“ท่านอ๋องงั้นหรือ เขามาทำอะไรที่นี่ข้าไม่อยากพบเขา ข้าไม่ไป”
“ไม่ไปไม่ได้เจ้าค่ะ คุณชายรองสั่งให้ท่านออกไปพบท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ ทั้ง ๆ ที่พี่รองเป็นคนที่ถวายฎีกาฟ้องร้องเขาแต่เหตุใดจึงได้พาเขามาที่นี่กัน”
“เรื่องนี้ข้าว่าคุณหนูออกไปพบท่านอ๋องก็คงจะทราบดีเจ้าค่ะ”
“แค่ได้ยินชื่อก็หงุดหงิดแล้ว เหตุใดต้องไปพบหน้าเจ้าอ๋องหน้าโหดผู้นั้นด้วย”
“คุณหนูเจ้าคะ!”
“เอาเถอะ ไปก็ไปสิผู้ใดกลัวกันเล่า”
กงเหรินซินจำเป็นต้องวางรายงานที่อ่านค้างเอาไว้ในห้อง นางเก็บเอาไว้ในกล่องอย่างดีก่อนจะเดินออกมาจากห้องที่มีอาเจิงรออยู่ ไม่นานเมื่อเดินถึงห้องโถงก็พบว่าพี่ชายคนรองกำลังนั่งสนทนากับท่านอ๋องอยู่
“ท่านมาทำอะไรที่นี่”
สายตาของนางบ่งบอกได้ทันทีว่าไม่ยินดีต้อนรับผู้มาเยือน หมิงเว่ยเซียวหันมามองใบหน้าที่ยังดูซีดเซียว แต่สายตากับแข็งกร้าวไม่ต่างกับวันที่เขามาพบนางครั้งก่อน
“น้องสาม! อย่าเสียมารยาท”
“เสียมารยาทงั้นหรือ...”
“คุณหนูเจ้าคะ”
กงเหรินซินถอนหายใจแรง ๆ หนึ่งครั้งเพื่อให้ผู้ที่นั่งอยู่ได้รู้ตัวว่านางมิได้ยินดีที่ได้พบเขาแม้แต่น้อย นางคำนับย่อพอเป็นพิธีเพื่อทักทายเขา
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
“คุณหนูสามยังบาดเจ็บอยู่ไม่ต้องมากพิธีหรอก ที่ข้ามา…”
“เช่นนั้นก็ควรจะรีบบอก ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
เพียงแค่คำเดียวกลับทำให้ท่านอ๋องกัดกรามแน่น เดิมทีเขาเพียงคิดว่ากงเหรินซินแค่ไร้มารยาทและดื้อดึงตามประสาเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าเรื่องในครั้งก่อนที่เขาพานางไปสอบสวนยังคุกใต้ดิน จะทำให้นางมีท่าทางเช่นนี้ได้
“เจ้านั่งก่อนเถอะ กระหม่อมต้องขอประทานอภัยท่านอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะคือว่าน้องสาม...”
“เอาเถอะข้าพอจะเข้าใจคุณชายรองไม่ต้องเอ่ยมากความ เรื่องในครั้งก่อนข้ามีส่วนผิดที่ทำให้นางถูกทำร้าย ถ้าอย่างไรข้าขอคุยกับนางเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้หรือไม่”
“ไม่ได้ หากท่านอยากพูดอะไรก็รีบพูดมา ข้าไม่มีเวลาจะฟังท่านมาก ไม่ต้องประดิษฐ์คำมากมายข้ามิใช่เชื้อพระวงศ์เช่นพวกท่าน”
“น้องสาม อย่าเสียมารยาท”
กงเหรินซินไม่แม้แต่จะมองพี่ชายของตนเอง สายตาของนางหันมามองพักตร์ที่เย็นชาและคมคาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำสีหน้าโมโหเฉกเช่นวันแรกที่นางพบก็ตาม
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือโทษนางหรอกคุณชายรอง”
“เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอตัวก่อน เชิญพระองค์ตามสบายพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจมาก”
นับตั้งแต่นางก้าวเข้ามายังห้องโถงนี้ สายตาของเหรินซินก็จดจ้องมายังหมิงเว่ยเซียวอย่างไม่ลดละ แต่หาใช่ความชื่นชมอย่างเดิมไม่ กลับเป็นแววตาของคนที่กำลังโกรธและแค้นเคือง
ท่านอ๋องหันไปมององครักษ์ข้างกาย แม้ว่าตันฉินจะไม่ได้อยากออกไป แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนเขาเองก็มีส่วนผิดที่ปล่อยให้จางลี่เหมยเข้าไปทำร้ายนางที่คุกใต้ดินได้
“ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพราะอยากจะขอโทษเจ้า”
“ไม่จำเป็นเพคะ หม่อมฉันไม่รับ”
“กงเหรินซิน เรื่องครั้งก่อนที่เกิดขึ้นข้ามีส่วนผิด”
“หึ แค่มีส่วนผิดงั้นหรือ ท่านพาข้าออกจากจวนไปสอบสวนในคุกซึ่งเป็นที่คุมขังนักโทษเดนตาย อีกทั้งยังปล่อยให้สตรีของท่านเข้าไปทำร้ายข้าถึงในนั้น หายไปเกือบครึ่งเดือนพึ่งจะนึกได้ว่าจะต้องมาขอโทษ ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะความรู้สึกช้าเช่นนี้”
‘คำพูดของนางช่างร้ายกาจสมกับที่ร่ำลือ ข้าพึ่งจะเคยประสบพบเจอกับสตรีที่ปากร้ายเช่นนี้ กงเหรินซินเจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่นะ’
“ขอโทษด้วยที่ข้ามิได้มาเร็วกว่านี้ เพราะเห็นว่าเจ้ายังบาดเจ็บและข้าเองก็…”
“ท่านคงต้องรีบกลับไปดูแลน้องสาวสินะ เช่นนั้นก็รีบกลับไปเถอะ”
หมิงเว่ยเซียวทำตัวไม่ถูกเลยจริง ๆ เมื่อกงเหรินซินที่เปลี่ยนไปมากถึงขนาดที่เขารู้สึกเกร็งเวลาคุยกับนาง เมื่อก่อนแค่เขาหันไปมองนางก็มักจะทำเอียงอายและยิ้มให้ แม้เขาจะกล่าวตำหนิหรือทำเป็นไม่สนใจแต่นางก็มักจะไม่ยอมแพ้ แต่นี่นางนั่งนิ่ง ๆ และมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน หรือว่าเกิดจากเรื่องในวันนั้นที่คุกใต้ดินในจวนอ๋องของเขา
“เรื่องในวันนั้นข้าเป็นคนผิดเอง ดังนั้นจึงได้ส่งยาชั้นดีมาให้เจ้าหลังจากที่ทราบเรื่อง โชคดีที่เจ้าดีขึ้นแล้วมิเช่นนั้น…”
“ท่านว่าอะไรนะ ยาที่ข้ากิน…”
กงเหรินซินพึ่งจะรู้ว่ายาที่ใช้รักษาอาการของนางก่อนหน้านี้ถูกส่งมาจากจวนท่านอ๋อง มิน่าเล่าอาการของนางจึงได้ฟื้นตัวเร็ว ยังเหลือเพียงแผลที่ถูกแส้ของจางลี่เหมยฟาดเท่านั้นที่ยังไม่หายดี นางยังรู้สึกเจ็บจนบางครั้งก็เผลอนั่งห่อหลังเพราะความแสบร้าวซึ่งท่านอ๋องทรงทราบดีว่าผิวเนื้อของสตรีบอบบางเช่นนางย่อมทนไม่ได้แน่
“วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อมาขอโทษ เรื่องที่ข้าเป็นต้นเหตุทำให้เจ้าบาดเจ็บ แล้วก็แวะมาเยี่ยมเจ้าด้วย”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันสบายดีแล้วเพคะ เช่นนั้นหากไม่มีอะไรแล้ว...”
“เดี๋ยวก่อน”
ท่านอ๋องทรงหยิบขวดยาออกมาจากปกเสื้อและเดินนำมาวางที่โต๊ะข้าง ๆ นาง เขามองดูสีหน้าและอาการของคนตรงหน้า บัดนี้แม้แต่ความเอียงอายหรือใบหน้าที่มักจะแดงก่ำเพียงแค่เขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ ก็ไม่มีให้เห็น ราวกับว่านางมิใช่กงเหรินซินที่เคยรู้จักมาตลอดหลายปีนี้
“นี่คือสิ่งใดเพคะ”
“ยาต้านชวนเป็นยาสมานแผลชั้นดีที่ได้มาจากแดนบูรพา ข้ารู้ว่าที่หลังของเจ้ายังมีรอยแผลจากแส้ดังนั้นจึงได้ให้คนนำมาให้ หวังว่าจะช่วยให้อาการบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้น”
“ยาต้านชวน” ยาสมานแผลชั้นดีที่นางก็รู้จักเป็นอย่างดี อาจารย์ของนางมักจะใช้ยานี้มาให้นางรักษาแผลที่ได้มาจากการฝึกกระบี่ เมื่อเห็นขวดยาก็ทำให้นางรู้สึกคิดถึงจนแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา ทำให้หมิงเว่ยเซียวรู้สึกแปลกใจเมื่อนางหยิบขวดยานั้นไปทันที
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”
“เหตุใดเจ้าจึงดูดีใจเพียงเพราะยาแค่ขวดเดียว”
“ข้า.. คือหม่อมฉัน… ไม่มีอะไรเพคะ”
ท่านอ๋องรู้สึกแปลกพระทัยไม่น้อยเมื่อคนตรงหน้าใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนลงกับเขา เพียงแค่ยาขวดเดียวแต่กลับทำให้นางเปลี่ยนท่าทีไปเช่นนี้ นี่ถึงจะเป็นท่าทางของกงเหรินซินที่เขาคุ้นเคย
“แม้ว่าวันนี้ข้าจะมาเยี่ยมเจ้า แต่เรื่องที่เจ้าถูกคนทำร้ายในจวนข้า กับเรื่องที่เกิดขึ้นในวังเป็นคนละเรื่องกัน ต่อให้เสด็จพ่อจะสั่งมิให้สืบสวนต่อแต่ข้า…”
กงเหรินซินหุบยิ้มและเปลี่ยนท่าทีไปในทันทีเมื่อท่านอ๋องตรัสเรื่องนี้ออกมา นางหันไปมองพักตร์ที่เริ่มตรัสแบบไม่เต็มน้ำเสียงเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของนางอีกครั้ง
“ท่านว่าอย่างไรนะ เช่นนั้นที่ท่านมาในวันนี้ก็เพียงแค่อยากจะบอกว่า ต่อให้ข้าถูกทำร้ายที่จวนของท่านจนปางตายก็ยังไม่คิดที่จะหยุดสงสัยว่าข้าเป็นผู้ลอบสังหารน้องสาวของท่านงั้นหรือ”
“เรื่องที่เจ้าถูกทำร้าย ข้าสั่งลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเต็มที่ไปแล้ว และเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าต้อง…นั่นเจ้าทำอะไร”
กงเหรินซินโยนขวดยาคืนไปให้ท่านอ๋องที่ยืนตรัสอยู่ตรงหน้านาง แววตาแข็งกร้าวทำให้คู่สนทนาซึ่งเป็นถึงองค์ชายถึงกับชะงักไปในทันที พร้อมกับความตกใจและแปลกใจกับท่าทางที่นางแสดงออกมา
“ในเมื่อพระองค์มิได้ตั้งใจจะมาเยี่ยมอย่างที่ปากพูด เช่นนั้นยานี่ขออภัยที่หม่อมฉันมิอาจรับไว้ได้ หากท่านอ๋องไม่มีเรื่องใดแล้วหม่อมฉันขอตัวก่อน ทูลลาเพคะ”