EP 6 : จงใจปล่อยเหยื่อ

1534 Words
ตอนที่ 6 : จงใจปล่อยเหยื่อ ร่างกายกำยำถอยออกมาและก้มหยิบเสื้อเชิ้ตกลับมาสวมใส่อย่างลวกๆตามเดิม นิ้วแกร่งกดหยุดอัดวิดีโอและเก็บโทรศัพท์เครื่องหรูของเธอใส่กระเป๋ากางเกง ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมาในจังหวะที่เขาเก็บโทรศัพท์ของเธอไปพอดี เธอได้แต่มอง เพราะไม่สามารถเอาโทรศัพท์ของตัวเองกลับมาได้ แต่พอได้เห็นว่าเขากลับไปสวมเสื้อตามเดิมทำให้เธอค่อนข้างมั่นใจว่าเขายอมรับในสัญญาของเธอ “ปล่อยฉันแล้วใช่ไหม” “อย่าคิดว่าต่อจากนี้ชีวิตเธอจะเป็นอิสระ ทุกย่างก้าวของเธอฉันรู้หมด ทันทีที่ปริปากบอกเพื่อนของเธอ ชีวิตเธอจะได้ทุกข์ทรมานก่อนตาย” เจโฮปพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ไม่ได้บอกว่าปล่อยหรือไม่ปล่อยเธอ แต่ก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกจากที่นี่ได้พ่นคำขู่ให้คนที่สะอื้นไห้หวาดกลัว “ถ้ามีปัญญาก็แกะเอาเอง แต่ถ้าแกะไม่ได้ก็อยู่ที่นี่ นอนกับผีในหลุมฝังศพ ศพใหม่พึ่งฝังเมื่อวาน” เจโฮปหมุนตัวเดินออกไปทันทีหลังจากพูดจบ ใบหน้าคมคายเรียบนิ่งไม่แสดงออกถึงความเห็นใจแต่อย่างใด ถ้าบอกแล้วเข้าใจตั้งแต่เมื่อเช้า คงไม่ต้องลงมือให้เสียเหงื่อแบบนี้ บรรยากาศกลับมาเงียบสงัดจนน่าขนลุก เธอเห็นลูกน้องของเขาทยอยเดินออกไปหลังจากเจ้านายออกจากบริเวณนี้ไปสักพัก ขนมผิงพยายามใช้ฟันกัดและดึงสายเข็มขัดออกจากมือ ต่อให้เจ็บปวดแต่จะนั่งรอความตายที่นี่ไม่ได้ เธอพยายามบิดข้อมือไปมาและใช้ฟันกัดดึงเข็มขัดครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและคราบน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด “อื้อ...” เธอใช้แรงกระชากสุดแรงจนมือทั้งสองข้างเป็นอิสระ ขอบของเข็มขัดหนังบาดลงบนผิวหนังจนเลือดซิบ มือที่เจ็บแสบพยายามแกะเชือกเส้นหนาที่ข้อเท้า พยายามแก้ปมที่เขามัดไว้แน่นจนคายไม่ออก “ออกสิ ออกสักที” ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของพริกหวานดังก้อง เธอพยายามแกะปมและพยายามบิดขาไปมาเพื่อให้มันหลวม แต่มันไม่เป็นผล ยิ่งบิดแรงผิวหนังก็เสียดสีกับเชือกเส้นหนาจนเจ็บ “ฉันจะอยู่ที่นี่ไม่ได้” นานนับชั่วโมงที่ขนมผิงพยายามแกะเชือกเส้นหนาที่ข้อเท้า เธอพยายามมีสติและนั่งแกะปมไปเรื่อยๆจนในที่สุดปมมัดสุดท้ายได้ถูกคลายออกทำให้ร่างบางหลุดพ้น ขนมผิงพาร่างกายที่เจ็บช้ำออกมานอกตึกร้าง ข้อเท้ามีเลือดไหลซิบๆ แต่จะให้เดินช้าคงไม่ได้ แขนทั้งสองข้างกอดรัดลำตัวไว้แน่นเพราะกระดุมทุกเม็ดถูกกระชากจนขาดไม่สามารถติดได้เลยแม้แต่เม็ดเดียว ร่างกายที่ปวดร้าววิ่งมาตามทางเพื่อไปที่รถของตัวเอง เห็นว่ามันยังจอดอยู่ที่เดิม