หลายวันต่อมา...
วันนี้ก็ไม่ต่างจากหลายวันที่ผ่านมา หลังจากเลิกเรียนพรนัชชาก็ต้องเดินแยกออกจากกลุ่มเพื่อนที่เดินออกมาจากอาคารเรียนด้วยกัน เพื่อนทุกคนเดินมุ่งหน้าไปยังประตูรั้วหน้าโรงเรียนเพื่อกลับบ้านส่วนเธอเดินแยกตัวไปยังสนามบาสเก็ตบอลเพื่อหาที่นั่งรอพี่พร้อมซึ่งส่งข้อความมาบอกว่าวันนี้อาจจะเลิกช้ากว่าทุกวันเพราะต้องแวะไปดูน้องๆที่ห้องสภานักเรียนก่อน
ดวงตากลมโตมองม้านั่งที่ถูกจับจองจนหมดด้วยสายตาระห้อย เธอยืนรออยู่ว่าจะมีใครลุกออกจากที่นั่งไหม ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครลุกออกจากโต๊ะ มีแต่เสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนามที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแน่ใจว่าเธอคงจะไม่โชคดีเหมือนอย่างวันแรกก็ตั้งใจจะเดินกลับไปที่อาคารเรียนของตัวเองเหมือนเดิม แต่ทว่ายังไม่ทันที่จะก้าวเดินก็ต้องหยุดนิ่งให้กับคนตัวสูงที่เดินเข้ามาหยุดตรงหน้า
“พี่คลื่น... สวัสดีค่ะ” หญิงสาวส่งยิ้มทักทาย พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้เพื่อนสนิทของพี่ชายที่เห็นหน้าค่าตากันมาหลายวัน แม้จะไม่เคยพูดอะไรกันมากกว่าคำว่าสวัสดีค่ะทว่าเราสองคนก็เห็นหน้าค่าตากันเกือบทุกวัน
“ถ้าจะนั่งรอไอ้พร้อมก็ตามมา”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เลือกที่จะเดินตามเขาไปจนถึงม้านั่งที่อยู่ใกล้กับสนามบาสเก็ตบอลที่สุด ซึ่งพอเดินไปถึงโต๊ะพี่คลื่นก็ทำการเก็บรวบรวมกระเป๋าและหนังสือเรียนที่วางกระจัดกระจายเต็มพื้นที่ให้กองรวมกันอยู่จุดเดียว ก่อนจะพยักหน้าให้เธอนั่ง
“นั่งสิ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณ อาจจะเป็นเพราะเธอมัวแต่มองหาโต๊ะว่างก็เลยไม่ทันสังเกตว่าคนที่กำลังเล่นบาสอยู่ในสนามก็คือกลุ่มของพี่คลื่น ทุกคนในสนามบาสอยู่ในชุดเสื้อโปโลกางเกงขายาวเหมือนกันหมดแต่ไม่มีใครโดดเด่นเท่าพี่คลื่นสักคน
“ใครวะไอ้คลื่น? เด็กมึงเหรอวะ?”
คำถามที่แทรกขึ้นมากลางปล้องทำให้เธอกับพี่คลื่นหันหน้าไปมองพร้อมกัน ก่อนจะเป็นพี่คลื่นที่เป็นคนตอบคำถาม
“น้องสาวไอ้พร้อม”
“หือ? น้องสาวไอ้พร้อม?”
“อือ” คฑากรพยักหน้ายืนยันก่อนจะหันหน้าไปมองคนที่ถามตัวเอง
“สวัสดีครับ พี่ชื่ออาร์ทนะครับเรียนห้องเดียวกับไอ้คลื่นแล้วก็ไอ้พร้อมพี่ชายน้อง” อาร์ทแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ ถ้ารอให้คฑากรเป็นฝ่ายแนะนำก็ไม่รู้ว่ามันจะแนะนำหรือเปล่า อาจจะปล่อยให้เขายืนเป็นเสาไฟข้างรั้วต่อไปเรื่อยๆ
พูดกับคนปากหนักแล้วเอาแน่เอานอนไม่ได้
“สวัสดีค่ะ” พรนัชชายกมือขึ้นไหว้ ส่งยิ้มให้อย่างผูกมิตรโดยที่เธอไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มของเธอทำให้ใครบางคนมองด้วยสายตาดุอย่างไม่พอใจ
เท่าที่สังเกตมาหลายวันก็พอจะรู้ว่าเธอเป็นคนยิ้มง่าย ยิ้มเก่ง ยิ้มให้คนอื่นไปทั่ว แต่มันจำเป็นไหมที่จะต้องยิ้มให้กับทุกคน
“แล้วน้องชื่ออะไรครับ?” อาร์ทถามต่อ รู้สึกเอ็นดูน้องสาวเพื่อนขึ้นมาทันที
“ชื่อพะ...” พรนัชชากำลังจะตอบแต่ก็ช้ากว่าคฑากรที่พูดแทรกขึ้นมากลางปล้องราวกับต้องการตัดจบบทการสนทนาระหว่างเธอกับเพื่อนของเขา
“มึงเป็นเจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎร์เหรอถึงต้องรู้ชื่อทุกคน ไปได้แล้ว” พูดจบก็ดึงคอเสื้อของเพื่อนเดินกลับเข้าไปในสนามโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของคนที่ตัวเองกำลังดึงคอเสื้อแม้แต่น้อย
“ไอ้ห่าคลื่นมึงอย่าดึงคอเสื้อกู กูหายใจไม่ออก”
“กูแค่จับ ไม่ได้ดึง”
“แค่จับบ้านพ่องมึงดิ คอเสื้อกูเกือบขาด”
“แล้วมันขาดไหม”
“อ้าว พูดแบบนี้ก็สวยดิ”
“หึ”
พรนัชชามองเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายตรงหน้าด้วยประกายตาขบขัน เพราะรอกลับบ้านพร้อมพีระวัสมาหลายวันก็เลยพอรู้ว่ากลุ่มนี้เขาเล่นกันแรงเป็นปกติ เมื่อเหตุการณ์ในสนามบาสกลับมาเป็นปกติก็หันกลับมาสนใจกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเอง หยิบหนังสือเรียนขึ้นมาวางบนโต๊ะ
จากตอนแรกที่ตั้งใจจะทำการบ้านไปเรื่อยๆระหว่างนั่งรอพี่พร้อม แต่ทว่าพอได้เงยหน้ามองไปยังสนามบาสที่กำลังเล่นกันอย่างจริงจังทำให้หลงลืมการบ้านที่ตั้งใจเอาขึ้นมาทำไปเสียสนิท ดวงตากลมโตมองดูการเคลื่อนไหวของคนตัวสูงในสนามด้วยสายตาเป็นประกายวาววับ แม้จะเป็นการเล่นเพื่อความสนุกสนามทว่าทุกคนในสนามก็เล่นเต็มทีทำให้คนแอบเชียร์อย่างเธอพลอยตื่นเต้นไปด้วย โดยเฉพาะพี่คลื่นที่เล่นดีเล่นเก่งจนเธอตาโต รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เธอเผลอกรี๊ดออกมาเบาๆกับจังหวะที่พี่คลื่นโยกตัวหลอกเพื่อนฝ่ายตรงข้ามแล้วกระโดดชู้ตสามเมตรลงห่วงไปอย่างสวยงาม
เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือดังลั่นสนาม เมื่อหันไปมองรอบๆก็เห็นว่าทุกคนที่นั่งอยู่บริเวณนี้ล้วนเป็นแฟนคลับของพี่คลื่น ที่ทุกคนยังไม่กลับบ้านทั้งที่เลิกเรียนแล้วก็เพราะอยู่รอดูพี่คลื่นเล่นบาสสินะ
หลังจากที่ได้เข้าไปท่องเพจต่างๆของโรงเรียนก็ทำให้เธอรู้ว่าพี่คลื่นฮอตอย่างที่พี่พร้อมบอกจริงๆ ในบรรดานักเรียนที่ถูกโพสต์ในเพจรูปหรือคลิปวิดีโอของพี่คลื่นจะได้เอนเกจเมนต์เยอะที่สุด ถล่มทลายทั้งการกดไลก์การคอมเมนต์และการกดแชร์
และเธอก็เพิ่งรู้ว่าพี่คลื่นเล่นบาสเก่งมาก