ครืดๆ
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเรียกสายตาของพรนัชชาให้หันกลับมามอง เมื่อเห็นว่าใครโทรมาก็รีบกดรับสายทันที
“พี่พร้อม”
“โทษทีนะแพมพี่เพิ่งประชุมกรรมการนักเรียนเสร็จ โทรศัพท์พี่ปิดเสียงเอาไว้ก็เลยไม่เห็นว่าเราส่งข้อความมา” เขาคิดว่าประชุมแป๊บเดียวก็คงเสร็จก็เลยไม่ได้โทรบอกอีกฝ่าย ไม่คิดว่ามันจะลากยาวเป็นชั่วโมงแบบนี้
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เองไม่ได้นานอะไร หนูรอได้” นานกว่านี้เธอก็รอได้
“ทำไมน้องสาวพี่มันน่ารักขนาดนี้วะ แต่เรายิ่งพูดพี่ก็ยิ่งรู้สึกผิดว่ะ เรายังนั่งอยู่ที่เดิมใช่ไหม พี่ขึ้นไปเอากระเป๋าที่ห้องก่อนแล้วจะรีบไปหาไม่เกินสิบนาที”
“ตอนนี้หนูอยู่ที่ห้องเรียนพี่พร้อม”
“ห้องเรียนพี่?” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยคล้ายไม่แน่ใจทำให้พรนัชชายิ้มขำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพี่พร้อมจะทำหน้ายังไง
“ใช่ค่ะ ตอนนี้หนูอยู่ที่ห้องพี่พร้อม ห้องมอหกทับสาม”
“อ้าว แล้วทำไมได้ไปอยู่ที่ห้องพี่ได้ล่ะ ก็ไหนเราส่งข้อความมาบอกพี่ว่าจะนั่งรออยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนข้างสนามบาสไง?”
“หนูรอแล้ว แต่หนูไม่เห็นพี่พร้อมมาซักทีก็เลยเดินมาหาที่ห้อง หนูนึกว่าพี่พร้อมทิ้งหนูกลับบ้านไปก่อนแล้ว”
“ใครจะไปทำแบบนั้นวะ พี่จะปล่อยให้เรากลับบ้านเองได้ไง ขืนพี่ทำแบบนั้นแม่พี่ได้ด่าพี่หูชาแน่ๆ พี่ถูกเรียกประชุมกรรมการนักเรียนด่วน ก็ไม่คิดว่ามันจะนานขนาดนี้” ถึงแม่ไม่ด่าเขาก็ไม่มีวันทิ้งน้อง น้องสาวทั้งคนจะทิ้งลงได้ไง
“แล้วก็ไม่โทรบอกหนูเลย ปล่อยให้หนูนั่งรอตั้งนาน” พรนัชชาพูดเสียงเศร้าทว่าดวงตากลมโตกลับเปล่งประกายวิบวับ
“ขอโทษครับ พี่ไม่คิดว่าจะประชุมนานไงนึกว่าประชุมแป๊บเดียวก็คงเสร็จก็เลยไม่ได้โทรบอกเราก่อน พอเริ่มประชุมก็ยุ่งจนไม่มีเวลาจับโทรศัพท์”
“ไม่ให้อภัยจนกว่าจะง้อหนูด้วยชานมไข่มุก”
“พี่ซื้อให้เราสองแก้วเลย มีร้านชานมไข่มุกอยู่หน้าโรงเรียนตอนออกไปเดี๋ยวแวะซื้อเลย”
“แก้วเดียวก็พอค่ะ สองแก้วเดี๋ยวอ้วน” คนจะได้กินชานมไข่มุกฟรียิ้มแก้มปริ
“เอ่อจริงว่ะ เรายิ่งเตี้ยๆอยู่ด้วย”
“หนูจะโกรธพี่พร้อมก็เพราะบูลลี่ความสูงหนูนี่แหละ หนูไม่ได้เตี้ยแต่พี่พร้อมสูงเกินไปต่างหาก หนูสูงตั้งร้อยหกสิบสองเตี้ยตรงไหนเอาปากกามาวง” ร้อยหกสิบสองถือว่าไม่เตี้ยนะ สูงกว่าค่าเฉลี่ยผู้หญิงไทยตั้งหลายเซนต์ ที่สำคัญเธอเพิ่งจะอายุสิบหกเพิ่งจะอยู่มอสี่ยังมีโอกาสสูงได้อีก
“ใช่ร้อยหกสิบสองจริงเหรอ? ทำไมมันเตี้ยจังวะ ไม่ใช่ตอนวัดส่วนสูงแล้วแอบเขย่งปลายเท้านะ” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“หนูไม่ได้เขย่งเท้าสักหน่อย ถ้าพี่พร้อมไม่เชื่อก็ไปถามป้าทิพย์ได้เลย” ที่บ้านมีทั้งเครื่องชั่งน้ำหนักและที่วัดส่วนสูง ซึ่งเธอก็เพิ่งวัดส่วนสูงไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเปิดเทอมไม่กี่วัน คนที่วัดส่วนสูงให้เธอก็แพทย์หญิงพรรณทิพย์คนสวยมารดาของคนบูลลี่ความสูงเธอนั่นแหละ
ถ้าหนึ่งร้อยหกสิบสองคือเตี้ย ผู้หญิงไทยก็คงเตี้ยไปแล้วเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
“ฮ่าๆ ร้อยหกสิบสองก็ร้อยหกสิบสอง งั้นแค่นี้นะ พี่จะรีบขึ้นไป”
“ไม่ต้องรีบค่ะ เพราะตอนนี้หนูกำลังสำรวจโต๊ะที่พร้อมอยู่ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ารองประธานนักเรียนเป็นเด็กหลังห้อง” พรนัชชาเอ่ยแซว
“รู้ได้ไงว่าโต๊ะพี่ตัวไหน?” พีระวัสสงสัย
“เพื่อนพี่พร้อมบอก” จะว่าไปพี่เขาก็แอบใจดีเหมือนกันนะ หน้าอาจจะนิ่งไม่ค่อยเป็นมิตรแต่ก็ใจดีใช้ได้
“เพื่อนพี่? ใคร? ห้องพี่ยังมีคนอยู่ด้วยเหรอ”
“หนูไม่ได้ถามชื่อ เป็นผู้ชายตัวสูงๆ สูงกว่าพี่พร้อมอีกมั้ง หล่อมากแต่ชอบทำหน้านิ่งๆ แล้วก็ชอบมองตาดุด้วย” พรนัชชาพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆราวกับกลัวว่าใครจะได้ยิน ก่อนจะชำเลืองมองออกไปที่ระเบียงหน้าห้องจุดที่คนตัวสูงที่ตัวเองกำลังพูดถึงยืนอยู่ เธอไม่ได้ลืมถามชื่อเขาหรอกความจริงคือเธอไม่กล้าถามเขาต่างหาก
“ไอ้คลื่นงั้นเหรอ?” พีระวัสเดาว่าเป็นคฑากร เพื่อนในห้องสูงกว่าเขามีอยู่สามสี่คน แต่ถ้าสูงด้วยหล่อด้วยชอบทำหน้านิ่งตลอดเวลาก็มีแค่ไอ้คลื่นคนเดียว
ก็ไหนมันบอกเขาว่าจะแวะไปดูหมวกกันน็อคตัวใหม่ แล้วทำไมยังไม่กลับ
“น่าจะใช่มั้งคะ หนูก็ไม่แน่ใจ แต่พี่เขาบอกว่าเขารอพี่พร้อมเหมือนกัน”
“มันบอกเรางั้นเหรอว่ารอพี่?”
“ค่ะ” พยักหน้าขึ้นลง เธอถามว่าเขาเองก็รอพี่พร้อมเหมือนกันเหรอ ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาว่า ‘อือ’ ก็คือใช่
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ พี่กำลังเดินขึ้นตึก”
“ค่ะ”
พรนัชชากดวางสาย ระหว่างที่นั่งรอพี่ชายเดินขึ้นอาคารเรียนมาก็อดไม่ได้ที่จะสำรวจโต๊ะเรียนของอีกฝ่ายไปพลางๆ อยากจะรู้ว่าโต๊ะว่าที่คุณหมอเป็นยังไง
เธอลืมบอกไปว่าพี่พร้อมตั้งใจจะสอบเข้าคณะแพทย์เพราะมีคุณลุงกับคุณป้าเป็นไอดอล ที่สมัครเป็นรองประธานนักเรียนก็เพราะต้องการสร้างพอร์ตโพลิโอให้กับตัวเอง
พรนัชชาหยิบหนังสือเล่มเล็กใต้โต๊ะขึ้นมาดู แต่ทว่าพอเปิดหน้าแรกแล้วเห็นอะไรบางอย่างก็ตาโตขึ้นมาทันที รีบเก็บหนังสือไว้ที่เดิมแทบไม่ทัน
โต๊ะเรียนตัวที่เธอนั่งไม่ใช่โต๊ะพี่พร้อมอย่างที่เธอเข้าใจ แต่เป็นโต๊ะเรียนของเพื่อนพี่พร้อมที่ชื่อ... คลื่น