แต่ไม่มีรถคันนั้นจอดต่อท้ายแล้ว ใบหน้าหวานเริ่มมีความหวังเมื่อกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่รถ แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อกำลังจะเปิดประตูฝั่งที่กระจกแตกละเอียดแต่เห็นล้อยางทั้งสี่ถูกปล่อยลมจนแบน ถึงแม้จะไม่มีอะไรรั้งรถเธอไว้เหมือนตอนแรก แต่รถของเธอไม่สามารถขับเคลื่อนออกไปจากตรงนี้ได้ และโทรศัพท์ของเธอก็ไม่มี “อะไรกับฉันนักหนา” ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น น้ำตาไหลออกมาอาบสองข้างแก้มอีกครั้ง เท่าที่จำได้ในรถของเธอมีเสื้อยืดสำรองไว้ทำให้ขนมผิงเปิดประตูด้านหลังและถอดเสื้อนักศึกษาออกก่อนจะสวมเสื้อยืดเข้าแทน ควานหากระเป๋าเงินที่วางไว้ แต่กลับไร้ซึ่งเงาของมัน “กระเป๋าตังหายงั้นเหรอ” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นพยายามข่มอาการของตัวเอง และเอาตัวเข้าไปด้านหน้ารถเพราะนึกขึ้นได้ว่าพอมีเศษเหรียญและแบงก์ย่อยในลิ้นชักเล็กด้านหน้า ทันทีที่ได้เงินติดตัวทำให้ขนมผิงเดินออกมาตามทางที่เปลี่ยว ใบหน้าหวานแดงก่ำและสะอื้นไห้มาตลอดทางจนมาถึงปากทางที่พอมีรถสัญจรผ่าน “ไม่มีรถแท็กซี่สักคัน โบกคันไหนก็ไม่จอด” ขนมผิงบ่นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ชีวิตนี้ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน จนทำให้บางช่วงเธอสติแตกจนตัวสั่นเทาควบคุมตัวเองไม่ได้ แขนเรียวเล็กโยกเบาๆเป็นการโบกรถที่ผ่านไปผ่านมาแต่ไม่มีคันไหนเหลียวแล ทำให้เธอเดินย้อนสวนรถขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างน้อยยังจำทางที่ขับมาได้บ้าง แสงไฟของรถที่กำลังสวนมาสาดใส่ดวงตากลมโต แสงไฟสีขาวสาดเข้ามาทำให้เธอมองไม่เห็นทางจนเผลอหลับตาแต่เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆทำให้เปิดเปลือกตาขึ้นและเบิกตาโพลงด้วยความตกใจเมื่อแสงไฟของรถที่สวนมาพุ่งมาที่เธอ ไม่ใช่ขับสวนเหมือนคันอื่น “กรี๊ดดดด” เสียงกรีดร้องดังลั่นเท้าเรียวเล็กก้าวถอยหลังอัตโนมัติจนพลาดล้มลงไหล่ทางที่เต็มไปด้วยหินกรวด มือที่ค้ำตัวเองไว้รู้สึกเจ็บแสบ บ่งบอกถึงเศษของมีคมบางอย่างบาดเข้าที่ฝ่ามือ เอี๊ยด เสียงเบรกดังกังวานไปทั่วบริเวณทำให้ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมองรถที่จงใจพุ่งใส่เธอ แต่ทำให้หัวใจดวงน้อยตกไปที่ตาตุ่มเมื่อเป็นรถสปอร์ตคันหรูสีดำคันที่คุ้นเคย “หึ” เจโฮปหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นสภาพของหญิงสาวล้มลงไปที่ไหล่ทาง ก่อนจะเคลื่อนรถออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับเหลือบมองกระจกมองหลังที่มีรถคันสีดำจอดเทียบแทน “พวกแกเป็นใคร” ขนมผิงถามด้วยน้ำเสียงหวาดผวาเมื่อมีรถคันสีดำที่เป็นรถตู้ธรรมดามาจอดแทนรถสปอร์ตคันนั้นที่ขับออกไปแล้ว “ถ้าไม่อยากตายตรงนี้ก็ขึ้นรถ” ชายฉกรรจ์ชุดดำล้วนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม “แล้วจะมั่นใจได้ไงว่าถ้าขึ้นไปฉันจะไม่ตาย” “ผมจะไม่ฆ่าคุณ ถ้าเจ้านายผมไม่สั่ง” คำพูดของชายฉกรรจ์ชุดดำทำให้ขนมผิงเข้าใจบางอย่าง แสดงว่านี่คือลูกน้องของเขา แต่เธอจะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้าขึ้นไปแล้วคนพวกนี้ไม่ทำอะไรเธอ เกิดเขาโทรมาสั่งฆ่าตอนที่เธอขึ้นรถไปแล้วล่ะ “ผมให้เวลาคุณตัดสินใจหนึ่งนาที แต่ถ้าไม่ไปก็อาจตายเพราะถูกฆ่าข่มขืนหรือไม่ก็ฆ่าชิงทรัพย์ แถวนี้ขึ้นชื่อเรื่องพวกนี้อยู่ด้วย” คำขู่ของชายฉกรรจ์ทำให้ขนมผิงหวาดผวา เข้าใจแล้วว่าต่อให้เธอโบกรถคันไหนก็ไม่มีใครจอดเพราะกลัวเธอเป็นนกต่อให้กับโจร ร่างที่แสนเจ็บปวดกัดฟันลุกขึ้นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น จะให้เดินกลับคงไม่ไหว มองอีกมุมถ้าเขาจะฆ่าคงทำตั้งแต่อยู่ในตึกร้างนั้นแล้ว ใบหน้าหวานก้มมองมือตัวเองที่เจ็บแสบและเป็นไปอย่างที่คิด เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากฝ่ามือเธอทำได้เพียงเช็ดคราบเลือดออกอย่างลวกๆ สายตาของชายฉกรรจ์จ้องมองหญิงสาวไม่วางตา เมื่อเธอขึ้นไปนั่งบนรถทำให้ทุกคนขึ้นตามมาประกบซ้ายขวาโดยที่หญิงสาวนั่งตรงกลาง ขนมผิงนั่งนิ่งและไม่อยากต่อสู้อะไรอีกแล้ว นาทีนี้ถ้าเกิดคนพวกนี้พาไปฆ่าก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ความน่ากลัวเธอเจอมาหมดแล้ว เปลือกตาค่อยๆปิดลงเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีก สองชั่วโมงผ่านไป ตุบ “อ๊ะ” “สภาพคุณตอนนี้น่าจะกลับมาที่คอนโดมากกว่ากลับบ้าน หวังว่าคุณจะไม่ปากสว่าง เพราะครั้งหน้าอาจไม่มีโอกาสได้ออกมาจากที่นั่น” ขนมผิงมองชายฉกรรจ์ด้วยสายตาเกลียดชังเมื่อตัวเธอถูกเหวี่ยงลงจากรถในสภาพที่น่าเวทนา มือเรียวเล็กกำหมัดแน่นและข่มความเจ็บ ดวงตากลมโตจ้องมองรถตู้คันสีดำที่ขับเคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็วก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้น หันมองซ้ายที มองขวาที เธอถูกทิ้งด้านหลังคอนโดตัวเองที่ตอนนี้เป็นเวลากลางดึกไม่มีคนเดินพลุกพล่าน มือเรียวเล็กปาดน้ำตาออกจากใบหน้าลวกๆและพยุงร่างกายที่แสนบอบช้ำขึ้นห้อง “พวกคุณเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงรู้เรื่องราวของฉันมากมายขนาดนี้” เสียงที่สั่นเครือพูดกับตัวเอง เหมือนเรื่องส่วนตัวของเธอพวกเขาจะรู้หมด รวมถึงรู้ว่าที่นี่คือคอนโดของเธอและยังรู้ว่าเธอมีบ้านของครอบครัว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD