อันเมี่ยนวิ่งเพียงสามก้าวก็จับสตรีผู้หนึ่งเอาไว้ได้พร้อมกับบิดแขนเสียงดังเพื่อให้นางหนีไม่ได้ เมื่อพบว่าคนที่ปล่อยข่าวถูกจับแต่ละคนก็เริ่มใจเสีย เหรินซินหันมามองด้วยสายตาดุดันไม่ลดละอีกครั้งเมื่อเดินเข้ามาหานาง
“เจ้าสินะที่เป็นผู้ปล่อยข่าว”
“ข้าไม่รู้เรื่อง อย่ามาใส่ร้ายข้านะ!”
“ไม่รู้เรื่องงั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจวนแม่ทัพของข้ามีวิธีสอบสวนคนร้ายให้ยอมรับผิดแบบไม่เหมือนผู้ใด อยากจะลองสักครั้งหรือไม่เล่า”
“เจ้าขู่ข้างั้นหรือ ว่าร้ายคนไม่มีหลักฐานนี่หรือคุณหนูสกุลใหญ่ กลั่นแกล้งชาวบ้าน!”
“ใช่ ๆ กลั่นแกล้งชาวบ้าน”
เสียงก่นด่าเริ่มดังมากขึ้น อันเมี่ยนเริ่มชักกระบี่ออกมาพาดที่คอของแม่ค้าที่จับเอาไว้โดยไม่พูดอะไร ท่าทางที่นิ่งและสายตาของพวกนางทำเอาคนที่รายรอบเงียบลงทันที
“ข้าถือว่าให้โอกาสเจ้าพูดแล้วนะ หากว่าเจ้ายังไม่พูดครั้งนี้ข้าจะปล่อยให้องครักษ์สาวของข้า…”
“คุณหนู! ข้าพูดแล้วเจ้าค่ะได้โปรดปล่อยข้าเถอะเจ้ค่ะ ข้าพูดแล้ว ข้ากลัวแล้ว”
ผู้คนเริ่มหันมามองหน้าแม่ค้าผู้นั้นอีกครั้ง อาเมี่ยนยังไม่ยอมลดกระบี่ในมือลง แค่เห็นเพียงแสงกระบี่ในมือนางก็แทบจะเป็นลมอยู่แล้ว
“อันเมี่ยน ให้นางพูดเถอะถ้ายังกล้าโกหกแม้แต่คำเดียวค่อยตัดลิ้นของนางเอาไปให้เป็ดกิน”
“ข้าพูดเจ้าค่ะ พูดแล้ว!!”
“ว่ามาสิ ทุกคนที่นี่จะได้ฟังไปพร้อมกัน”
แม่ค้าผู้นั้นหมดเรี่ยวแรงเพราะกลัวตาย นางทรุดเข่าลงกับพื้นพร้อมกับพูดตะกุกตะกักออกมา
“ขะ ข้ารับเงินสกุลจางมาเพื่อที่จะให้กระจายข่าวใส่ร้ายท่านเจ้าค่ะ”
“หา!!”
“อะไรนะ”
“นี่นาง… ใส่ร้ายคุณหนูกงจริงหรือนี่”
กงเหรินซินจับกระบี่ในมืออันเมี่ยนมาพาดที่คอของแม่ค้าผู้นั้นอีกครั้ง
“เจ้าอย่าได้คิดใส่ร้ายผู้อื่น หากยังไม่พูดความจริงข้าจะไม่่ให้โอกาสเจ้าแล้ว!!”
“คะ คุณหนู!! ข้าไม่กล้าโกหก ข้าพูดความจริงเจ้าค่ะคุณหนูจางว่าจ้างข้ามาสามสิบตำลึงเพื่อให้ร้ายท่านว่าพยายามฆ่าคุณหนูซ่งในวัง และสั่งลงโทษนางที่ทำร้ายท่านเจ้าค่ะ ข้าพูดเรื่องจริง นี่คือตั๋วเงินที่นางจ่ายข้ามาเป็นหลักฐานได้เจ้าค่ะ”
อันเมี่ยนจับตั๋วเงินมาให้กงเหรินซิน ผู้คนเริ่มหันมาตกใจเมื่อสิ่งที่เข้าใจมาโดยตลอดว่ากงเหรินซินคือคนเลว บัดนี้ความจริงเริ่มกระจ่างแล้ว
“เอาคืนให้นางไป”
อันเมี่ยนทำตามคำสั่ง เมื่อตั๋วเงินถูกคืนไปให้แม่ค้าผู้นั้นถึงได้สำนึกได้
“คุณหนูกง ทะ ท่านไม่จับข้าไปส่งทางการหรือเจ้าคะ”
“จับเจ้างั้นหรือ จับไปทำไมกัน”
“ขะ ข้าใส่ร้ายท่านตามคำสั่งของคุณหนูสกุลจาง อีกทั้งยังทำท่านเสียชื่อท่านไม่เพียงไม่จับข้าส่งทางการยัง… คืนเงินให้ข้าอีกด้วย”
“ข้าแค่อยากรู้ความจริงจากเจ้าเท่านั้น ตอนนี้เจ้าก็พูดออกมาแล้วข้าก็ไม่ได้อยากเอาความอะไร อีกอย่างเงินนั่นก็เป็นของเจ้า นับว่าครั้งนี้เจ้าทำตามที่ถูกจ้างมาสำเร็จแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการมัน เรื่องสุดท้ายต่อให้ข้าจับเจ้าส่งทางการก็เสียเวลาเหตุใดข้าต้องทำด้วย นี่ก็แค่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น แต่ว่า…”
“คุณหนูกงเจ้าคะขอเพียงไม่จับข้าส่งทางการ ข้ายินดีที่จะทำคุณไถ่โทษ บอกมาเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าหวังว่าจากนี้เจ้าจะพูดแต่ความจริง ไม่เห็นแก่เงินพวกนี้แล้วเที่ยวปล่อยข่าวเท็จให้คนเข้าใจผิด ส่วนพวกเจ้า!!….”
กงเหรินซินชี้กระบี่ไปที่เหล่าบรรดาพวกขี้นินทาทั้งตลาด ที่เริ่มไม่กล้าสู้หน้านางอีกทั้งยังกลัวกระบี่ในมือ
“ในเมื่อพวกเจ้ากล้าที่จะพูดข่าวเท็จ ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรข้าหวังว่าเรื่องนี้… จะถูกพูดถึงไปทั่วเช่นกัน”
“ได้ ๆ ข้ารับปากว่าจะพูดเรื่องจริงขอรับ คุณหนูกงอย่าได้ห่วง”
“ใช่แล้ว ยังดีที่คุณหนูมีคุณธรรมไม่เอาเรื่องป้าเจา อีกอย่างสกุลกงก็มีบุญคุณกับพวกเรา แม่ทัพกงยิ่งใหญ่ข้าน้อยผิดไปแล้วที่หลงเชื่อข่าวลวง”
“ใช่แล้ว ๆ จากนี้พวกข้าจะออกหน้าแทนคุณหนูเอง”
“เช่นนั้นข้าขอบคุณทุกท่านที่เข้าใจ เรื่องใดที่ข้าทำข้าจะยอมรับผิด แต่เรื่องใดที่ข้าไม่ได้ทำต่อให้ตายก็ไม่มีทางยอมรับ หากข้าล่วงเกินผู้ใดก่อนหน้านี้ต้องขออภัยทุกท่านด้วย”
กงเหรินซินหันมาคำนับให้กับเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าในตลาด ทุกคนรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของนางที่ไม่เคยให้เกียรติใครมาก่อน แต่นี่นางถึงกับยอมก้มหัวขอโทษคนธรรมดาอย่างแม่ค้าและผู้คนในตลาด เรื่องนี้คงเป็นเรื่องเล่าลือกันไปอีกนาน
“คุณหนู ขอบคุณที่ไม่เอาเรื่องพวกเรา”
“หากไม่มีอะไรแล้วข้าคงต้องขอตัวก่อน เรื่อง “ต่อจากนี้” ก็ขอฝากพวกท่านด้วย”
ทุกคนรับปากมั่นเหมาะเพราะท่าทางที่นอบน้อมของกงเหรินซินที่ถูกเวลาและจังหวะ ข่าวเรื่องจางลี่เหมยใช้เงินปล่อยข่าวลือให้ร้ายคุณหนูกงเริ่มแพร่กระจายดุจไฟไหม้ป่าที่มิอาจหยุดยั้ง บรรดาจวนขุนนางใหญ่รวมถึงจวนอ๋องก็ทราบเรื่องในเวลาไม่นานเช่นกัน
จวนท่านอ๋อง
“อะไรนะ เจ้าบอกว่ากงเหรินซินน่ะหรือยอมก้มหัวให้กับแม่ค้าในตลาดเพราะเรื่องนี้”
“ท่านอ๋อง คือที่กระหม่อมจะรายงานคือเรื่องที่คุณหนูจางใช้เงิน…”
“นั่นข้ารู้แล้ว ข้ามิได้แปลกใจเพราะเรื่องต่ำช้าเช่นนี้มีเกิดขึ้นบ่อย ๆ อยู่แล้ว แต่ข่าวลือที่แพร่กระจายกลับเปลี่ยนจากดำเป็นขาวภายในพริบตาอย่างที่กงเหรินซินทำในวันนี้เป็นเรื่องที่ข้าคิดไม่ถึง”
“เรื่องนี้กระหม่อมคิดว่านางรับมือได้ดีมากจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“พี่เว่ยเซียว”
ท่านอ๋องส่งรายงานกลับไปให้ตันฉินอย่างรวดเร็ว สตรีร่างบางใบหน้างดงามราวกับภาพวาด ที่เพียงแค่เดินก็เหมือนจะล้มเสียให้ได้เดินเข้ามายังห้องอักษรที่เขาและองครักษ์คุยกันอยู่ ท่านอ๋องหันไปตำหนิตันฉินเล็กน้อยที่ลืมปิดประตู
“จินหรูเจ้ายังไม่ค่อยแข็งแรง เหตุใดจึงต้องมาทำเรื่องเหล่านี้อีก”
“ข้านอนพักมาร่วมเดือนแล้ว บัดนี้อาการทุกอย่างหายเกือบจะปกติแล้วจึงอยากชงชาต้นฤดูวสันต์มาให้ท่านได้ชิมเพคะ”
“อ่อ ได้สิ”
“ซ่งจินหรู” เดินมานั่งข้าง ๆ เพื่อจะได้รินน้ำชาให้กับท่านอ๋อง เมื่อรับจอกชามาก็เริ่มจิบทันที
“อืม รสชาติดีมากจริง ๆ ขอบใจเจ้ามาก”
“มิได้เพคะ การได้ดูแลท่านเป็นหน้าที่ของจินหรูอยู่แล้วเพคะ”
ท่านอ๋องหันไปมองนางพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้กับความน่าเอ็นดูนี้ แต่เมื่อซ่งจินหรูกำลังจะตักขนมและนำมาป้อนเขาเองกับมือ หมิงเว่ยเซียวจึงได้รีบรับจานนั้นมา
“ข้ากินเองได้ไม่ต้องลำบากหรอก”
ผู้ที่พึ่งถูกปฏิเสธหน้าหงอยลงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังยินดีที่จะรินน้ำชาให้ท่านอ๋องอีกครั้ง
“หม่อมฉันได้ยินสาวใช้พูดถึงเรื่องที่ในตลาดเล่าลือกัน เป็นเรื่องจริงหรือเพคะที่คนก่นด่าคุณหนูกงไปทั่ว หรือว่าผู้คนจะรู้แล้วว่านาง…”
ท่านอ๋องหันมามองหน้าของซ่งจินหรูนางจึงหยุดพูดในทันที เมื่อมองไปที่องครักษ์ จึงได้ทราบว่าซ่งจินหรูยังไม่ทราบเรื่องที่กงเหรินซินจับตัวคนร้ายที่สร้างข่าวลือเสียหายได้แล้วในวันนี้
“เจ้าคิดเช่นไรกับเรื่องนี้งัั้นหรือจินหรู”
“ข้าคิดว่า… เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นนางน่าสงสัยจริง ๆ เพคะเพียงแต่ว่านางก็ตกน้ำไปด้วยเช่นกัน ท่านคิดว่านางจะแสร้งทำเป็นตกน้ำไปพร้อมกับข้า เพียงเพื่อจะกลบเกลื่อนความผิดในเรื่องนี้หรือไม่เพคะ”
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ วันที่เกิดเรื่องขึ้นเจ้าไปที่นั่นได้อย่างไรกันแน่ แล้วเหตุใดจึงได้ตกน้ำ เจ้าจำได้แล้วหรือยัง”
ซ่งจินหรูหันมามองพักตร์ท่านอ๋อง และเริ่มทำท่าเวียนศีรษะอีกครั้งเมื่อถูกถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ตัวนางเริ่มสั่นนิด ๆ
“หม่อมฉัน…จำไม่ได้เลยเพคะว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น รู้แต่เพียงว่าไปพบคุณหนูกงที่นั่น จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลยเพคะ”