อันเมี่ยนตระหนกเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะถูกเลือก ในรายการที่ผู้ดูแลส่งมาให้ นางนับว่าวรยุทธ์ด้อยกว่าอีกสามคนมากนักเพราะฝึกยังไม่ทันสำเร็จก็ต้องลงจากเขามาก่อน แต่สำหรับเหรินซินเพียงแค่อันเมี่ยนที่มาจากสำนักไป๋ซานนั่นก็เพียงพอที่จะเลือกนางแล้ว
“คะ คุณหนูจากนี้ไปข้าน้อย…”
“ไม่ต้องคุกเข่าอย่าคำนับให้มากพิธี ข้าเป็นแค่คนธรรมดามิใช่ราชวงศ์อย่าวุ่นวายเลย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ผู้ดูแลพาอีกสามคนเดินออกจากห้องไปตามคำสั่งของเหรินซิน อาเจิงมองพินิจพร้อม ๆ กับคุณหนู แต่เหรินซินดูเหมือนว่าจะมิได้มองคนอื่น ๆ เลยด้วยซ้ำ เมื่อเข้ามาถึงนางก็ตรงมาที่สตรีนางนี้เลยจนทำให้อาเจิงรู้สึกประหลาดใจ
“อันเมี่ยน ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเจ้ามาให้ข้าฟังสักหน่อยสิ ข้าต้องการรู้ว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน หวังว่าเจ้าจะไม่เริ่มต้นด้วยการโกหกนะเพราะว่าข้าต้องการคนที่ไว้ใจได้”
“เจ้าค่ะข้าน้อยจะไม่โกหกท่าน ข้าเป็นคนฉีอันและเคยร่ำเรียนอยู่สำนักไป๋ซาน”
“สำนักไป๋ซาน! นี่เจ้าเคยเรียนสำนักดาบและกระบี่อันดับหนึ่ง…”
“อาเจิง เจ้าเงียบก่อน... ว่าต่อสิ”
อันเมี่ยนก็ยังไม่ต่างไปจากเดิม นางเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับตัวนางให้กงเหรินซินฟังโดยไม่ปิดบัง เหรินซินเองก็นั่งฟังอย่างตั้งใจเพราะหากว่าอันเมี่ยนโกหก นางก็จะรู้ได้ในทันทีเพราะอันเมี่ยนเคยเป็นศิษย์น้องของเยว่ชิงชิง
“หมายความว่าหลังจากมารดาของเจ้าตาย บิดาก็ยกอนุขึ้นเป็นใหญ่และจะบังคับให้เจ้าแต่งงานกับขุนนางแก่ที่มีเงินมาก เจ้าซึ่งเป็นบุตรของภรรยาเอกจึงมิได้รับความเป็นธรรมงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าเองก็มิได้ต้องการอยู่ที่นั่นดังนั้นจึงได้ตัดขาดจากครอบครัวและออกเดินทาง แม้ว่าอยากจะกลับขึ้นเขาก็เกรงว่าท่านพ่อจะตามหาข้าเจอ ก็เลยหนีมาที่เมืองหลวงเจ้าค่ะ”
'เพราะเหตุนี้นางจึงมิได้กลับไปที่ไป๋ซานสินะ'
“เจ้าอยากกลับไปร่ำเรียนที่สำนักไป๋ซานงั้นหรือ”
“ตอนนี้จะกลับหรือไม่ ก็ไร้ประโยชน์แล้วเจ้าค่ะ”
“ทำไมเล่า”
“ที่ข้าอยากกลับไปเพราะศิษย์พี่ชิงชิง แต่ตอนนี้นาง…”
หยดน้ำตาของอันเมี่ยนไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เหรินซินรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อยราวกับมีเข็มเล่มเล็กมาทิ่มที่หัวใจนาง
“เกิดอะไรขึ้น ข้าอยากให้เจ้าเล่าแต่หากทำให้ลำบากใจ...”
“ไม่ลำบากเจ้าค่ะ หลังจากข้าลงจากเขาไม่นานก็ได้ข่าวว่าศิษย์พี่ฆ่าท่านอาจารย์ใหญ่แต่ข้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด อาจารย์กับศิษย์พี่เป็นดุจบิดาและบุตร ข้าไม่มีทางเชื่อว่านางจะทำเรื่องเช่นนี้”
เหรินซินกำหมัดแน่นเพราะไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องที่นางเคยพร่ำสอนและถูกนางดุมากที่สุด กลับเป็นคนเดียวที่เชื่อว่านางมิได้ฆ่าอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ “นิ่งเสี่ยวเหยา” ที่นางเอ็นดูมากกว่าจะเชื่อในสิ่งที่เห็นแต่ทว่า…
‘ศิษย์พี่ หากท่านมิได้ฆ่าอาจารย์ ท่านก็กลับไปกับพวกเราเพื่ออธิบายเถอะเจ้าค่ะ’
“เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อว่าศิษย์พี่คนนั้นของเจ้าไม่ได้ทำเล่า เรื่องของสำนักไป๋ซานครั้งนั้นโด่งดังมาถึงเมืองหลวง”
“ไม่! ท่านไม่รู้จักศิษย์พี่ของข้า นางไม่ใช่คนเนรคุณคนต่อให้นางจะดุด่าข้าและเข้มงวดก็เพื่อให้พวกเราได้ดี นางรักอาจารย์ไม่ต่างกับบิดาข้าย่อมรู้ดีเพราะข้าอยู่ที่เขาไป๋ซานมากว่าสามปี หากจะบอกว่านางเป็นคนฆ่าต่อให้เอาเชือกมารัดคอข้าให้ตาย ข้าก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นนาง ไม่มีทาง!!”
“อันเมี่ยน เจ้าตะคอกใส่คุณหนูข้าทำไม”
“เอ่อ ข้า...ขออภัย”
แต่สิ่งนั้นกลับทำให้เหรินซินแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าศิษย์น้องนอกสายตา ที่ใช้เวลาพร่ำสอนมานานกว่าคนอื่นจะเป็นคนเดียวที่เชื่อว่านางมิได้ทำผิด ครั้งนี้นางจะไม่เลือกคนผิด
“เอาล่ะอันเมี่ยนวันนี้เจ้ากลับจวนไปกับข้าก่อน อาเจิงหลังจากนี้ฝากเจ้าดูแลเรื่องเสื้อผ้า อาหารและที่อยู่ให้นางด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ อันเมี่ยนต่อไปข้าเรียกเจ้าว่าอาเมี่ยนได้หรือไม่เจ้าก็เรียกข้าว่าอาเจิง”
“ได้อาเจิง จากนี้ข้าขอฝากตัวด้วย หากว่ามีสิ่งใดที่ข้าทำผิดขอให้เจ้าช่วยชี้แนะด้วย”
“เอาล่ะไม่ต้องมากพิธี พวกเราสามคนมิได้เป็นนายบ่าว พวกเราอยู่กันอย่างครอบครัว จากนี้ข้าจะเป็นครอบครัวของเจ้า พวกเรากลับกันเถอะ”
อาเมี่ยนหันมาน้ำตานองอีกครั้งพร้อมกับคุกเข่าลง อาเจิงไม่ทันได้ห้ามนางแต่เหรินซินก็รีบดึงนางขึ้นมาอีกครั้ง
“อาเมี่ยน! ข้าบอกแล้วว่า…”
“คุณหนูเจ้าคะ จากนี้ไปข้าจะตั้งใจทำงานที่คุณหนูสั่ง จะยอมเป็นช้างม้าให้ท่านใช้ ข้าสาบานว่าจะซื่อสัตย์และภักดีกับคุณหนู”
“พอแล้วลุกขึ้นเถอะ ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าพวกเราอยู่กันอย่างครอบครัว จากนี้ก็ค่อย ๆ เรียนรู้กับอาเจิง”
“เจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมเพื่อจะกลับจวน แต่เหรินซินคิดว่าไหน ๆ ก็ออกมาแล้วจึงแวะไปที่ร้านผ้า เพื่อเลือกชุดใหม่สักสองสามชุดอีกทั้งยังเลือกให้สาวใช้ทั้งสองด้วย เมื่อได้ของครบก็เกือบเย็นจึงได้รีบออกมาแต่ก็พบว่าสายตาของคนในเมือง แม่ค้าและผู้คนเริ่มพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวง
“นางน่ะหรือ เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”
“ใช่ ๆ กล้าจะผลักน้องสาวท่านอ๋องตกสระน้ำในวังแล้วยังมีหน้ามาเดินตลาด หน้าไม่อายจริง ๆ”
“นางน่าจะตายไปเสียนะ แล้วยังลงโทษบุตรขุนนางใหญ่ให้จ่ายค่าทำขวัญเพราะอยากแก้แค้นอีก ช่างไร้คุณธรรม”
“คุณหนูเจ้าคะ รีบกลับจวนกันเถอะ…คุณหนู!!”
