บทที่ 4
Siren part
8.30น.
ไลน์ๆๆๆๆๆๆ
ครืดดดดดด ครืดดดดดดด
พรึบ! ติ๊ด.
[โหล่อีวา นี่มึงอยู่ไหนแล้วหะ อีก30นาทีอาจารย์จะเข้าสอนแล้วน่ะมึง]
“เอวา อยู่ในห้องน้ำ ถ้าไม่ทันก็ฝากเลคเชอร์ให้ยัยนั่นด้วยละกัน”
“ฮะเฮียไซเหรอคะ ดะได้ค่ะ เดี๋ยวอลิสเลคเชอร์ให้มันเองค่ะ”
“อืม”
ติ๊ด.
หลังจากที่ผมกดรับสายโทรศัพท์ของเอวาแทนเธอแล้ว ผมก็คว่ำหน้านอนกับหมอนต่ออย่างง่วงนอน ก็ง่วงสิครับเมื่อคืนกว่าจะได้นอนรบกับยัยนั้นเกือบเช้า ก็มันอยากอะเลยจัดสักดอกสองดอก
หึ ก็เธอเล่นใส่ชุดนอนหวิวขนาดนั้นมันก็ต้องอยากเป็นธรรมดาไหมว่ะ
ตุบ! แคร่ก! ก๊อก! แก๊ก!
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะหลับตานอน ผมก็ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงก๊อกแก๊กดังมาจากห้องแต่งตัว ผมจึงพลิกตัวมานอนหงายพร้อมกับลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงมองไปที่ห้องแต่งตัวที่มีร่างบางของเอวากำลังเร่งรีบกับการแต่งตัวเพื่อที่จะไปเรียนให้ทัน...
และไม่นานเธอก็วิ่งออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษา ก่อนจะเดินมาหยิบโทรศัพท์มือถือข้างๆ ผม แต่พอผมเห็นชุดนักศึกษาที่เธอใส่เท่านั้นแหละ จู่ ๆ ความหงุดหงิดแม่งก็ทำงานทันทีเลยวะ
ก็เสื้อมันจะรัดไปไหนวะ! รัดจนกระดุมเสื้อจะปริแตกอยู่แล้ว แล้วกระโปรงทรงเอที่โคตรสั่นนั้นอีก นี่ยัยนี้ไปเรียนจริงๆ เหรอว่ะ
หมับ!
“เดี๋ยว! กระดุมเสื้อจะแตกอยู่แล้ว ไม่คิดจะเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่รึไง” ผมดึงมือเอวามาถามไว้ก่อน ก่อนที่เธอจะได้หันหลังไป
“เรื่องของฉัน ปล่อย ฉันรีบ” เธอหันมาตอบผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่แอบหงุดหงิดว่ะ
“ฉันบอกเพื่อนเธอไว้แล้วว่าถ้าไม่ทันให้จดเลคเชอร์ให้ด้วย เพราะฉะนั้นไปเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ก่อนออกจากห้อง”
“ห้ามก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว นายลืมไปแล้วเหรอ”
หึ ยอกย้อนเก่งซะด้วย ก็เมื่อคืนผมใช้คำนี้พูดกับเธอไงก็เลยย้อนพูดกับผมบ้างว่างั้น หึ! แต่เอาจริงๆ ก็ตามนั่นแหละมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอตามที่เธอพูด แต่โทษทีว่ะ เพราะผมไม่จำเป็นต้องสน!
“ไม่ได้ลืม แต่กระดุมเสื้อมันจะแตกอยู่แล้วอยากโชว์นมให้คนทั้งมหาลัยเห็นรึไงว่ะ”
“ไซเรน นายอย่ามายุ่งวุ่นวายได้ปะ แล้วก็ปล่อยมือฉันได้แล้ว มันจะเก้าโมงอยู่แล้วเนี้ย”
พรึ่บ! ผมไม่สนใจฟังว่าเธอพูดอะไร แต่ผมเลือกลุกออกจากเตียงแล้วลากยัยดื้อเอวาเดินเข้าไปที่ห้องแต่งตัวของเธอแทน พร้อมกับหาเสื้อแจ็คเก็ตของผมที่เคยมาทิ้งที่ห้องของเธอให้เธอใส่
“นายทำบ้าอะไรเนี่ย ฉันไม่ใส่ ไซเรนหยุดเดี๋ยวนี้เลยน่ะ!”
“ใส่มันไปเอวาแล้วห้ามถอดมันออกเด็ดขาดแล้วไอ้กระโปรงเนี่ยไม่มีที่ยาวกว่านี้แล้วเหรอว่ะ”
“ไม่มี ปล่อยฉันได้แล้ว”
พรึบ!!
ตึกตึกตึกๆ
“เอวา!! ฉิบ”
ผมเท้าเอวตะโกนเรียกชื่อยัยตัวดีที่วิ่งหนีผมออกไปจากห้องนอนอย่างเสียงดัง หลังจากที่ยัยนั้นสะบัดมือออกจากมือผมแล้วรีบวิ่งออกไปทันที แม่ง แล้วก็ยังไม่ได้เปลี่ยนกระโปรงด้วยน่ะสัส
พวกคุณไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่าทำไมผมถึงได้อารมณ์เสียกับชุดนักศึกษาของเธอนัก คือแม่งมึงเข้าใจไหมว่ะ ว่ามันรัดจนอีกนิดเดียวอะสัส อีกนิดเดียวกระดุมแม่งก็จะดีดมาโดนตาผมอยู่แล้วก็เลยอยากให้เธอเปลี่ยนตัวใหม่แค่นั้นเอง
อีกอย่างผมไม่ได้หวงยัยนั้นนะ ก็แค่เตือนในฐานะ....เอ๋อ ในฐานะคนที่เห็นร่างกายยัยนั้นได้ทุกอย่างคนเดียวอะ คือจะหวงเธอทำไมในเมื่อเธอไม่ใช่เมียไม่ใช่แฟนผมสักหน่อย
หลังจากที่ยัยนั้นวิ่งออกไปแล้ว ผมแม่งก็นอนไม่หลับแล้ว ก็เลยว่าจะอาบน้ำแล้วกลับคอนโดตัวเองเลย เพราะที่นี่ไม่ใช่คอนโดของผมไงจะให้อยู่ทั้งวันก็คงไม่ได้ว่ะ
ส่วนเมื่อคืนที่ผมมาหาเอวาก็เพราะอยากให้เธอช่วยทำแผลให้หลังจากที่ไปมีเรื่องกับไอ้เวรที่มันยืนกอดเธอเมื่อคืน แต่ที่ไปมีเรื่องกับมันไม่ใช่เพราะหวงเอวาน่ะ คือแม่งเสือกมองหน้าผมก่อนไงประเด็น
ใช่ครับไอ้หน้าอ่อนนั้นมันมองหน้าผม
ก็ตอนที่ผมขับรถออกไปก่อนเอวาตอนนั้นผมดันลืมของไว้ที่ผับ ผมก็เลยต้องกลับรถกลับมาที่ผับอีกครั้งเพื่อมาเอาของ แต่ตอนที่ผมกำลังจะขึ้นรถก็เห็นไอ้เวรที่ยืนกอดเอวายืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ๆ รถมัน มันจะไม่เป็นเรื่องเลยถ้าแม่งไม่เสือกมองหน้าผมอย่างท้าทายอะ
ซึ่งผมเป็นพวกไม่ชอบให้ใครมองหน้าอยู่แล้วไง ถ้ามองหน้าปกติมันจะใช่แบบนั้น แต่ไอ้เหี้ยนั้นมันมองเพราะมันอยากแดกตีนผมไง
ก็จัดไปเลยสิครับมองหน้ากูนักก็ต่อยยับไปสัส นั่นแหละผมกับมันเลยแลกหมัดกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่เฮียผมจะเดินออกมาเห็นแล้วแยกตัวผมออกจากมัน ผมกับมันเลยแยกทางกันแค่นั้น
ตอนแรกเฮียผมก็จะให้ผมไปทำแผลที่โรงพยาบาลนั่นแหละแต่ผมไม่อยากไปไงเลยเลือกที่จะกลับมาคอนโดเอวาเพื่อให้ยัยนั่นทำแผลให้แทน ทำแผลเสร็จมันก็ดึกพอดีเลยค้างกับเอวาไปเลยเพราะขี้เกียจขับรถกลับไปกลับมา...
ด้านเอวา...
แกร๊ก! แอ๊ดดดดด
ฉันเปิดประตูห้องเรียนที่มีอาจารย์กำลังสอนอยู่ข้างหน้า แล้วย่องเข้าไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะไปนั่งที่โต๊ะว่างข้างๆ มิล่า
“ไงมึง มาสายจนได้อะ แล้วเมื่อคืนเป็นไงมาไงเฮียไซถึงไปอยู่ห้องมึงได้อะ” ทันทีที่ฉันนั่งได้ไม่ถึงสองนาทีมิล่าก็ถามถึงไอ้ตัวปัญหาที่ทำให้ฉันมาเรียนสายทันที
เฮ้อ~ รู้สึกซึ้งใจที่เพื่อนโคตรเป็นห่วงอะแทบอยากจะดึงหัวมาจุ๊บเม่ง
“เป็นห่วงหรืออยากเสือก” ฉันถามมันอย่างตรงไปตรงมา ก็ต้องตรงๆแบบนี้แหละจะได้ไม่เสียเวลา
“ทั้งสอง” แล้วดูคำตอบของมัน โคตรเสียดายคำชมเมื่อคืนที่อุตส่าห์ชมมันว่าอยู่เงียบๆจัง ขอคืนได้ไหมจะเอาไปฝั่งดิน
แต่สุดท้ายฉันก็ต้องตอบมันแหละเพราะจ้องหน้ารอคำตอบซะขนาดนี้
“เขาไปหากูที่ห้อง แล้วก็ค้างที่ห้องกู”
“หึ เมื่อก่อนไม่เห็นจะไปค้างไม่ใช่เหรอว่ะ”
“อืม แต่หลังๆ เขาไปหาบะ-...”
“เอวริน ณัชชา ตั้งใจเรียนหน่อยค่ะ”
ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบประโยคเสียงอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ข้างหน้าห้องก็หันมาดุฉันกับมิล่าทันทีที่เห็นว่าฉันกับเพื่อนนั่งคุยกันอยู่โดยไม่สนใจสิ่งที่แกกำลังสอนอยู่
ฉันกับมิล่าก็เลยต้องหันไปก้มขอโทษแกพร้อมกันก่อนจะกลับมานั่งตั้งใจเรียนต่อจนจบคลาส...
“อีวา อีมิล่า เมื่อกี้พวกมึงสองคนโม้อะไรกัน บอกมาเดี๋ยวนี้น่ะยะ” หลังจากจบคลาสแล้ว พวกฉันก็เดินลงมาจากตึกเพื่อไปโรงอาหารของคณะ แต่ในระหว่างที่กำลังเดินกันอยู่ แบมบี้มันก็เอ่ยถามเรื่องที่ฉันกับมิล่าคุยกันในห้องเรียน
“ไม่มีอะไร แค่คุยเรื่องทั่วไปอะมึง” ฉันตอบแบมบี้แบบปัดๆ มันไป
“กูว่ารีบเดินไปนั่งที่โต๊ะเหอะ ป่านนี้แล้วเดี๋ยวโรงอาหารคนเต็ม” แล้วฉันก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที กลัวว่ามันจะถามต่อ ก็ฉันไม่อยากเล่าให้มันรู้ว่าไซเรนไปหาเมื่อคืน เดี๋ยวมันก็ได้บ่นฉันอีก รำคาญเสียงมันเวลาบ่น
@โรงอาหารคณะวิทยาการจัดการ
หลังจากที่พวกฉันเดินมาที่โต๊ะในโรงอาหารแล้ว แบมบี้กับอลิสก็อาสาไปซื้อข้าวให้ ส่วนฉันกับมิล่าก็นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะ จนกระทั่งได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดของพวกผู้หญิงในโรงอาหารดังขึ้น ฉันจึงเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือขึ้นไปมองหน้ามิล่ามัน ประมาณว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่าว่ะ แต่สักพักฉันก็รู้สึกว่ามีคนมานั่งข้างๆ ฉัน...
พรึ่บ!
“ไง เอวา” ฉันที่กำลังมองหน้ากันอยู่กับมิล่าเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อฉันจึงหันไปมองทันที...
“นาย...”
“อืม ฉันเอง เดเนียล ขอนั่งด้วยคนดิ”
“ไอ้เนียล มึงจะนั่งมึงดูก่อนว่าเขามากันกี่คน” ฉันละสายตาจากใบหน้าเดเนียลไปมองเพื่อนของเขาสองคนที่กำลังยืนอยู่ ก่อนจะเห็นแบมบี้กับอลิสเดินกลับมาพอดี
“ที่นั่งไม่พออะ นายไปนั่งที่อื่นเถอะ” ฉันบอกเดเนียลด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“เหรอว่ะ งั้นถ้าจะขอเข้าไปนั่งในใจเธอได้ปะ”
“อะฮึ่ม! พ่อหนุ่มสุดหล่อจ๋า มานั่งในใจเขาเอาไหม เขาว่างพอดีเลยค่ะ” เสียงแบมบี้ว่าพร้อมกับทำตาหวานใส่เดเนียล จนเดเนียลลุกขึ้นยืนแล้วให้พวกมันสองคนนั่งแทน ก่อนที่จะหันมาบอกบางอย่างกับฉัน...
“เดี๋ยวตอนเย็นฉันไลน์หา”
พูดจบหมอนั้นก็เดินออกไปจากโรงอาหาร และทันทีที่มันเดินพ้นโรงอาหารไปเสียงกระซิบกระซาบของคนในโรงอาหารที่กำลังพูดถึงฉันกับหมอนั่นเมื่อกี้ก็ดังขึ้นเป็นเสียงแมลงวันเลย แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว อยากพูดก็พูดไปไม่ได้กระทบอะไรกับจิตใจของฉันสักนิด
ตัวแม่จะแคร์เพื่อ?
“เสน่ห์แรงจริงจริ๊ง~เพื่อนกูมีผู้ถ่อมาหาถึงที่” เสียงแบมบี้ว่าอย่างดัดจริต แต่ฉันก็ทำเป็นไม่สนใจเสียงมันนั่งทานข้าวไปอย่างเงียบๆต่อไป
“แล้วนี่มึงไปรู้จักกับคนดังสุดหล่อจากคณะวิศวะได้ไงว่ะ” เป็นอลิสที่ถามฉันอย่างสงสัยเป็นรายต่อมา
อ๋อ...ที่แท้ก็อยู่วิศวะนี่เอง ถึงว่าทำไมเมื่อกี้พวกผู้หญิงมันถึงได้กรี๊ดกันจังที่แท้ก็เด็กวิศวะหลงมานี่เอง
ต้องบอกก่อนว่าคณะฉันกับคณะวิศวะมันไม่ได้อยู่ใกล้กันหรอก มันก็อยู่ห่างกันพอสมควรแล้วไอ้การที่มีเด็กจากคณะนั้นเข้ามาที่นี่ก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ
ก็คณะฉันหลงเด็กวิศวะจะตายไปอีกอย่างเด็กวิศวะไม่ค่อยจะมาแถวนี้หรอก แต่ถ้ามาก็สงสัยได้เลยว่ามาหาคนในคณะแน่นอน
“เมื่อคืนหมอนั้นมันขอไลน์กูไป” ฉันตอบอลิสไปด้วยสีหน้าราบเรียบอีกเช่นเคย ก็ฉันเป็นพวกหน้านิ่งก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไงดีนอกจากทำหน้านิ่งๆ
“แล้วมึงก็ให้?”
“อืม”
“ปกติ มึงไม่แจกไลน์ให้ใครง่ายๆ น่ะเอวา แล้วนี่เป็นอะไร เกิดอยากมีผัวอีกคนว่างั้นเหอะ” แบมบี้ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยแทรกขึ้นมา ฉันจึงเงยหน้าไปตอบมัน
“ก็...ไม่รู้ว่ะถ้าคุยแล้วถูกคออะไรๆ ก็เป็นได้ทั้งนั่นแหละ”
“อ้าวอีนี่ แล้วเฮียไซสุดที่รักมึงล่ะ กูรู้น่ะว่าเมื่อคืนมึงกกเฮียเขาที่คอนโดอะ” ยัยอลิสรีบโวยวายทันทีที่ฉันตอบไปแบบนั้น แสดงว่าเมื่อเช้าเป็นมันสินะที่โทรหาฉันแล้วไซเรนรับสายอะ
“เขาก็อยู่ของเขาไปดิ จะมายุ่งเรื่องส่วนตัวของกูทำไม อีกอย่างตามกฎที่เขาตั้งไว้คือกูกับเขาไม่ได้ผูกมัดอะไรที่จะทำให้ไม่สามารถมีคนอื่นได้”
“โอ้ย กูละปวดหัวกับเรื่องของมึงจริงๆ เลยเอวา วุ่นวายบ้าบอคอแตกมาก” อลิสทำหน้ายุ่งบ่นฉันอย่างปวดหัวก่อนที่มันจะก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานต่อไป ฉันเลยกะว่าจะกินข้าวของตัวเองบ้าง แต่ยังไม่ทันจะได้เอาช้อนเข้าปากเลย ยัยมิล่าก็ถามขึ้นมาอีกคน
“แล้วเมื่อกี้หน้าผัวใหม่มึงไปโดนมาอะไรวะ ปากแตกคิ้วแตกขนาดนั้น” ไม่ต้องกินแล้วมั้งข้าวเนี่ยสัมภาษณ์กูเก่งจังแต่ละคน
เอาจริงๆก็เห็นเหมือนกันนั่นแหละว่าหน้าหล่อๆของหมอนั้นมันมีรอยฟกช้ำแทบจะเกือบทั้งหน้าตามที่ยัยมิล่าว่าจริง ซึ่งเมื่อคืนตอนที่หมอนั้นมาขอไลน์ฉันหน้ามันยังปกติดีอยู่เลย ไม่รู้ไปโดนอะไรมาตอนไหน
แต่ประเด็นก็คือ...ฉันก็ไม่รู้ไง
“กูไม่รู้ แล้วมึงอย่าเรียกว่าผัวกูได้ปะ ฟังแล้วขนลุกฉิบหาย” ตอบเสร็จฉันก็ก้มหน้ากินข้าวต่อทันทีโดยที่เลิกสนใจสิ่งรอบข้างทั้งปวง เพราะฉันหิวจนไส้จะแตกอยู่แล้วยังไงละ