ภัคพิงค์มองกระเป๋าเดินทางใบใหญ่หลายใบที่สาวใช้ทยอยขนเข้าเรือนหออย่างระมัดระวัง ตามที่นางแบบสาวเอาแต่ชี้นิ้วสั่ง เห็นหล่อนกอดแขนสามีเธอเอานมเบียดสีถูกต้นแขนเขาโต้งๆ ส่วนเขาก็มองหล่อนอย่างพอใจ ส่งสายตาเร่าร้อนยั่วยวนกันจนแทบจะอุ้มกันเข้าห้องเสียตอนนี้
ฮึ! ดูเขาจะใจร้อนเหลือเกินนะ เมื่อวานขอเอากิ๊กเข้าบ้านปุ๊บ วันนี้ก็รีบร้อนย้ายมาทันทีเหมือนกับอดใจรอไม่ไหวแล้ว
หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งข่มความไม่พอใจเอาไว้สุดกำลัง ขืนต่อปากหรือยืนเต้นแร้งเต้นกา จะยิ่งทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกในสายตาของนเรนทร์มากขึ้นเท่านั้น เธอตั้งใจจะเดินผ่านขึ้นไปยังชั้นบน วันนี้เธอเหนื่อยกับงานมาทั้งวันแล้ว ไม่อยากรับรู้รับเห็นสิ่งใดให้เป็นทุกข์ นเรนทร์อยากทำอะไรก็ทำ แต่คนข้างกายเขากลับเดินปราดมาขวางหน้าเธอไว้
“ตั้งแต่วันนี้ไปโบว์วี่จะมาอยู่ที่นี่กับคุณเรน ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” คำพูดฟังดูนอบน้อมผิดกับแววตาที่เย้ยหยันลำพองใจ
มุมปากภัคพิงค์กระตุกยิ้มบางๆ เลิกคิ้วมองหล่อนอย่างเหนือกว่า
“มีมารยาทเหมือนกันนี่ รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวดี ค่อยสมกับเป็น ‘เมียน้อย’ ขึ้นมาหน่อย”
“อี...” โบว์วี่ถลึงตามองนังหมอปากหมา เกือบหลุดปากเรียกจิกหัวมัน แต่นึกขึ้นได้ทันทีที่มือหนาบีบลงบนต้นแขนหล่อนแน่น คล้ายเป็นการเตือนว่าเขาไม่ชอบ โบว์วี่จึงหันมายิ้มให้เขาเจื่อนๆ แนบหน้าซบไหล่บึกบึนอย่างออดอ้อน
“คุณเรนฟังที่เมียคุณพูดสิคะ เหมือนไม่ให้เกียรติคุณเลย ถ้าแค่ว่าโบว์วี่คนเดียวก็ไม่เป็นหรอกค่ะ แต่ถ้ามีใครได้ยินเข้า เขาจะคิดว่าคุณเรนเป็นคนยังไงล่ะคะ”
นเรนทร์ไม่สนใจเสียงคนข้างกายมากไปกว่าคนตรงหน้า แววตาเรียวแคบมองภรรยานิ่งลึก ซ่อนความนัยบางอย่างที่ใครก็มองไม่ออก เลิกคิ้วถามเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“คุณอิจฉาโบว์วี่เหรอ?”
ภัคพิงค์พลันสะอึก คอแข็งขึ้นมาทันตา กะพริบตาสองสามทีบังคับขนตาที่สั่นไหวให้หยุดนิ่ง สีหน้าถูกฉาบด้วยความเย็นชาเข้าถึงยากดังเดิม เย็นยะเยือกไปถึงรอยยิ้มที่ไม่ถึงดวงตา ย้อนถามกลับนิ่มๆ ว่า
“เธอมีอะไรให้ฉันต้องอิจฉาเหรอคะ”
“งั้นคุณหมอก็คงไม่ว่าใช่มั้ยคะ ถ้าโบว์วี่จะขอพักห้องคุณเรน” นางแบบสาวชิงพูดแทรกขึ้นอย่างกำเริบ เพราะถือว่าเจ้าของบ้านหนุนหลังหล่อน “คุณเรนคงไม่ว่านะคะ โบว์วี่เพิ่งย้ายมาเลยยังไม่ค่อยชิน กลัวจะแปลกที่ไม่กล้านอนคนเดียว”
คนกลางขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาสนใจว่าภรรยาจะทำอย่างไรมากกว่า อยากรู้ว่าภัคพิงค์จะใจกว้างเป็นแม่น้ำประเคนเขาให้ผู้หญิงคนอื่นถึงเตียงนอนเลยรึเปล่า
ภัคพิงค์ละสายตาเบือนหน้าหนีคล้ายไม่อยากมองสามี เลียริมฝีปากนิดหนึ่งแล้วสั่งสาวใช้เสียงเรียบว่า
“ช่วยย้ายของๆ พิงค์ไปไว้ที่ห้องริมสุดด้วยค่ะ”
“ย้ายไปที่ห้องข้างๆ” น้ำเสียงขุ่นเข้มเกือบกรรโชกสวนขัดขึ้น
ภัคพิงค์หันขวับมามองหน้าสามี ในแววตาสั่นระริกคล้ายฝืนไม่ไหว เจือแววตัดพ้อและเจ็บปวด แต่ก็ยังพยายามสู้ทนด้วยการเม้มปากแน่น เชิดหน้ากลั้นใจเดินผ่านพวกเขาขึ้นไปอย่างมั่นคง แม้แทบไร้แรงยืน โดยไม่เอ่ยอะไรเลยสักคำ
พอถึงห้องปุ๊บ ที่เคยเก่ง ที่เคยสตรอง ที่ว่าแน่โนแคร์โนสน น้ำตาที่สะกดกลั้นไว้ก็ทะลักไหลออกมาราวกับก๊อกแตก ก็คงจะเหมือนหัวใจเธอที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หญิงสาวฟุบหน้าลงกับหมอนสะอื้นแรงจนหัวไหล่สะท้าน สองมือกำแน่น กดหน้าจมหายไปกับหมอนเพื่อปิดกลั้นเสียงร้องไห้ที่น่าสมเพชของตัวเอง เฝ้าแต่ถามคำถามเดิมๆ อยู่ในใจว่า
เมื่อไหร่เธอถึงจะหลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้สักที...
ภัคพิงค์ข่มตากัดฟันแน่น หลุดเสียงสะอื้นอย่างทรมาน หวนคิดถึงปัญหาที่บริษัทของครอบครัวกำลังประสบแล้วยิ่งสับสน หรือจะต้องอดทนให้เขากลั่นแกล้งทำร้ายหัวใจกันจนกว่าจะหนำใจ รอจนตัวเองเจ็บจนหายใจไม่ออกขาดใจตายนั่นละ
ทุกอย่างถึงจะจบ!