“อาเจิง เจ้าอยู่ที่นี่ข้าจะไปคุ้มกันคุณหนู”
“อาเมี่ยน เดี๋ยวก่อน”
กงเหรินซินไม่เพียงไม่หนีคำครหาแต่นางกลับเดินหน้าเข้าไปหาคนที่พยายามพูดเรื่องของนาง เมื่อเดินเข้าไปใกล้พวกที่กำลังนินทากันอย่างออกรสถึงกลับไม่กล้ามองนาง เพราะทั้งท่าทางและสายตาของเหรินซินทำให้พวกนางเริ่มกลัว
“หยุดทำไมเล่า ทำไมไม่พูดต่อล่ะข้าอยากฟังให้มากกว่านี้ พูดอีกสิ”
“ทะ ท่าน.. นี่ท่านจะมาข่มขู่ พะ พวกข้าหรือ”
“เหตุใดต้องกลัวด้วย เมื่อครู่ยังกล้าพูดให้ข้าได้ยินเลยมิใช่หรือ หากว่าเป็นเรื่องจริงพวกเจ้าจะกลัวทำไมกัน พูดสิ!!”
เสียงตวาดนั้นทำเอาคนที่นั่งนินทาอยู่ตกใจจนเกือบตกเก้าอี้ บางคนเริ่มลุกขึ้นและชี้หน้าด่านางแต่ก็กล้า ๆ กลัว ๆ
“ทะ ทะ ท่าน.. ท่านจะมาข่มขู่พวกข้าที่พูดความจริงงั้นหรือ ที่พวกข้าพูดล้วนเป็นความจริงเหตุใดจึงไม่กล้ายอมรับ”
“ชะ ใช่แล้ว เป็นถึงบุตรแม่ทัพใหญ่เลื่องชื่อแต่กลับทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ยังจะกล้า...”
กงเหรินซินหันไปมองผู้ที่พูดด้วยสายตาดุดันเมื่อเดินเข้าไปหา นางมิได้เกรงกลัวคนเหล่านี้เลยสักนิด และไม่คิดจะถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว คนนับสิบที่พูดนินทาว่าร้ายนางเมื่อครู่เริ่มถอยเพียงเพราะนางที่เดินเข้ามาหา
“ต่ำช้างั้นหรือ พวกเจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่ที่จะให้ร้ายข้าด้วยเรื่องนี้”
สีหน้าของเหล่าแม่ค้าและสตรีปากตลาดเริ่มสั่น เมื่อเห็นว่าบุตรสาวขุนนางใหญ่ไม่เกรงกลัวแม้คำนินทาว่าร้าย อีกทั้งยังกล้าที่จะสู้กับพวกนาง
“พูดสิ พูดมาให้หมด”
“ผลัวะ!!”
“คุณหนู!!”
ผักกาดหัวใหญ่ถูกโยนมาที่ด้านข้าง แต่กงเหรินซินหันไปรับเอาไว้ได้ คนที่ปาออกมาถึงกับแอบกลืนน้ำลายเพราะไม่คิดว่านางจะรับได้ทัน เมื่อกวาดสายตาไปโดยรอบ เหรินซินจึงได้เห็นตัวต้นเหตุที่คอยพูดบางอย่างให้คนอื่น ๆ เริ่มหันมาต่อว่านาง และนางผู้นี้เป็นคนที่เหรินซินเห็นตั้งแต่ก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้านตัดเสื้อ
“พูดให้ร้ายไม่ได้ผลคิดจะใช้กำลังกับข้างั้นหรือ พวกเจ้ากระจอกถึงเพียงนี้ถึง เก่งแต่ปากเอาแต่พูดลับหลังคนอื่น คิดว่าคงอยากจะไปนอนเล่นที่คุกศาลาว่าการสินะ”
“ทะ ทะ ท่าน!! ท่านขู่พวกข้างั้นหรือ”
“อันเมี่ยน!! จับนางเอาไว้ คนที่อยู่หลังร้านขายผักชุดสีน้ำตาล!!”
“เจ้าค่ะ!!”