อีกด้านหนึ่ง ภายในคฤหาสน์หรูของตระกูลมหิธรานนท์
“หม่ามี้! พี่สิงห์แย่งชีสบอลหนูอีกแล้วอ่ะ!”
เสียงโวยวายของ อิงอิง รมิตา กิตติวรกุล ดังลั่นห้องนั่งเล่น พลางวิ่งมาฟ้องมิน ผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งทำงานกับโน้ตบุ๊กอยู่บนโซฟาตัวยาว
มินเงยหน้าขึ้น ถอนหายใจน้อย ๆ แบบเอ็นดู
“สิงห์ลูก… เราอายุยี่สิบสามแล้วนะ ทำไมยังชอบแกล้งน้องอีกล่ะ แล้วนี่อีกไม่กี่วันน้องก็จะเข้าเรียนคณะเดียวกับสิงห์ แม่จะไว้ใจได้ไหมเนี่ย?”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อ สิงห์ สิงหราช กิตติวรกุล
ทายาทคนโตของบ้าน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ ที่ดูทั้งหล่อ ทั้งกวนจนอยากตี
“โธ่แม่ ใกล้วันรับน้องแล้ว ไม่มีคำว่าพี่น้องหรอกครับ แต่ถ้าเรื่องความปลอดภัยของน้อง… รับรองได้ ผมได้พ่อมาเต็ม ๆ ไม่ต้องห่วง”
พูดจบก็ยกคิ้วขึ้นอย่างภูมิใจในความหล่อและ “ความดี” ของตัวเองราวกับพระเอกแอ็คชัน
อิงอิงทำหน้ามุ่ย
“ไม่ค่ะหม่ามี้ พี่สิงห์เชื่อไม่ได้เด็ดขาด พี่สิงห์ต้องคิดแผนแกล้งหนูแน่ ๆ!”
“เอาล่ะๆ เราสองคนก็โตกันแล้วนะ อย่าทะเลาะกันเหมือนเด็ก ๆ”
มินปิดโน้ตบุ๊ก หันมามองทั้งคู่สลับกันด้วยสายตาแม่ผู้ชินกับศึกประจำบ้าน
แล้วเธอพูดกับลูกชายเสียงจริงจังเล็ก ๆ
“สิงห์ ถ้าเราแย่งของน้อง ก็พาน้องไปซื้อใหม่เลยนะลูก”
ยังไม่ทันที่สิงห์จะอ้าปากเถียง
อิงอิงก็ร้อง “เย้!” ขึ้นมาทันที พร้อมหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผู้เป็นพี่อย่างสะใจ
“แบร่ ๆ !”
สิงห์กลอกตา หันไปมองน้องสาวตัวแสบที่ยืนลอยหน้าลอยตา
จากนั้นคนตัวสูงก็ลุกขึ้นยืน พับแขนเสื้อเหมือนจะประกาศศึก แล้วพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ ยัยแสบ… ไปห้าง XX เดี๋ยวนี้เลย ไปซื้อใหม่ให้หมด จะได้ไม่ต้องมาฟ้องแม่อีก”
อิงอิงยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ ก่อนจะยักไหล่ตอบกวน ๆ
“ได้ค่ะ ได้ไปแน่นอน… คนขับรถของฉัน”
สิงห์ขมวดคิ้วทันที
“เดี๋ยวเถอะ ยัยตัวแสบ!”
อิงอิงรีบวิ่งหนีไปทางประตู พร้อมหัวเราะคิกคัก
ทิ้งให้พี่ชายยืนกัดฟันกรอดแบบทั้งหมั่นไส้ ทั้งเอ็นดูไปพร้อมกัน
อีกด้านหนึ่ง ที่ห้าง XX
น้ำขิงวิ่งพรวดเข้ามาในห้องพักพนักงานอย่างรีบร้อน หอบหายใจเบา ๆ ก่อนจะพยายามควานหาผ้ากันเปื้อนในล็อกเกอร์เก่า ๆ เพื่อเตรียมเปลี่ยนชุดเป็นพนักงานขายของร้านขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ของพี่สาวที่เธอรู้จัก
ทันทีที่เธอเปิดประตูเข้ามา
สายตาหลายคู่ก็หันมามองเธอ ไม่ใช่แบบต้อนรับ แต่เป็นสายตาที่ “ไม่อยากให้เข้ามาในห้องเดียวกัน” มากกว่า
ที่นี่มีพนักงานอยู่ 5–6 คน ผลัดเวรกันทั้งวัน
เจ้าของกิจการไม่ได้เข้ามาบ่อย
แต่ถึงจะไม่มีหัวหน้าอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างน้ำขิงกับเพื่อนร่วมงานก็ไม่ดีเลย
เธอไม่จำเป็นต้องถาม
เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นเพราะอะไร
เพราะนามสกุลของเธอ“โสภาพล”
นามสกุลที่ใครได้ยิน ก็ทำหน้าเหมือนกลืนของขม
นามสกุลที่แม่ของเธอเคยใช้ทำผิด จนกลายเป็นตราประทับบนหน้าผากของลูกหลานว่า “อย่าเข้าใกล้”
น้ำขิงสูดหายใจเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ใส่เอี๊ยมพนักงาน
เธอไม่แม้แต่จะสบตาใคร เพราะรู้จักดีว่าทุกครั้งที่เธอเงยหน้า…
จะมีแต่สายตารังเกียจที่ตอกย้ำว่าเธอแตกต่างจากคนอื่น
‘ช่างมันเถอะ… น้ำขิงมาเพื่อทำงาน หาเงิน ไม่ได้มาตีสนิทใคร’
เธอบอกตัวเองซ้ำ ๆ
มือเรียวจัดหมวกพนักงานให้เข้าที่
ก่อนผลักประตูออกไปยังหน้าร้าน
เพื่อเริ่มต้นรอยยิ้มปลอม ๆ ตลอดกะอีกวันหนึ่ง
ในขณะที่หัวใจเหนื่อยล้าจนแทบหมดแรง
ทันทีที่น้ำขิงออกจากห้องพนักงานมาที่หลังร้านเพื่อเตรียมตัวเข้ากะ
เสียงกระซิบก็ดังไล่หลังมาเป็นชุด
“มาสายอีกแล้วอะ ดูก็รู้ว่าต้องให้คนอื่นทำงานแทนเหมือนเดิม”
“แค่ใช้นามสกุลนั้นก็ไม่น่ารับเข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว”
“เออ แค่เข้าร้านก็อัปมงคลแล้วปะ กลัวซวยตามอะ”
เสียงหัวเราะแผ่วๆ ตามมาจากพนักงานที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่
น้ำขิงทำเพียงกำผ้ากันเปื้อนในมือแน่น
ไม่ตอบโต้ ไม่มองหน้า
เพราะรู้ว่า…ยิ่งเถียง ยิ่งเป็นเรื่อง
แต่วันนี้โชคชะตาไม่เข้าข้าง
เจ้าของแฟรนไชส์ พี่แก้ม เดินเข้ามาพอดี
พร้อมถุงของสดและใบเสร็จมากมายในมือ
เธอชะงักเมื่อเห็นพนักงานหลายคนยืนกันเป็นกลุ่ม
แต่พอเห็นน้ำขิงยืนตัวแข็งอยู่ด้านหน้า
บรรยากาศก็ทำให้เธอต้องถามขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมยืนกันแบบนี้”
ทุกคนรีบส่ายหัวรัว ๆ
“เปล่าค่ะพี่ ไม่มีอะไรค่ะๆๆ”
“ใช่ค่ะ พวกเราคุยเรื่องของร้านเฉย ๆ”
น้ำขิงก็ไม่ได้พูดอะไร
เพียงยืนก้มหน้าเงียบเหมือนทุกครั้งที่ถูกไล่ต้อน
พี่แก้มมองสลับไปมา ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง
“งั้นขอคุยกับน้ำขิงหลังร้านหน่อยนะ”
คนตัวเล็กพยักหน้าทันที
แต่หัวใจกลับสั่นแรง…เพราะรู้ว่าการถูกเรียกคุยแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่
ที่หลังร้าน
พี่แก้มวางกระเป๋าลง หันมามองเธออย่างจริงจัง
“ช่วงนี้น้ำขิงมาสายบ่อย มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
น้ำขิงเม้มริมฝีปาก
“ฉัน…มีปัญหานิดหน่อยค่ะ แต่จะพยายามมาให้เร็วกว่านี้นะคะ”
พี่แก้มไม่ตอบในทันที แต่เปิดโทรศัพท์ดูอะไรบางอย่าง
ก่อนถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ตรงไปตรงมา
“แล้วในแชท…น้ำขิงบอกพี่ว่าจะไม่ค่อยได้มาทำงานเหรอ”
น้ำขิงสูดลมหายใจ
เธอไม่เคยโกหกเรื่องงาน
“ค่ะ มหาลัยฉันจะเปิดเทอมแล้ว คงมาทำทุกวันไม่ได้เหมือนเดิม”
“อืม…” พี่แก้มพยักหน้าเบา ๆ
แต่สีหน้าไม่ได้ดีขึ้นเลย
“อีกอย่าง…พี่ได้ยินมาว่า เพื่อนร่วมงานที่นี่ ไม่อยากทำงานกับน้ำขิง จนบางคนถึงกับ พร้อมใจกันจะลาออก มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
หัวใจน้ำขิงร่วงวูบ
เหมือนโดนตบกลางหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว
“หนูไม่รู้ค่ะ… หนูเคยพยายามคุย แต่เขาไม่คุยกับหนูเลยค่ะ
หนูไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด”
คำตอบของเธอมีเพียงความจริง
แต่ความจริงไม่เคยช่วยอะไรเธอได้เลย
พี่แก้มกดริมฝีปากเข้าหากัน
ก่อนถอนหายใจยาวราวกับตัดสินใจเรื่องยากที่สุดในชีวิต
“งั้น…พี่คงต้องเชิญน้ำขิงออกนะ”
ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง
โลกเหมือนดับไฟไปในเสี้ยววินาที
น้ำขิงเบิกตากว้าง
“ว–ว่าไงนะคะ…?”
“พี่ต้องรักษาพนักงานอีกห้าคนไว้”
น้ำเสียงนั้นไม่ได้โกรธ
แต่เป็นน้ำเสียงที่ทำให้น้ำขิงรู้ว่า
เธอแพ้
แพ้ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย