไหมเรา “มายืนอะไรตรงนี้ กับข้าวเสร็จแล้วเหรอลูก” แม่ซึ่งเปลี่ยนชุด แถมประแป้งมาเต็มหน้าลามไปยันตัวเดินลงบันไดมาถามฉันหน้างง ๆ “หลบอะไร มาตามแม่นั่นแหละ” ฉันตีมึน แล้วเดินตามแม่ไปยังห้องครัว เห็นร่างสูงกำลังตักข้าวร้อน ๆ ควันโขมงโฉงใส่จานไว้ให้พวกเรา “โอ้โห ทำอาหารเก่งเชียว ปกติทำอาหารบ่อยเหรอลูก” แม่เข้าไปนั่งที่หัวโต๊ะแล้วก็มองอาหารตรงหน้ายิ้มๆ ให้ตาย...แม่ฉันสมอ้างเป็นเเม่เขาเรียบร้อย “ไม่ค่อยบ่อยครับ แต่ค่อนข้างชอบทำเวลาว่าง ๆ” เขาตอบแม่ แล้วหันมาเหล่ตาบอกให้ฉันนั่งลง “ใช้ได้เลยนะเนี่ย อร่อยมาก” แม่ตักเข้าปากคนแรกชิมก็เอ่ยปากชมเปาะ “เห็นไหม เขาเป็นผู้ชายยังทำอาหารเป็น เราเมื่อไหร่จะฝึกทำบ้าง โตขนาดนี้มีแฟนคงอายเขาตาย” “โหยอะไรเนี่ยแม่ จะชมพี่เขาก็ชมไปสิ จะมาแซะทำไม” ฉันยู่หน้า แล้วเหลือบไปเห็นพี่เกียร์มองมาทำหน้าคล้ายกำลังกลั้น “อีกอย่างเราจะทำอาหารเป็นไปทำไม ถ้าเรามีแฟนทำอาหารเป็น” พี่เกียร์ชะงักมือที่กำลังยกข้าวเข้าปากทันที แล้วเหล่ตามาฉันนิ่ง ๆ “ใคร มีแล้วเรอะ” แม่ถามเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ฉันก็ส่ายหน้า “ยัง หาก่อนสิ” เมื่อได้ยินแม่ก็ถอนหายใจปลงคล้ายจะบอกว่าฉันเอาแต่พูดจาไร้สาระ หาง่ายๆ ก็ดีสิ สาบานจะรักจะหลงจนตัวตายเลย เราทานข้าวกันไปเงียบๆ แม่ก็ไม่ได้ถามอะไร ส่วนฉันเห็นนาฬิกาบอกเวลาก็รีบกินเนื่องจากตอนนี้เวลาเกือบ ๆ 4 ทุ่มแล้ว ต้องให้พี่เกียร์รีบนอนเพราะพรุ่งนี้เขาจะต้องตื่นเช้ามาก “พี่เกียร์ไปอาบน้ำก่อนเลยค่ะ ขึ้นไปชั้นบนห้องอยู่ซ้ายมือมีห้องน้ำในตัว เขิญใช้ได้ตามสบาย เดี๋ยวทางนี้หนูล้างจานให้เอง งานถนัด” ถึงทำกับข้าวไม่เป็นแต่เรื่องงานบ้านอย่างอื่นอย่าง ซักผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้านนี่ฉันเชี่ยวชาญมากอย่าบอกใคร เขาช่วยรวบรวมจานที่ใช้แล้วมาวางในซิงค์ล้างจานให้ ฉันก็เริ่มล้าง นึกว่าเขาคงเดินออกไปแต่ร่างสูงก็ยังคงยืนพิงข้าง ๆ อยู่อย่างนั้นจนฉันต้องเอ่ยปากถาม “ต้องการอะไรเพิ่มรึเปล่าคะ” “เปล่า แค่พึ่งนึกได้ว่าเราแทนตัวเองว่าหนู ก่อนหน้านี้แทนตัวเองด้วยชื่อ” เออ ก็ใช่ ปกติฉันชอบแทนตัวเองด้วยชื่อ ฉันไปแทนตัวเองว่าหนูตั้งแต่ตอนไหนกันนะ “แล้วทำไมคะ หรืออยากให้แทนแบบเดิม” พอพูดจบเขาก็ส่ายหัวแล้วยิ้มน่ารัก ๆ มาให้ “ไม่ล่ะ ชอบให้แทนว่าหนูดีกว่า มันน่ารักดีน่ะ” “ว้าย !” ฉันร้องตกใจพร้อมถอยไปด้านหลังอัตโนมัติเนื่องจากเผลอปล่อยจานลงไปในฟองล้างจาน จนน้ำกระเด็นออกมาเล็กน้อย หันไปย่นคิ้วให้เขาที่มองมาอยู่ก่อน แถมยังกลั้นขำชอบใจกับท่าทีเหลอหลาของฉันอีกด้วย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม