บ้านหลังเล็กสีขาวหลังนั้นเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดสามห้องนอน แนวรั้วไม้สีขาวมีพุ่มดอกกุหลาบซึ่งกำลังชูช่อหลากสีดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง ภายในตัวบ้านตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจเน้นโทนสีขาวเป็นหลัก ในห้องนั่งเล่นซึ่งดูอบอุ่นและอบอวลไปด้วยกลิ่นของขนมปังซึ่งหอมอบอวลไปทั่วบ้าน มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นมีคอกเด็กขนาดใหญ่และภายในนั้นมีร่างของเด็กชายอายุราวๆ สามขวบกำลังนั่งเล่นอยู่ภายในนั้น ขณะที่ผู้เป็นแม่ กำลังอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง และกำลังกดโทรศัพท์มือถือในมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ทว่าในระหว่างนั้น กลับมีเจ้าเหมียวสีครีมกระโดดผลุงขึ้นไปนั่งบนตักของเธอ และเริ่มเรียกร้องความสนใจด้วยการถูใบหน้ากับมืออีกข้างของหญิงสาว รวมถึงทั้งขบทั้งเลียอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ ทว่าพอเธอไม่สนใจมัน เจ้าเหมียวสีครีมก็เริ่มส่งเสียวเรียกร้องความสนใจทันที
“แม้ว...”
ปาลินกอดแมวตัวอ้วนสีครีมของตนเองเอาไว้แน่น ขณะตำหนิมันอย่างจริงจังว่า
“ชู่! เงียบหน่อยบี๋”
ปาลินหันไปดุเจ้าเหมียวสุดที่รักซึ่งจู่ๆ ก็วิ่งเข้ามาร้องเรียกความสนใจจากเธอในระหว่างที่เธอกำลังโทรศัพท์อยู่ ถึงจะยังไม่มีคนรับสาย แต่ระหว่างรอสายปาลินก็ไม่อยากให้ใครหรือแม้แต่เจ้า ‘เบบี๋’ แมวสุดที่รักเข้ามาก่อกวน
“แม้ว”
ทว่าเบบี๋...แมวสกอตติชต์โฟดล์กลับร้องประท้วงออกมาอีกหนเหมือนไม่ชอบใจ
“ชู่” ปาลินได้แต่ทำเสียงให้มันเงียบๆ ขณะที่ความสนใจของตนเองยังจดจ่ออยู่กับสัญญาณรอสายอยู่ “อย่าเพิ่งเถียงซี่บี๋”
“แง้ว!”
เบบี๋เริ่มอาละวาดหนักขึ้นราวกับรู้ว่าเธอตำหนิมัน จนปาลินต้องเป็นฝ่ายอ่อนข้อให้เอง หญิงสาวยกมือขึ้นเกาหัวเกาคางให้มันตามที่มันต้องการ พร้อมกับปลอบประโลมมันไปด้วยว่า
“บี๋ใจเย็นอีกนิดนะ ขอแพมคุยธุระก่อนนิดนึงนะ”
“มาววว”
คราวนี้เจ้าเหมียวครางออกมาเสียงอ่อนลง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลทองหรี่ลงด้วยท่าทีพึงพอใจ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ปลายสายกดรับสายจากเธอพอดี ปาลินจึงให้ความสนใจกับคู่สนทนาของตนเองอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล เอล่า!”
ปาลินถอนหายใจโล่งอกที่เอเลน่ายอมรับสายของเธอเสียที ทว่าถึงอย่างนั้น ความร้อนอกร้อนใจที่ทำให้เธอเพียรติดต่ออีกฝ่ายมาตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยสักนิดเดียว
“ว่าไงแพม ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
น้ำเสียงสดใสร่าเริงเหมือนไม่มีความทุกข์ร้อนใดๆ นั้นทำให้ปาลินถึงกับสะอึกไปนิด เธอสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วจึงค่อยๆ พูดออกมาว่า
“ก็...โทรหาเธอเรื่องบ้านน่ะจ้ะ” ปลายสายเงียบไปทันที และปาลินก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอึดอัดใจระหว่างกันได้ทันทีที่เธอเอ่ยถึงเรื่องบ้านหลังนี้ “คือ...เอล่า ฉัน...ฉันย้ายออกไปไม่ได้ตอนนี้จริงๆ ฉันหาบ้านใหม่ไม่ทัน”
ปาลินหลับตาปี๋ขณะตัดสินใจเอ่ยออกไปตามตรง
หญิงสาวพยายามแล้วที่จะหาบ้านหลังใหม่ตั้งแต่ได้รับแจ้งว่าเธอจะต้องย้ายออกหลังจากคุณยายแอนนี่เสียชีวิตได้สองเดือน ทว่าโชคร้าย เธอตกงาน ไม่มีเงิน แรกเริ่มคิดว่ายังมีบ้านอยู่ แต่กลายเป็นว่าเอเลน่ากลับแจ้งให้เธอย้ายออกไปจากบ้านที่หล่อนได้รับเป็นมรดกหลังจากคุณยายแอนนี่ตายไปไม่นาน
ทั้งๆ ที่รับปากกันไว้แล้วว่าจะยอมให้เธออาศัยอยู่อย่างน้อยก็สามปี เป็นค่าตอบแทนที่เธอดูแลคุณยายแอนนี่...รวมถึงให้ยืมเงินรักษาตัวท่านในวาระสุดท้ายของชีวิตอีกด้วย
เมื่อสี่ปีก่อน หลังจากที่เลิกกับเคลเมนต์ ไวแอตและรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ปาลินตัดสินใจย้ายออกมาจากแมนฮัตตัน เนื่องจากต้องการตัดขาดจากอดีตทั้งหมด เธอตัดสินใจย้ายมาอยู่เมืองนี้ เพราะที่นี่คือที่แรกที่เธอย้ายมาอยู่หลังจากที่แม่เธอตัดสินใจแต่งงานกับพ่อเลี้ยงชาวอเมริกันคนแรกของเธอ ซึ่งตอนนั้นเธออายุเพียงห้าขวบเท่านั้น และเธออยู่เมืองนี้กระทั่งอายุสิบห้า ก่อนแม่จะเลิกกับพ่อเลี้ยงคนแรกแล้วพาเธอย้ายไปอยู่ที่นิวยอร์ก แม่ทำงานในร้านอาหารไทย ก่อนจะพบรักกับพ่อเลี้ยงคนที่สองของเธอและแต่งงานกับเขา นั่นทำให้ชีวิตของเธอกับแม่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดเพราะว่าพ่อเลี้ยงคนที่สองนั้นเป็นถึงนักธุรกิจใหญ่ แม้หลังจากนั้นไม่กี่ปีแม่เธอจะตาย พ่อเลี้ยงก็ยังรับเลี้ยงดูแลเธอเสมือนเธอเป็นลูกแท้ๆ ของเขา เธอสำนึกในบุญคุณและพยายามทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนท่าน
...แม้ในยามที่ท่านส่งเธอไปหาเคลเมนต์ ไวแอตเพื่อธุรกิจ เธอก็ยังทำ
กลายเป็นเมียลับๆ ของมหาเศรษฐีหนุ่มชื่อดัง...ก่อนที่จะเลิกรากันไปโดยที่เขาไม่รู้ว่าเธอท้องลูกของเขา
แน่นอนว่าหลังจากนั้นเธอจึงย้ายกลับมาอยู่เมืองนี้ คุณยายแอนนี่ซึ่งเคยเป็นเพื่อนบ้านสมัยเด็กของเธอและสนิทสนมกันดี พอเห็นเธอและรู้เรื่องทั้งหมดก็ให้ความช่วยเหลือ แบ่งบ้านให้เธอได้เช่าในราคาถูกมากระหว่างที่เธอตั้งครรภ์ เธอจึงคอยดูแลท่านเป็นการตอบแทน และหลังจากนั้นไม่นานเอเลน่า ซึ่งเคยเป็นเพื่อนสมัยประถมและเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของคุณยายแอนนี่ก็ย้ายกลับมาอยู่เมืองนี้เช่นกัน
ปาลินรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนอยู่กับครอบครัว ยิ่งในสภาวะที่เธอกำลังตั้งครรภ์และต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ทำให้เธอต้องการที่พึ่งทางใจอย่างมาก เอเลน่าอยู่ในชีวิตเธอในช่วงเวลานั้นพอดี ปาลินไว้ใจอีกฝ่ายถึงขั้นยอมบอกว่าใครคือพ่อของลูกชายเธอให้ฟัง ความเป็นแม่เหมือนกันทำให้เอเลน่าและเธอยิ่งเข้าใจกันดี
ยิ่งช่วงต้นปีที่ผ่านมา อาการโรคหัวใจของคุณยายแอนนี่ทรุดหนัก ด้วยความผูกพันและความสงสาร ปาลินจึงได้เอาเงินเก็บของตนเองไปใช้ในการรักษาคุณยายโดยไม่ได้ทำสัญญาเงินกู้ใดๆ กับเอเลน่า ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็บอกว่าจะพยายามคืนเงินให้เธอโดยเร็วที่สุด ช่วงนั้นปาลินก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เงินเก็บเธอยังพอมีเหลืออีก รวมถึงมีงานทำ ทว่าใครจะคาดคิด พิษเศรษฐกิจจะทำให้ร้านหนังสือที่เธอทำงานอยู่นั้นพยุงตัวเองไม่ไหว จำต้องปิดกิจการไป ขณะที่เงินของเธอเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ถ้ายังมีบ้านอยู่ เธอก็คงอยู่ได้อีกอย่างน้อยครึ่งปี แต่พอมีภาระเรื่องบ้านเข้ามา ไอ้ที่ราคาเธอเอื้อมถึงก็บรรยากาศโดยรอบไม่เอื้อให้เธอเลี้ยงเด็กกับเลี้ยงแมวได้เลย ที่บรรยากาศดีราคาก็สูงเกินไปหน่อยจนเธอสู้ไม่ไหว
ปลายสายซึ่งเงียบไปนานก็ทำเสียงอึกอักลำบากใจออกมา ก่อนจะเอ่ยท่ามกลางความเงียบที่ชวนหนักใจนั้นขึ้นมาในที่สุด
“ฉันก็เข้าใจเธอนะ แต่ว่าไม่ได้จริงๆ ฉันขายมันไปแล้ว เจ้าของใหม่เขาต้องการเคลียร์บ้านให้เร็วที่สุด”
เอเลน่าบอกด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ หล่อนไม่ได้อยากทำเช่นนี้ ทว่าความจำเป็นที่ทำให้หล่อนต้องเห็นแก่ตัว ขายบ้านที่ได้จากคุณยายแอนนี่ไปจนได้
แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ชีวิตสามีของหล่อนก็ไม่ปลอดภัยเช่นเดียวกัน จึงได้แต่จำใจทำร้ายเพื่อนสนิทแบบนั้น
“แต่เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีที่ไป” ปาลินท้วงด้วยความไม่พอใจนิดๆ “อีกอย่างฉันก็ตกงาน...”
“ฉันเองก็กำลังลำบาก ถึงได้ขายบ้านของคุณยายไป”
เอเลน่าด้วยน้ำเสียงลำบากใจยิ่งขึ้น ทว่าเธอก็ไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไมเธอถึงต้องขายบ้านไปปุบปับให้ปาลินได้รับรู้
ใครจะกล้าบอกไปว่าเพราะสามีของเธอติดการพนันกับเดอะไวท์กาสิโน ถึงได้ต้องหาเงินชดใช้หนี้สินจำนวนมหาศาลเหล่านั้น