บทที่ 2 แพ้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำผิด

1213 Words
อีกด้านหนึ่ง ภายในคฤหาสน์หรูของตระกูลมหิธรานนท์ “หม่ามี้! พี่สิงห์แย่งชีสบอลหนูอีกแล้วอ่ะ!” เสียงโวยวายของ อิงอิง รมิตา กิตติวรกุล ดังลั่นห้องนั่งเล่น พลางวิ่งมาฟ้องมิน ผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งทำงานกับโน้ตบุ๊กอยู่บนโซฟาตัวยาว มินเงยหน้าขึ้น ถอนหายใจน้อย ๆ แบบเอ็นดู “สิงห์ลูก… เราอายุยี่สิบสามแล้วนะ ทำไมยังชอบแกล้งน้องอีกล่ะ แล้วนี่อีกไม่กี่วันน้องก็จะเข้าเรียนคณะเดียวกับสิงห์ แม่จะไว้ใจได้ไหมเนี่ย?” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อ สิงห์ สิงหราช กิตติวรกุล ทายาทคนโตของบ้าน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ ที่ดูทั้งหล่อ ทั้งกวนจนอยากตี “โธ่แม่ ใกล้วันรับน้องแล้ว ไม่มีคำว่าพี่น้องหรอกครับ แต่ถ้าเรื่องความปลอดภัยของน้อง… รับรองได้ ผมได้พ่อมาเต็ม ๆ ไม่ต้องห่วง” พูดจบก็ยกคิ้วขึ้นอย่างภูมิใจในความหล่อและ “ความดี” ของตัวเองราวกับพระเอกแอ็คชัน อิงอิงทำหน้ามุ่ย “ไม่ค่ะหม่ามี้ พี่สิงห์เชื่อไม่ได้เด็ดขาด พี่สิงห์ต้องคิดแผนแกล้งหนูแน่ ๆ!” “เอาล่ะๆ เราสองคนก็โตกันแล้วนะ อย่าทะเลาะกันเหมือนเด็ก ๆ” มินปิดโน้ตบุ๊ก หันมามองทั้งคู่สลับกันด้วยสายตาแม่ผู้ชินกับศึกประจำบ้าน แล้วเธอพูดกับลูกชายเสียงจริงจังเล็ก ๆ “สิงห์ ถ้าเราแย่งของน้อง ก็พาน้องไปซื้อใหม่เลยนะลูก” ยังไม่ทันที่สิงห์จะอ้าปากเถียง อิงอิงก็ร้อง “เย้!” ขึ้นมาทันที พร้อมหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผู้เป็นพี่อย่างสะใจ “แบร่ ๆ !” สิงห์กลอกตา หันไปมองน้องสาวตัวแสบที่ยืนลอยหน้าลอยตา จากนั้นคนตัวสูงก็ลุกขึ้นยืน พับแขนเสื้อเหมือนจะประกาศศึก แล้วพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ยัยแสบ… ไปห้าง XX เดี๋ยวนี้เลย ไปซื้อใหม่ให้หมด จะได้ไม่ต้องมาฟ้องแม่อีก” อิงอิงยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ ก่อนจะยักไหล่ตอบกวน ๆ “ได้ค่ะ ได้ไปแน่นอน… คนขับรถของฉัน” สิงห์ขมวดคิ้วทันที “เดี๋ยวเถอะ ยัยตัวแสบ!” อิงอิงรีบวิ่งหนีไปทางประตู พร้อมหัวเราะคิกคัก ทิ้งให้พี่ชายยืนกัดฟันกรอดแบบทั้งหมั่นไส้ ทั้งเอ็นดูไปพร้อมกัน อีกด้านหนึ่ง ที่ห้าง XX น้ำขิงวิ่งพรวดเข้ามาในห้องพักพนักงานอย่างรีบร้อน หอบหายใจเบา ๆ ก่อนจะพยายามควานหาผ้ากันเปื้อนในล็อกเกอร์เก่า ๆ เพื่อเตรียมเปลี่ยนชุดเป็นพนักงานขายของร้านขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ของพี่สาวที่เธอรู้จัก ทันทีที่เธอเปิดประตูเข้ามา สายตาหลายคู่ก็หันมามองเธอ ไม่ใช่แบบต้อนรับ แต่เป็นสายตาที่ “ไม่อยากให้เข้ามาในห้องเดียวกัน” มากกว่า ที่นี่มีพนักงานอยู่ 5–6 คน ผลัดเวรกันทั้งวัน เจ้าของกิจการไม่ได้เข้ามาบ่อย แต่ถึงจะไม่มีหัวหน้าอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างน้ำขิงกับเพื่อนร่วมงานก็ไม่ดีเลย เธอไม่จำเป็นต้องถาม เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นเพราะอะไร เพราะนามสกุลของเธอ“โสภาพล” นามสกุลที่ใครได้ยิน ก็ทำหน้าเหมือนกลืนของขม นามสกุลที่แม่ของเธอเคยใช้ทำผิด จนกลายเป็นตราประทับบนหน้าผากของลูกหลานว่า “อย่าเข้าใกล้” น้ำขิงสูดหายใจเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ใส่เอี๊ยมพนักงาน เธอไม่แม้แต่จะสบตาใคร เพราะรู้จักดีว่าทุกครั้งที่เธอเงยหน้า… จะมีแต่สายตารังเกียจที่ตอกย้ำว่าเธอแตกต่างจากคนอื่น ‘ช่างมันเถอะ… น้ำขิงมาเพื่อทำงาน หาเงิน ไม่ได้มาตีสนิทใคร’ เธอบอกตัวเองซ้ำ ๆ มือเรียวจัดหมวกพนักงานให้เข้าที่ ก่อนผลักประตูออกไปยังหน้าร้าน เพื่อเริ่มต้นรอยยิ้มปลอม ๆ ตลอดกะอีกวันหนึ่ง ในขณะที่หัวใจเหนื่อยล้าจนแทบหมดแรง ทันทีที่น้ำขิงออกจากห้องพนักงานมาที่หลังร้านเพื่อเตรียมตัวเข้ากะ เสียงกระซิบก็ดังไล่หลังมาเป็นชุด “มาสายอีกแล้วอะ ดูก็รู้ว่าต้องให้คนอื่นทำงานแทนเหมือนเดิม” “แค่ใช้นามสกุลนั้นก็ไม่น่ารับเข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว” “เออ แค่เข้าร้านก็อัปมงคลแล้วปะ กลัวซวยตามอะ” เสียงหัวเราะแผ่วๆ ตามมาจากพนักงานที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ น้ำขิงทำเพียงกำผ้ากันเปื้อนในมือแน่น ไม่ตอบโต้ ไม่มองหน้า เพราะรู้ว่า…ยิ่งเถียง ยิ่งเป็นเรื่อง แต่วันนี้โชคชะตาไม่เข้าข้าง เจ้าของแฟรนไชส์ พี่แก้ม เดินเข้ามาพอดี พร้อมถุงของสดและใบเสร็จมากมายในมือ เธอชะงักเมื่อเห็นพนักงานหลายคนยืนกันเป็นกลุ่ม แต่พอเห็นน้ำขิงยืนตัวแข็งอยู่ด้านหน้า บรรยากาศก็ทำให้เธอต้องถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมยืนกันแบบนี้” ทุกคนรีบส่ายหัวรัว ๆ “เปล่าค่ะพี่ ไม่มีอะไรค่ะๆๆ” “ใช่ค่ะ พวกเราคุยเรื่องของร้านเฉย ๆ” น้ำขิงก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงยืนก้มหน้าเงียบเหมือนทุกครั้งที่ถูกไล่ต้อน พี่แก้มมองสลับไปมา ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง “งั้นขอคุยกับน้ำขิงหลังร้านหน่อยนะ” คนตัวเล็กพยักหน้าทันที แต่หัวใจกลับสั่นแรง…เพราะรู้ว่าการถูกเรียกคุยแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ ที่หลังร้าน พี่แก้มวางกระเป๋าลง หันมามองเธออย่างจริงจัง “ช่วงนี้น้ำขิงมาสายบ่อย มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ” น้ำขิงเม้มริมฝีปาก “ฉัน…มีปัญหานิดหน่อยค่ะ แต่จะพยายามมาให้เร็วกว่านี้นะคะ” พี่แก้มไม่ตอบในทันที แต่เปิดโทรศัพท์ดูอะไรบางอย่าง ก่อนถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ตรงไปตรงมา “แล้วในแชท…น้ำขิงบอกพี่ว่าจะไม่ค่อยได้มาทำงานเหรอ” น้ำขิงสูดลมหายใจ เธอไม่เคยโกหกเรื่องงาน “ค่ะ มหาลัยฉันจะเปิดเทอมแล้ว คงมาทำทุกวันไม่ได้เหมือนเดิม” “อืม…” พี่แก้มพยักหน้าเบา ๆ แต่สีหน้าไม่ได้ดีขึ้นเลย “อีกอย่าง…พี่ได้ยินมาว่า เพื่อนร่วมงานที่นี่ ไม่อยากทำงานกับน้ำขิง จนบางคนถึงกับ พร้อมใจกันจะลาออก มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ” หัวใจน้ำขิงร่วงวูบ เหมือนโดนตบกลางหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว “หนูไม่รู้ค่ะ… หนูเคยพยายามคุย แต่เขาไม่คุยกับหนูเลยค่ะ หนูไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด” คำตอบของเธอมีเพียงความจริง แต่ความจริงไม่เคยช่วยอะไรเธอได้เลย พี่แก้มกดริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนถอนหายใจยาวราวกับตัดสินใจเรื่องยากที่สุดในชีวิต “งั้น…พี่คงต้องเชิญน้ำขิงออกนะ” ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง โลกเหมือนดับไฟไปในเสี้ยววินาที น้ำขิงเบิกตากว้าง “ว–ว่าไงนะคะ…?” “พี่ต้องรักษาพนักงานอีกห้าคนไว้” น้ำเสียงนั้นไม่ได้โกรธ แต่เป็นน้ำเสียงที่ทำให้น้ำขิงรู้ว่า เธอแพ้ แพ้ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD