ตอนที่ 8 : ตัดสินใจตามหา
มหา’ลัย
ขนมผิงลงจากรถแท็กซี่หลังจากจ่ายเงินแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีคนดีๆให้เธอได้สบายใจ คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแถมยังพูดให้เธอสบายใจจนหายหวาดระแวง
เท้าเรียวเล็กภายใต้รองเท้าผ้าใบต้องฝืนเดินทั้งที่ยังมีอาการเจ็บ พยายามทำตัวให้ปกติที่สุด และไม่ได้รู้สึกว่ามีใครตามเหมือนกับตอนที่ออกจากคอนโด
ดวงตากลมโตมองไปทางขึ้นตึกเรียนเห็นรุ่นพี่คนสนิทนั่งเหมือนกำลังรอใครอยู่ และเมื่อใบหน้าคมคายของรุ่นพี่คนสนิทหันมา มือหนาโบกมือและส่งยิ้มให้ นั่นแปลว่าเขากำลังรอเธออยู่ หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวรู้สึกดีขึ้นมานิดที่ได้เห็นรอยยิ้มของรุ่นพี่คนสนิท ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าที่รุ่นพี่คนสนิทมารอเพราะต้องการรอถามเรื่องของเพื่อนสาวคนสนิท
“เมื่อคืนที่เราบอกพี่คือเรื่องจริงใช่ไหม ไม่ใช่ไม่เชื่อนะแต่พี่แค่รู้สึกว่าเสียงเราแปลกๆ พอพี่โทรกลับหาเราก็ปิดเครื่องไปแล้ว”
“พอดีโทรศัพท์ผิงเสียค่ะ อยู่ ๆ ก็ดับ ตอนนี้ก็เลยไม่มีโทรศัพท์ใช้ ส่วนเรื่องยัยพริกคือเรื่องจริงค่ะ” ทั้งที่ปากอยากบอกว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริงแต่ดันต้องโกหกให้อีกคนสบายใจ
ในหัวกำลังตีกันวุ่น เขาคงไม่ได้อยู่แถวนี้เธอก็อาจบอกความจริงและให้พี่นักรบเก็บเป็นความลับได้ แต่ถ้าเกิดพี่นักรบโวยวายขึ้นมา และตามหาจนถึงขั้นจะแจ้งความอีก ชีวิตเธอและพี่นักรบไม่มีโอกาสได้หายใจอีกต่อไปแน่นอน เธอเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นสามารถฆ่าใครก็ได้ สิ่งที่เธอเจอมามันอำมหิตกว่าคนทั่วไป
“พี่ไม่ได้คิดจะแย่งพริกหวานมาเป็นแฟนหรอกนะ ในฐานะพี่ชายแค่เป็นห่วงน้องสาว”
ขนมผิงมองใบหน้าคมคายของพี่นักรบ ถ้าเมื่อคืนเธอหายไปเช้าวันนี้พี่นักรบจะตามหาเธอหรือเปล่า จะเดือดเนื้อร้อนใจแบบนี้หรือเปล่า
“ผิง เป็นอะไรไป สีหน้าเราไม่ค่อยดีเลยนะ” ฝ่ามือหนาเอื้อมมาแตะที่หน้าผากมนของรุ่นน้องคนสนิทเมื่ออยู่ดีๆก็นิ่งและเอาแต่จ้องหน้าเขา
“ปะ เปล่าค่ะ” ดวงตากลมโตยังคงจับจ้องใบหน้าคมคายของพี่นักรบก่อนจะเหลือบมองมือหนาที่วางอยู่บนหน้าผาก พอพี่นักรบเห็นว่าเธอสนใจกับมือทำให้เขายอมผละออกอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรในใจหรือเปล่า พี่ว่าวันนี้สายตาและสีหน้าเราเหมือนกังวลอะไรนะ มีอะไรอยากบอกพี่ไหม?”
“สงสัยเพราะคะแนนสอบออกมาไม่ดีผิงเลยกังวลนิดหน่อยค่ะ เมื่อคืนก็นอนไม่หลับมัวแต่คิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา”
“พี่ก็คิดว่าเรื่องอะไร ถ้าเรื่องสอบมันผ่านไปแล้วปล่อยมันไป ค่อยไปทำคะแนนตีตื้นสอบครั้งหน้าก็ได้” นักรบระบายยิ้มบางๆให้กับรุ่นน้องคนสนิท “งั้นพี่รีบไปทำโปรเจคก่อนนะ ช่วงนี้อาจไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตา ไหนจะเรื่องจบ ไหนจะเรื่องฝึกงาน วุ่นวายตามแบบฉบับมนุษย์ปีสี่”
“ค่ะ” ริมฝีปากบางระบายยิ้มให้กับรุ่นพี่ และมองร่างสูงที่เดินห่างออกไป “ขอโทษที่ต้องโกหกนะคะ แต่ผิงคิดว่าเรื่องนี้พี่ไม่ควรเข้ามายุ่ง ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ให้เกิดขึ้นที่ผิงคนเดียว ผิงจะตามหาความจริงเอง ผิงไม่อยากให้พี่ต้องมาเจ็บตัว” ต่อให้เขาขู่เธอแต่ด้วยความเป็นเพื่อนรักกันจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ และเธอก็ไม่อยากให้พี่นักรบต้องมาเจ็บตัว
ขนมผิงเดินเข้ามาในห้องเรียน เดินมาที่โต๊ะที่นั่งประจำ ปกติแล้วจะมีเพื่อนสาวนั่งอยู่เคียงข้าง แต่วันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา และไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง
เธอนั่งคิดอะไรคนเดียวอยู่สักพักจนในที่สุดอาจารย์ได้เข้ามาสอน แต่ทำให้คิ้วเรียวสวยขมวดเป็นปม ปกติจะเป็นอาจารย์พิเศษคนใหม่ แต่ครั้งนี้เป็นอาจารย์ท่านอื่นแทน
“ไม่ต้องแปลกใจนะเด็กๆ อาจารย์รถเมล์ติดงานด่วน จำเป็นต้องหยุดหน้าที่สอน อาจารย์เลยมาแทนระหว่างที่อาจารย์ประจำวิชาลาพัก” อาจารย์คนใหม่เข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงชวนฟังและส่งสายตาไปที่นักศึกษาทุกคน
ขนมผิงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงเข้าใจ พอถึงขั้นตอนการเช็คชื่อเข้าห้องเรียน ชื่อเธอกับชื่อของเพื่อนสาวอยู่ใกล้กัน คงต้องบอกว่าเพื่อนลาป่วยไปก่อน
“ขนิษฐา”
“มาค่ะ” เสียงหวานตอบรับเมื่ออาจารย์เรียกเช็คชื่อเข้าห้องเรียน กำลังจะเอ่ยปากบอกว่าเพื่อนลาป่วยแต่ไม่ใช่แบบที่เธอคิด
“ปรเมธ”
“มาครับ”
“หื้อ” ขนมผิงส่งเสียงแปลกใจออกมาเบาๆ เมื่ออาจารย์อ่านข้ามชื่อของเพื่อนสาวคนสนิทไป ไม่ใช่เรื่องน่าผิดพลาดหรืออ่านข้ามแน่นอน ชื่อต่อกันขนาดนี้ยังไงต้องเจอชื่อของเพื่อนสาวคนสนิท
แขนเรียวยาวยกขึ้นขัดจังหวะทำให้อาจารย์หยุดชะงักและมองมาที่เธอ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ คือชื่อเพื่อนที่ต่อจากขนิษฐาอาจารย์ไม่เห็นเรียกเลยค่ะ”
“เพื่อนของเราเหรอ ต่อจากชื่อขนิษฐา...อ่อ มีใบลาป่วยมาส่งให้ที่ห้องพักอาจารย์นะ เห็นว่าลายาวเลยอาจารย์เลยขีดฆ่าชื่อไปและเขียนโน้ตไว้ เห็นว่าได้สิทธิ์ลาพิเศษด้วย”
“ลาป่วยงั้นเหรอ สิทธิ์ลาพิเศษ” ขนมผิงได้แต่พึมพำกับตัวเองและแปลกใจในคำตอบของอาจารย์ แต่เธอไม่ได้ทวงถามอะไรต่อ เพราะไม่อยากให้เป็นที่สนใจ
แสดงว่าทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้วสินะ
ตลอดชั่วโมงการเรียนเธอแทบไม่ได้สนใจสิ่งที่อาจารย์สอนเลยสักนิด มัวแต่นึกถึงเรื่องราวของเพื่อนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงเขาจะบอกว่าเพื่อนของเธออยู่กับแฟนและปกติดี แต่การกระทำของเขาไม่สามารถทำให้เธอปักใจเชื่อได้
ช่วงบ่ายของวันหลังจากเลิกเรียน
รถแท็กซี่มาจอดบริเวณหน้าโรงพัก หญิงสาวร่างเล็กในชุดนักศึกษาลงจากรถและยืนมองหน้าโรงพักอย่างชั่งใจ หลังจากคิดอะไรหลายๆอย่างเธอยอมที่เสี่ยงต่อต้านคำขู่ของเขาเพราะความไม่สบายใจ จะให้ปล่อยเลยตามเลยคงทำใจไม่ได้
“เป็นไงเป็นกัน ไม่มีทางพึ่งอื่นแล้วนิ จะให้อยู่เฉยได้ยังไงกัน” เมื่อสร้างความฮึกเหิมให้ตัวเองทำให้เท้าเรียวเล็กก้าวเข้าไปในโรงพักแบบมั่นใจ ใบหน้าและดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“สวัสดีครับ มีอะไรให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวทักทายนักศึกษาสาวที่เดินเข้ามา
“พอดีเพื่อนหายไปเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วเลยจะมาแจ้งความค่ะ และมาแจ้งให้ตัวเองที่โดนทำร้ายค่ะ” ขนมผิงพูดพร้อมกับถอดเสื้อคลุมคาดิแกนออกทำให้เห็นรอยช้ำที่ข้อมือและดึงชายกระโปรงขึ้นทำให้เห็นข้อเท้าที่มีรอยช้ำ รวมถึงบาดแผลที่ฝ่ามือที่มีปลาสเตอร์ปิดไว้ อีกทั้งตามแขนยังมีรอยช้ำม่วงช้ำเขียว ด้วยที่เธอผิวขาวทำให้เห็นสีของรอยช้ำชัดเจน
“แยกลงบันทึกประจำวันทั้งสองเรื่องไว้ก่อนนะ ขอรายละเอียดอย่างชัดเจน ทางเจ้าหน้าที่จะช่วยประสานงานให้ ส่วนคนที่ทำร้ายทางตำรวจจะขอสเกตช์ภาพและดำเนินการตามกฎหมายในลำดับต่อไป”
“ขอบคุณค่ะ” ขนมผิงรีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เท่าที่จำมาจากพี่นักรบต้องมีใบแจ้งความไปขอดูกล้องวงจรปิด และนี่ก็ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่เพื่อนสาวหายไปแล้วทำให้แจ้งความได้ ไม่ลืมที่จะปกป้องตัวเองจากการถูกทำร้าย เธอไม่รู้ว่าเขามีอำนาจขนาดไหนแต่ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแล้วปล่อยให้ตัวเองถูกคุกคาม
ขนมผิงจัดการเล่าเรื่องราวทั้งหมดเพื่อบันทึกประจำวัน ส่วนของเพื่อนเล่าตั้งแต่หายตัวไป พาดพิงถึงคนที่น่าจะเกี่ยวข้องที่สุด ในส่วนของเธอบอกชัดเจนว่าเจโฮปคือคนที่ทำร้ายเธอจนเกิดบาดแผลและรอยช้ำ และคนที่สเกตช์ภาพเก่งมากเลยทีเดียว ร่างภาพออกมาเหมือนเจโฮปมาก
“คนที่ทำร้ายร่างกายคือนายเจโฮปค่ะ หนูรู้จักชื่อเขาแค่นี้ ไม่รู้ว่าเขามีชื่อจริงอื่นหรือเปล่า สถานที่ที่เขาทำร้ายหนูเป็นย่านชานเมืองเป็นสถานที่ตึกร้าง ถ้าคุณตำรวจไม่เชื่อลงไปพื้นที่นั้นได้ค่ะ นอกจากผู้ชายคนนั้นทำร้ายหนูแล้ว เขายังทำลายรถยนต์ของหนูด้วย รวมถึงขโมยโทรศัพท์หนูไป”
คำพูดของขนมผิงถูกบันทึกประจำวัน นานนับชั่วโมงที่ขนมผิงให้การกับตำรวจ การแสดงออกและความร่วมมือของตำรวจทำให้ขนมผิงค่อนข้างสบายใจ
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือประชาชนนะคะ” ขนมผิงยกมือไหว้เพื่อเป็นการร่ำลาและระบายยิ้มให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนจะก้มมองเอกสารบันทึกประจำวันในมือที่มีสองแผ่น แผ่นหนึ่งเป็นการแจ้งคนหายของเพื่อนสาว อีกแผ่นหนึ่งเป็นการแจ้งเรื่องที่เธอถูกทำร้ายร่างกาย
“ต้องไปโรงพยาบาลต่อสินะ”
ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความหวัง นอกจากจะขอดูกล้องวงจรปิดจากโรงพยาบาลแล้ว เธอจะขอดูพื้นที่ละแวกนั้น ถึงจะไม่เก่งกับเรื่องพวกนี้แต่เคยเห็นตามข่าวในการติดตามตัวคนร้ายมาบ้าง