กับดักรัก 8 | ต้องดิ้นรน…

2133 คำ
วันต่อมา มหาลัยวิทยาลัยวาแซร์ ตึกตัก ตึกตัก เสียงร้องเท้ากระทบทางเดินของโดมที่เชื่อมไปยังตึกคณะมนุษย์ฯ ร่างบางในชุดนักศึกษาวิ่งหอบเหนื่อยด้วยความเร่งรีบ วันนี้มีการเฉลยพี่รหัส แถมเซลีนยังมาสายเพราะรอรถโดยสารนาน เมื่อมาถึงทุกคนก็นั่งประจำที่หมดแล้ว ทำให้เซลีนดูโดดเด่นเป็นที่สุด ร่างบางเกิดความประหม่าเมื่อโดนสายตาทุกคนมองมาราวกับตัวเองเป็นตัวประหลาด “ขอโทษ…” “มาสายห้านาที” เสียงรุ่นพี่ผู้หญิงเอ่ยกับเซลีนอย่างเอาเรื่อง สายตาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่ยกขึ้นดู ‘หนามเตย’ รุ่นพี่คณะและหัวหน้าของคณะเชียร์เอ่ย “ขอโทษค่ะ เซย์รอรถนาน แถมวันนี้รถก็ติดมากๆ ด้วยค่ะ” “รถก็ติดทุกวันนั่นแหละ น่าจะเผื่อเวลาดีๆ นี่คือวันสำคัญนะน้อง” หนามเตยยังคงยืนเท้าเอวมองเซลีนด้วยแววตาเหยียดๆ น้ำเสียงไม่ได้ดังมากนัก แต่ทุกคำพูดฟังดูแรงชัดเจนจนคนรอบข้างเริ่มเงียบรอฟังสถานการณ์ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ “ขอโทษจริงๆ ค่ะ เซย์ไม่ได้ตั้งใจ” “ไม่ตั้งใจ แต่มาสาย?” หนามเตยเลิกคิ้ว มุมปากยกยิ้มเหยียดเล็กน้อย เซลีนได้แต่ยืนจ๋อย ไม่เข้าใจว่าทำไมบรรยากาศถึงตึงเครียดขนาดนี้ ทั้งที่ก็เป็นแค่การเฉลยพี่รหัส ทำไมต้องทำเหมือนเธอไปเผาบ้านใครมาแบบนั้นด้วย เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นรอบห้อง หลายคนเหลือบมองเซลีน ตั้งแต่หัวจรดเท้า “งั้นเธอก็รอเฉลยพี่รหัสรอบสุดท้ายแล้วกัน ยืนตรงนั้นก่อน อย่าเพิ่งไปนั่ง” คำพูดนั้นทำเอาเซลีนยืนตัวเกร็ง รู้สึกเหมือนกำลังเป็นนักเรียนที่ถูกครูลงโทษให้อยู่หน้าห้อง ทั้งที่คนอื่นนั่งสบายในห้องแอร์ หนามเตยเหลือบตามองเซลีนอย่างหงุดหงิด ไม่รู้ทำไม พอเห็นหน้าหวานๆ ของน้องปีหนึ่งคนนั้นแล้วมันก็ขัดหูขัดตาไปหมด ยิ่งเห็นพวกรุ่นพี่ผู้ชายเดินผ่านแล้วเหลือบมองเซลีนอยู่เรื่อยๆ ความหงุดหงิดในใจหนามเตยก็ยิ่งพุ่งปรี๊ดขึ้นทุกที “โอเคทุกคน เดี๋ยวเราจะเริ่มเฉลยพี่รหัสกันอย่างเป็นทางการกันเลยนะ” หนามเตยหันไปจัดแจงบรรยากาศเสียงแจ่มใสในแบบของรุ่นพี่หัวหน้าคณะเชียร์ แต่แววตายังแอบมองเซลีนตลอดเวลา เวลาผ่านไปสักพัก ชื่อของเพื่อน ๆ หลายคนถูกขานออก บางคู่ก็กรี๊ดกร๊าดกันอย่างดีใจ บ้างก็ยิ้มขำ บางคู่ก็ตัวติดหนึบเหมือนจะเปิดตัวแฟน “คนสุดท้าย เซลีน พี่รหัสคือ…” เสียงของหนามเตยเว้นวรรคเล็กน้อย แต่ก็แอบเคืองเหมือนกันเพราะพี่รหัสของเซลีน คือ หนุ่มหล่อประจำคณะ “พี่โรม” เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที เซลีนเบิกตากว้าง ไม่ใช่เพราะรู้จัก แต่เพราะ ‘โรม’ คือประธานชมรมกีฬา หน้าตาดี หุ่นดี และเป็นที่หมายปองของสาวๆ แถมยังเป็นคนที่หนามเตยชอบ โรมลุกขึ้นแล้วยิ้ม เดินเข้าไปหาหาเซลีน ก่อนจะยื่นของขวัญเล็กๆ ให้เธอ “ยินดีต้อนรับสู่สายรหัสครับ” “ขอบคุณค่ะ” เธอรับของขวัญจากพี่รหัสมาด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่แล้วเสียงของรุ่นพี่หนามเตยพลันดังขึ้น กลับมาทำให้คนฟังอึดอัดอีกครั้ง “ครั้งหน้าอย่ามาสายอีกนะคะน้องเซย์ ทำเพื่อนรอนี่ไม่ควร” คำพูดของหนามเตยทำให้บรรยากาศเย็นวูบ เซลีนชะงัก ดวงตาฉายความสับสนเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเธอไปทำอะไรให้ผิดนักหนา แต่ก็ยังคงก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ “น้องมาสายห้านาทีเองเตย หยวนๆ ให้น้องหน่อย ทำเหมือนตัวเองไม่เคยมาสายวันประกาศสายรหัส” โรมพูดขึ้นเสียงเรียบ หนามเตยที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกไม่พอใจแต่เก็บอาการ หนามเตยไม่ตอบกลับแต่เดินออกไปหากลุ่มเพื่อนตัวเอง การที่โรมพูดเข้าข้างเซลีน มันยิ่งทำให้หนามเตยไม่ชอบเข้าไปใหญ่ “อย่าไปสนใจเลยเซย์ ต่อให้เซย์มาเร็วก็โดนยัยนั่นหาเรื่องเหมือนเดิม ถ้าคนมันอยากหาเรื่อง อีกอย่างก่อนหน้านี้มีคนมาเร็วกว่าเซย์แค่สองนาที เข้าขั้นสายเหมือนกันยังไม่เห็นยัยนั่นว่าอะไร” โรมพูดให้เซลีนสบายใจ ไม่กังวลกับสิ่งที่หนามเตยพูด เซลีนยิ้มบางๆ พอดูออกว่าหนามเตยไม่ชอบตัวเอง ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันหนามเตยก็พูดจิกกัดทางอ้อม แถมยังมองด้วยสายตาเหยียดๆ หลังจากเสร็จกิจกรรม เซลีนมายังโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมแม่ ร่างบางถือถุงส้มที่แม่ชอบมาด้วย เดินตามโถงทางเดินด้วยรอยยิ้ม เธอนับนิ้วรอวันที่แม่ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านมาอยู่ด้วยกันทุกวัน อีกแค่สามวันเท่านั้น… เธอแทบจะเดินถึงหน้าห้องพักผู้ป่วยของแม่อยู่แล้วเชียว หากไม่ติดที่เสียงล้อเตียงเข็นหมุนด้วยความเร็วสูง และเสียงตะโกนของพยาบาลที่พุ่งมาจากปลายโถง “ขอทางด้วยค่ะ! ขอทางหน่อย! ผู้ป่วยหมดสติ!” เซลีนชะงัก แล้วหัวใจพลันหล่นวูบลงไปที่ตาตุ่ม เธอเบิกตากว้างในจังหวะที่พยาบาลสองคนเข็นเตียงผ่านตรงหน้า ร่างของคนบนเตียงนั้นคือ… “แม่!!” เสียงเธอหลุดออกมาด้วยความตกใจสุดขีด เธอวิ่งตามทันทีโดยไม่สนเสียงห้ามปรามของใครทั้งนั้น เซลีนวิ่งพรวดตามเข้าไปจนเกือบจะถึงหน้าห้องฉุกเฉิน เธอเห็นแม่ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง หน้าซีดขาวจนเลือดฝาดหายไปหมดแล้ว เธอเอื้อมมือหมายจะคว้าข้อมือแม่ไว้ แต่ถูกพยาบาลกันออก “ญาติรบกวนรอข้างนอกนะคะ” “มะ…แม่…” เสียงเธอสั่น เธอเริ่มหายใจไม่ทันเหมือนคนจะเป็นลม ขาถึงกับอ่อนจนต้องพิงกำแพง มือข้างหนึ่งยังกำถุงส้มแน่น ราวกับหวังว่ามันจะช่วยยื้อความรู้สึกให้ไม่หลุดลอยไปกว่านี้ เสียงหัวใจเต้นโครมครามในอกดังราวกับระฆังแตก หูอื้อไปหมด น้ำตาเริ่มไหลออกมาทีละหยด โดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัว มือบางที่สั่นน้อยๆ จากความตกใจพยายามกดเบอร์โทรหาพี่ชาย เสียงรอสายดังขึ้นในหูหลายครั้งจนเธอเริ่มรู้สึกได้ถึงความอ้างว้างในช่วงเวลาที่ต้องการใครสักคนที่สุด (โปรดฝากข้อความ…) เสียงระบบตอบรับเย็นชาดังขึ้นราวกับตบหน้าเธอเบาๆ ความหวังเล็กๆ ที่คิดว่าอย่างน้อยเจ้าของเบอร์นี้จะรับสายทันทีหายวับไปกับตา เซลีนค่อยๆ ดึงโทรศัพท์ออกจากหู นิ้วเรียวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดวางสายโดยไม่ทิ้งข้อความอะไรไว้เลย ร่างบางยังคงพิงกำแพงเย็นเฉียบอยู่ตรงหน้าห้องฉุกเฉิน ถุงส้มในมือตอนนี้แทบจะหลุดร่วง เสียงสัญญาณชีพจากเครื่องข้างในแว่วลอดออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หัวใจเธอสงบลงเลยแม้แต่น้อย “อย่าเป็นอะไรนะคะแม่…” เสียงเธอเบาหวิวเหมือนลมหายใจ ริมฝีปากสั่นระริก น้ำตาเริ่มหยดลงที่ปลายคาง เซลีนกอดตัวเองแน่นขึ้น ในหัวเธอเต็มไปด้วยภาพแม่ที่ยิ้มให้ ภาพที่สองแม่ลูกนั่งกินส้มด้วยกัน เสียงหัวเราะเบาๆ ของกรองแก้วที่เอ่ยชมว่า ‘ส้มนี่หวานจังเลยนะลูก แม่ชอบ’ ยังวนเวียนอยู่ในใจเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน และตอนนี้…เสียงหัวเราะนั้นเงียบหายไป พยาบาลอีกคนเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เซลีนรีบผละออกจากกำแพงแล้วเดินเข้าไปหาแทบจะในทันที “พะ…พี่พยาบาลคะ แม่เป็นยังไงบ้างคะ!” “คุณแม่ยังไม่ฟื้นค่ะ ตอนนี้คุณหมอกำลังดูอาการอยู่ในห้อง เราขอประเมินความดันในสมองด่วน ถ้ามีภาวะบวมเฉียบพลัน อาจต้องส่งผ่าตัดทันทีนะคะ” คำว่า ‘ผ่าตัด’ เหมือนระเบิดที่กดทับลงบนอกเซลีน ใบหน้าสวยซีดเผือดจนแทบไม่มีสีเลือด ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความกลัว “เดี๋ยวสักพักหมอจะออกมาคุยอีกทีนะคะ” เซลีนพยักหน้ารัวๆ ทั้งที่น้ำตาไหลไม่หยุด เธอทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างหน้าห้องฉุกเฉิน สองมือกุมกันแน่นและวางไว้ที่หน้าตักพยายามบีบตัวเองให้สงบ ใจเธอกำลังแหลกละเอียด ห้องตรวจแพทย์ถูกแต่งแต้มด้วยสีขาวสะอาดตา แต่สำหรับเซลีนในตอนนี้ มันกลับรู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูก เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามกับคุณหมอเจ้าของไข้ของคนเป็นแม่ ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวที่นั่งเปิดแฟ้มเอกสารด้วยสีหน้าครุ่นคิด ริมฝีปากเม้มแน่นเหมือนกำลังพิจารณาถ้อยคำที่จะพูดออกมา หัวใจเซลีนเต้นแรงจนน่ากลัว เหงื่อเย็นๆ ไหลตามแนวสันหลัง มือของเธอกำถุงผ้าหิ้วส้มจนยับย่น ราวกับหวังให้มันยึดเธอกลับมาอยู่กับความจริง หมอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเธออย่างจริงจัง “อาการคุณแม่ของคุณตอนนี้ ไม่ค่อยดีนัก” “…” เซลีนเม้มปากแน่น กลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ หัวใจเธอหล่นวูบไปอีกครั้ง “แม่คุณเป็นเนื้องอกที่ก้านสมองอย่างที่เรารู้กันอยู่แล้ว และก่อนหน้านี้ก็ยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ด้วยยา แต่จากการสแกนล่าสุด พบว่าเนื้องอกมีการขยายขนาดกะทันหันครับ ทำให้กดทับต่อมสำคัญหลายจุด และมีภาวะเลือดคั่งร่วมด้วย” “แม่จะเป็นอะไรไหมคะ” เซลีนพึมพำ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “ถ้าไม่รีบทำอะไรตอนนี้ คุณแม่ของคุณอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย” ความเงียบเข้ามากัดกินบรรยากาศอย่างโหดเหี้ยม “การผ่าตัดเป็นทางเดียวในตอนนี้ครับ” หมอพูดต่อ ดวงตาใต้กรอบแว่นของเขาสะท้อนความห่วงใยชัดเจน “แต่เนื่องจากจุดที่เนื้องอกอยู่มันลึกและอยู่ใกล้ระบบสำคัญมาก ความเสี่ยงในการผ่าตัดสูงมากเช่นกัน มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน รวมถึง…เสียชีวิตได้” เสียงคำว่า ‘เสียชีวิต’ กระแทกเข้าหูเซลีนเต็มแรง หูเธอเริ่มอื้ออีกครั้ง น้ำตาพุ่งขึ้นมาคลอหน่วยราวกับระเบิดอารมณ์ที่อัดแน่นมาตลอดชั่วโมงนี้ “หมอจะให้แม่ผ่าตัดเลยเหรอคะ…” น้ำเสียงเธอสั่นเครือ “เราต้องทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ถ้าเรารอ อาการอาจทรุดหนักกว่านี้ และเราจะหมดโอกาสแม้แต่จะเสี่ยง” “แล้ว…ค่าใช้จ่ายล่ะคะ” “ค่อนข้างสูงครับ ผ่าตัดในสมองลึกแบบนี้ ต้องใช้ทีมแพทย์เฉพาะทาง เครื่องมือพิเศษ และมีการดูแลต่อเนื่องในไอซียูหลังผ่าตัด ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นจะอยู่ที่ประมาณเจ็ดถึงแปดแสนบาทครับ” เซลีนแทบลืมหายใจ เธอหลุบตามองพื้น ริมฝีปากสั่นระริก ถึงแม้เธอจะตั้งใจเก็บเงินมาตลอด แต่เธอยังไม่มีถึงครึ่งของจำนวนนั้นด้วยซ้ำ มือบางยกขึ้นปิดปาก กลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดลอดออกมา หัวใจเธอบีบรัดแน่นเจ็บไปหมด “ถ้าคุณตกลง ผมจะให้เจ้าหน้าที่การเงินมาอธิบายขั้นตอนและทางเลือกเพิ่มเติมนะครับ เช่น การขอความช่วยเหลือจากกองทุน หรือผ่อนจ่ายบางส่วนในกรณีพิเศษ” เธอพยักหน้าช้าๆ “ขอให้หมอช่วยแม่หนูด้วยนะคะ…” น้ำเสียงเธอแผ่วราวกระซิบ “หนูจะหาทาง จะทำยังไงก็ได้ ขอแค่ช่วยแม่ไว้ก่อน…” คุณหมอพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าเข้าใจ ก่อนจะยื่นเอกสารเซ็นยินยอมการผ่าตัดให้เธอ เซลีนรับมันมาด้วยมือที่ยังสั่นน้อยๆ ปากกาสีดำที่อยู่ตรงหน้าเธอเหมือนมีน้ำหนักมากกว่าทั้งโลก แต่เธอก็ยกขึ้นมาเขียนชื่อของตัวเองลงไปบนเอกสารด้วยหัวใจที่กำลังแตกสลาย ครืด ครืด ร่างบางที่กำลังเดินไร้เรี่ยวแรงออกมาจากห้องตรวจในสภาพเหม่อลอย เสียงโทรศัพท์พลันดังขึ้น มือเล็กค่อยๆ ยกขึ้นดูก็พบว่าเป็นเบอร์ของพี่ชาย นิ้วเรียวกดรับสาย (โทษทีเซย์ตอนนั้นพี่…) “แม่อาการทรุดลง หมอบอกต้องผ่าตัดด่วน” (วะ…ว่าไงนะ) “พี่เซนต์รีบมาโรงพยาบาลเถอะ” เธอพูดจบก็กดวางสายจากพี่ชายทันที น้ำตายังคงคลอเคล้ารอบดวงตาที่หมองหม่น ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องดิ้นรนหาให้ได้…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม