หลังความวุ่นวายที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เช้านี้จบลง สองสามีภรรยาเตชะนรากูลก็แยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน ภัคพิงค์ลงมาอีกทีก็พบผู้ชายใส่สูทผูกไทน่าภูมิฐานนั่งรอเธออยู่ในห้องอาหารก่อนแล้ว
“มานั่งนี่สิ” นเรนทร์ตบเก้าอี้ตัวข้างๆ
ภัคพิงค์เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ไม่แน่ใจว่าหูแว่วไปเองรึเปล่าถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงเขารื่นหูอยู่ไม่น้อย เช้านี้มีแต่เรื่องที่ทำให้เธอแปลกใจจนอยากจะหยิกตัวเองสักทีสองทีว่าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม มองเขาที่รอคำตอบเธออยู่ หญิงสาวก็พยักหน้ารับ เดินเข้าไปหย่อนกายลงนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ เขาโดยไม่อิดออด
“เช้านี้กินอะไรดี” ปากนเรนทร์เอ่ยถาม แต่จัดการเลื่อนจานขนมปังปิ้งและกาแฟให้เธอก่อน ราวกับจำได้ว่าเป็นของที่เธอมักทานทุกเช้า
“ขอบคุณค่ะ”
แม่บ้านเห็นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารกำลังดี ยากเหลือเกินที่จะได้เห็นเจ้านายทั้งสองร่วมโต๊ะกันอย่างปรองดอง อาศัยตอนที่เหล็กยังร้อนรีบช่วยนเรนทร์ทำคะแนน เลื่อนจานอาหารที่เขาสั่งให้เตรียมเอาไว้ให้ภรรยาโดยเฉพาะ ปากก็เอ่ยชมเจ้านายหนุ่มไม่หยุดว่า
“คนเป็นหมออย่างคุณพิงค์ทำงานหนักกันทั้งนั้น คุณเรนเป็นห่วงสุขภาพของคุณ เลยสั่งให้ป้าเตรียมโจ๊กข้าวกล้องปลาแซลมอน แถมไข่ออนเซ็นฟองโตๆ คุณพิงค์ต้องทานให้หมดนะคะ อย่าให้เสียน้ำใจคนที่เขาห่วงเรา ป้าได้ยินมาว่าเมนูนี้ดีมีประโยชน์มาก นอกจากจะช่วยบำรุงสุขภาพแล้ว ยังช่วยให้ตั้งท้องได้ง่ายด้วย เอ้า...นี่ค่ะ ทานเยอะๆ จะได้มีลูกมีหลานให้คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายชื่นใจสักที”
“คะ แค่กๆๆ” ภัคพิงค์ที่เพิ่งจะตักโจ๊กเข้าปากถึงกับสำลักไม่หยุด แอบบ่นป้าแม่บ้านในใจว่าพูดอะไรก็ไม่ถูก เล่นเอาเธอทำตัวไม่ถูกเลย อยากจะลุกหนีเพราะนั่งปั้นหน้าไม่ไหวแล้ว แต่ก็ถูกนเรนทร์สกัดด้วยการยื่นกระดาษทิชชู่มาให้
“ค่อยๆ กินก็ได้ ไม่มีใครแย่ง”
ภัคพิงค์พยายามเก๊กหน้านิ่ง แสร้งทำเป็นไม่ยินที่เขาเอ่ยแซว รับกระดาษมาก้มหน้าก้มตาเช็ดทำความสะอาดลูกเดียว ทว่าร่องรอยความขัดเขินก็ยังปรากฎให้นเรนทร์เห็นชัดที่ใบหูแดงก่ำน่ารักของเธอ เพิ่มเติมคือมีเศษข้าวติดอยู่ด้วย อาจติดมาจากปลายนิ้วตอนที่ภัคพิงค์ไอก็เป็นได้
ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาก็คิดว่าคำพูดของแม่บ้านฟังดูเข้าท่า ไม่ได้เกลียดหรือรำคาญถ้าจะมีเด็กน้อยสักคนวิ่งเล่นอยู่ในบ้านเขา คงจะมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย
แววตาที่มองภรรยาพลันลึกซึ้งขึ้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว ผิดกับเขาที่ไม่เชิงว่าไม่รู้ แต่แค่แปลกใจมากกว่าที่ช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันที่ได้อยู่ด้วยกัน ความรู้สึกเก่าๆ ที่เคยคิดว่าทิ้งไปหมดแล้ว ดูเหมือนจะหวนกลับมาอีกครั้ง
เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติของ...ใจ
ทั้งที่เป็นฝ่ายทิ้งเธอไปไกลนานถึงสี่ปี กลับมาก็ยังตั้งใจว่าจะหย่า พูดตรงๆ ว่าเขาควรตายใจจากเธอไปนานแล้ว
แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ...
หัวใจที่ควรจะแหนงหน่ายเต็มไปด้วยฝุ่นปกคลุมกลับถูกปัดเป่าให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยิ่งอยู่ใกล้เธอ เขาก็ยิ่งแปลกใจตัวเองที่เอาแต่คิดถึงเธอ สนใจใคร่รู้ทุกความเป็นไปของเธอ ถึงขั้นแอบคิดว่าเสียดายช่วงเวลาสี่ปีที่เราห่างกัน และอีกสี่ปีที่เขาทอดทิ้งเธอให้อยู่อย่างเดียวดาย
แปดปีเชียวนะ!
เขามัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหน มันนานมากเลยนะ นานจนทำให้เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภัคพิงค์เลย ไม่รู้ว่าเธออยู่ดีมีสุขอย่างไร ใช้ชีวิตแบบไหน ชอบหรือไม่ชอบอะไร แล้วสนิทสนมกับใครบ้าง...
ที่น่าเสียดายที่สุดคือในช่วงเวลานั้นไม่มีเขาอยู่ในชีวิตของเธอ!
ย้อนกลับไปในวันแต่งงานของณหทัย สิ่งที่เธอพูดกับเขาแม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่ณหทัยก็พูดถูกอย่างหนึ่งว่า
“รู้มั้ยคะว่าทำไมหม่อนถึงไม่เคยรับรักพี่เรนเลยสักครั้ง ไม่ใช่เพราะหม่อนรักเพลิงครามมากกว่าพี่ แต่เป็นเพราะตัวพี่เองต่างหาก
ทุกครั้งที่พี่เรนมองหม่อน เหมือนพี่กำลังมอง ‘ใคร’ อีกคนอยู่..."