บทที่ 4 วางยา 1

791 คำ
ภายในห้องพักรับรองที่เย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ ในใจของภัคพิงค์กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกขมุกขมัวมีแต่ความว้าวุ่น ในหัวหวนคิดถึงมื้ออาหารที่บ้านพ่อแม่สามีเมื่อหลายวันก่อน โดยเฉพาะตอนที่พ่อสามีจงใจเอ่ยถามเธอว่า “ได้ยินว่าคุณพิพัฒน์ป่วย เป็นยังไงบ้างล่ะ” “แค่โรคประจำตัวไมเกรนกำเริบ เพราะช่วงนี้โหมงานหนัก พักผ่อนน้อยค่ะคุณพ่อ” “คนแก่ก็แบบนี้แหละ ป่วยออดๆ แอดๆ ยิ่งวัยอย่างคุณพิพัฒน์ควรจะได้เวลาเกษียณออกมาพักผ่อนเลี้ยงหลานได้แล้ว” ภัคพิงค์ชะงัก เหลือบมองสามีที่ขมวดคิ้วแล้วยิ่งอึดอัด ไม่รู้ควรตอบรับหรือเลี่ยงประเด็นนี้อย่างดี ปกติพ่อสามีไม่เคยพูดถึงเรื่องลูกต่อหน้าเธอกับนเรนทร์ตรงๆ เลยสักครั้ง มักให้ภรรยาเป็นคนออกหน้า แต่วันนี้ไม่รู้เกิดอะไร ท่านจึงพูดขึ้นมาเองราวกับจะเร่งเร้ากดดัน “ถ้ามีอะไรให้พ่อช่วยก็บอกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ เราเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น” ท่านมองตาเธอ คำพูดคำจาคล้ายกับที่แม่สามีเอ่ยตอนอยู่ในสวน ภัคพิงค์เดาว่าพวกท่านคงรู้เห็นเป็นใจกัน ให้แม่สามีมาพูดเกริ่นกับเธอก่อน แล้วท่านจึงมากำชับเธออีกครั้ง ตอนนั้นสำนึกกับความเห็นแก่ตัวตีกันให้ยุ่งเหยิงภายในหัวเธอ ใจหนึ่งบอกให้ตอบรับข้อเสนอของพ่อสามีเพื่อครอบครัว แต่อีกใจก็อยากจะปฏิเสธ เพราะเธอรู้ดีว่านเรนทร์ไม่มีวันเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เขาไม่ต้องการและไม่มีวันยอมให้เธออุ้มท้องลูกของเขาอย่างแน่นอน ภัคพิงค์พยายามชำเลืองมองเขาคล้ายส่งสัญญาณอยู่หลายครั้ง เธอให้สิทธ์เขาเป็นคนเลือก คงจะดีถ้าสามีเธอจะพูดอะไรขึ้นมาสักคำให้เธอตัดสินใจได้ง่ายขึ้น น่าเสียดายที่นเรนทร์เอาแต่เงียบ มีเพียงสีหน้าเรียบตึงกับหัวคิ้วที่ขมวดแน่นฟ้องชัดว่าคัดค้านไม่เห็นด้วย เขาปล่อยให้เธอเผชิญหน้ากับปัญหาที่ถาโถมตัวคนเดียวโดยไม่ไยดีเลย เขาใจดำกว่าที่เธอคิด! หญิงสาวถอนหายใจ ยืนกอดอกมองต้นไม้สูงใหญ่ในยามค่ำคืนอย่างเหม่อลอย เงาของมันทอดยาวแผ่กว้างสร้างความมืดมิดปกคลุมไปทุกที่ เห็นแล้วช่างเงียบเหงาจับใจ... เหมือนกับหัวใจเธอตอนนี้ที่แสนจะอ้างว้างมืดมน คล้ายยืนอยู่ตรงทางแยกเพียงลำพังไร้คนให้พึ่งพา ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ล้วนเจ็บปวดและไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ อยากมีชีวิตอิสระแต่ก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้ ต้องแบกรับอะไรเอาไว้ตั้งหลายอย่าง ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่เต็มใจ ภัคพิงค์เหลือบมองสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะลิ้นชักหัวเตียง คิ้วขมวดขบคิดชั่งใจแล้วชั่งใจอีกว่าจะดำเนินตามแผนการที่วางไว้ดีหรือไม่ แม้จะไร้ยางอายและสิ้นคิด แต่ก็ช่วยทำให้ครอบครัวของเธอรอดได้ บางทีหากครั้งนี้สำเร็จเธออาจจะได้ปลดระวางจากภาระที่หนักอึ้งนี้เสียที ถือว่าได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะขอออกไปใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง ไปอยู่เขาอยู่ดอยคอยรักษาผู้คนที่ยากไร้ตามความตั้งใจที่อยากเป็นหมอ หญิงสาวหลับตาเอนศีรษะพิงกระจก ลองนับวันคร่าวๆ ดูแล้วช่วงนี้อยู่ในระยะตกไข่พอดี ลูกคนนี้มีความสำคัญจริงๆ เธอถอนหายใจโยนศักดิ์ศรีและความนับถือตัวเองที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดทิ้งไปจนหมด ลืมตาขึ้นอีกครั้งปรี่ไปหยิบสมาร์ตโฟนส่งข้อความหาสามี ราวกับกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจว่า Phakpink : มีธุระสำคัญจะคุยด้วย เจอกันที่ห้อง รอจนขึ้นว่าอ่านแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ทันที โดยไม่อ่านว่านเรนทร์จะตอบหรือไม่ตอบข้อความกลับมารึเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะยอมมาไหม ได้แต่ภาวนาขอให้เขามาและไม่มา เธอไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร ทำได้แค่เดิมพันและทำตามแผนต่อไป... ภัคพิงค์ลงไปที่ห้องครัวหยิบไวน์ดีกรีสูงที่นเรนทร์เปิดทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ แล้วรีบกลับขึ้นห้องมาอีกครั้ง เปิดกระเป๋าสะพายหยิบซองยากรอกลงไปในขวด วางไว้บนโต๊ะติดริมมุมกระจกพร้อมแก้วไวน์สองใบ อาศัยแสงไฟสลัวหวามละมุนช่วยสร้างบรรยากาศและปกปิดความละอายใจของเธอ ทิ้งตัวนั่งรอเวลาที่สามีจะกลับบ้าน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม