“ไม่เป็นไรหรอก ฉันบอกว่าสองแสนก็คือสองแสนนั่นแหละ แล้วเธอเรียนหนังสืออยู่รึเปล่า อายุเท่าไหร่แล้ว”
“หนูอายุยี่สิบค่ะ เรียนมหาลัยปีสามเทอมสอง เอกการตลาด”
“อ้อ แล้ว...มีแฟนหรือยัง”
แล้วเขาจะสนใจไปทำไมวะ?
“ไม่มีค่ะ” เธอส่ายหน้าปฏิเสธและนั่นก็ทำให้เขารู้สึก ‘พอใจ’
“โอเค ประวัติครอบครัวเธอก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร งั้นฉันจะไม่ปิดบังปู่เรื่องนี้ ตอนนี้เราก็แค่มาตกลงกันว่าเรื่องของเราสองคนมันเริ่มต้นมาจากอะไร ไปรักกันตอนไหนและคบกันมานานเท่าไหร่แล้วแบบนี้ละกันนะ”
“ค่ะ”
เธอพยักหน้ารับ จากนั้นพวกเขาก็นั่งคุยไปอีกเกือบชั่วโมง ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกันไปนอนพักเพราะยังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อพาเธอไปหาซื้อเสื้อผ้าใหม่อีก
เช้าวันต่อมา
จิณณ์พาเธอไปเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ห้องเสื้อแบรนด์ดังพร้อมกับแปลงโฉมนิดๆ หน่อยๆ ทั้งทรงผมและแต่งหน้าให้ดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งเมื่อหญิงสาวก้าวออกมาจากห้องแต่งตัว ชายหนุ่มก็มองไปที่เธออย่างพิจารณา
ดารภาเป็นผู้หญิงตัวเล็กแต่ก็เต็มไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้งน่ามองทั้งสะโพกกลมกลึงและหน้าอกอวบอิ่มที่ไม่ได้ใหญ่จนน่าอึดอัดแต่ก็ไม่ได้เล็กเลยสักนิด
ชุดเดรสที่เขาเลือกให้เป็นเดรสลูกไม้สีโอลด์โรสคอจีนกระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยซึ่งคิดว่าน่าจะทำให้ปู่ของเขาประทับใจได้ไม่ยากนัก
ผมยาวสวยจนถึงกลางหลังถูกถักเปียด้านหน้าสองข้างแล้วมัดรวบก่อนจะเกล้าขึ้นเหนือศีรษะยิ่งทำให้ใบหน้านั้นสวยหวานน่ามอง
“สวยถูกใจมั้ยคะคุณจิณณ์” เจ้าของห้องเสื้อเอ่ยถามคนที่เอาแต่จ้องตุ๊กตาแสนสวยของเธอไม่วางตา
“ก็...ครับ เสร็จเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“โอเคครับ นี่ครับคิดค่าใช้จ่ายได้เลย”
เขาบอกพลางยื่นแบล็กการ์ดให้กับอีกฝ่าย ซึ่งเธอก็รีบยื่นมือมารับอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณค่ะ รอสักครู่นะคะ”
เมื่อบุคคลที่สามเดินออกไปจากห้องแล้วเขาก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปหาดารภาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พลางมองสำรวจเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง
“คิดว่าคุณปู่ของคุณจะชอบมั้ยคะ” เธอถามอย่างเกร็งๆ เกร็งตั้งแต่ได้ยินราคาของชุดแล้วเพราะมันมีมูลค่ามากกว่าเงินเดือนของเธอทั้งเดือนเสียอีก
“ท่านต้องชอบแน่ ออกไปข้างนอกกันเถอะ”
“ค่ะ” เธอยิ้มบางๆ แล้วเดินตามเขาออกไป หลังจากนั้นเจ้าของห้องเสื้อก็นำแบล็กการ์ดมาคืนให้ทั้งยังเดินไปส่งพวกเขาที่หน้าร้าน คิดว่าจิณณ์คงจะเป็นลูกค้าวีไอพีของที่นี่ เพราะมีมุมเสื้อผ้าและเครื่องประดับของผู้ชายอยู่ด้วย
เมื่อเข้ามาในรถ เขาก็ยื่นกล่องของขวัญสีขาวใบหนึ่งให้กับเธอ
“อะไรเหรอคะ”
“เปิดดูสิ”
เมื่อเขาบอกอย่างนั้นเธอก็เปิดกล่องออกดูอย่างไม่อิดออดและได้เห็นว่ามันเป็นเซตเครื่องประดับที่มีทั้งสร้อยคอที่มีจี้รูปดาว รวมถึงสร้อยแขนเข้าชุดกัน
“นี่คือ...”
“ใส่ซะ ฉันจะบอกปู่ว่ามันเป็นของขวัญครบรอบเป็นแฟนของเรา”
“อ๋อค่ะ”
เธอพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจจึงได้หยิบสร้อยขึ้นมาสวมอย่างเก้ๆ กังๆ เห็นอย่างนั้นเขาก็ยื่นมือมาหา
“เอามานี่ เดี๋ยวฉันใส่ให้เอง”
“ขอบคุณค่ะ” เธอยื่นสร้อยคอให้เขาแล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ โดยไม่ได้คิดเลยว่าแก้มเนียนๆ ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นกำลังทำให้หัวใจหนุ่มโสดเต้นในจังหวะที่แปลกไปกว่าทุกวัน
จิณณ์โน้มตัวเข้ามาสวมสร้อยคอให้กับเธอเมื่อควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติได้ จากนั้นเขาก็นำสร้อยข้อมือสวมลงบนข้อมือซ้ายแล้วมองเครื่องประดับทั้งสองชิ้นที่อยู่บนตัวเธออย่างพอใจ
“จำที่ฉันบอกได้มั้ย ไม่ว่าฉันจะพูดหรือทำอะไรเธอก็ห้ามทำท่าแตกตื่นตกใจ แค่ส่งยิ้มหวานๆ แล้วเห็นด้วยกับฉันทุกอย่างก็พอ เราคงอยู่ที่บ้านปู่ไม่นานหรอก หลังจากกินข้าวเที่ยงแล้วฉันก็จะขอตัวกลับโดยอ้างว่าจะไปเยี่ยมพ่อกับแม่เธอที่โรงพยาบาล ออกจากบ้านปู่เมื่อไหร่ ฉันจะโอนเงินส่วนที่เหลือให้เป็นอันจบงาน เข้าใจนะ”
“ค่ะหนูเข้าใจแล้ว”
“ดีมาก” เขายกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ ก่อนจะไล้มือที่แก้มนุ่มนั้นซึ่งตอนแรกเธอก็ดูตกใจไม่น้อย แต่เมื่อมาคิดว่าเขาอาจกำลังทดสอบเธออยู่ หญิงสาวก็เปลี่ยนแววตาที่ตื่นตระหนกเป็นแววตาที่เหมือนกำลังมองชายคนรัก เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและเขาก็ชอบที่เธอหัวไว
“เอาล่ะ ถือว่าเธอสอบผ่าน ระหว่างทางที่ไปก็ถือว่าให้เวลาเธอทำใจอีกหน่อย จากนี่ไปบ้านปู่คงราวๆ ครึ่งชั่วโมง ทันทีที่ก้าวลงจากรถละครของเราก็จะเริ่มต้น เข้าใจตรงกันนะ”
“ค่ะ”
เธอพยักหน้ารับ เขาจึงได้เคลื่อนรถออกไปจากหน้าร้านแล้วมุ่งตรงไปที่บ้านของปู่อย่างรวดเร็ว
และเมื่อรถยุโรปคันหรูแล่นเข้ามาจอดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ดารภาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มือของเธอเย็นเฉียบ หัวใจก็เต้นแรงคล้ายจะเป็นลมตั้งแต่ยังไม่ก้าวลงจากรถด้วยซ้ำ ซึ่งจิณณ์ก็สังเกตเห็นความประหม่านั้น เขาจึงได้เอื้อมมือไปแตะที่มือของเธอ