ต้าเหรินเพนต์เฮ้าส์
ภายในหรูหรา สะอาดและเย็นยะเยือกเหมือนห้องแล็บทดลองพฤติกรรมมนุษย์
ลี่เหม่ยนั่งกินข้าวคนเดียวบนโต๊ะยาวสำหรับหกที่นั่ง มีเพียงเสียงช้อนกระทบจานเบาๆที่เป็นเพื่อนร่วมมื้อเดียวของเธอ
คนตัวเล็กตักข้าวเข้าปากอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางบรรยากาศที่แทบจะกลืนเสียงถอนหายใจของตัวเองเข้าไปด้วย
ผ่านมาเจ็ดวันเต็มนับจากวันที่เธอเซ็นสัญญาแต่งงานและย้ายเข้ามาอยู่ในเพนต์เฮ้าส์ของเสิ่นจวิ้น...ว่ากันตามตรง มันไม่ใช่บ้านเลยสักนิด
เสิ่นจวิ้นกลับเข้าบ้านตรงเวลาเป๊ะทุกวัน ราวกับมีเครื่องจับเวลาฝังอยู่ในร่างกาย เขาเปลี่ยนชุด เดินเข้าห้องทำงานและพูดเพียงไม่เกินสามคำ
คำว่า "อืม", "เข้าใจ", หรือ "ดี" ถูกใช้แทนบทสนทนาทั้งหมด
ในขณะที่ลี่เหม่ยเป็นฝ่ายพยายามหาช่องไฟเพื่อเข้าหา ทั้งพยายามชวนคุยในครัว พยายามเล่าข่าวเมาท์จากมหาลัย หรือแม้แต่แกล้งใส่เสื้อลายเป็ดตอนทานมื้อค่ำเพื่อดูว่าเขาจะหลุดขำไหม (คำตอบคือ...ไม่)
เย็นวันนั้น...เธอกลับมาจากเรียนเหนื่อยล้า ฝนตกซาๆ พอให้รองเท้าผ้าใบเปียกชื้นแต่ไม่ถึงกับลุยน้ำ
บนโต๊ะกินข้าว มีอาหารร้อนๆวางไว้ครบถ้วนจากแม่บ้านเหมือนเดิมแต่ไม่มีใครรอเธอ ไม่มีแม้กระทั่งคำถามว่า "วันนี้เหนื่อยไหม?"
ลี่เหม่ยนั่งลง หยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กใต้หมอนขึ้นมา เธอหยิบปากกาหัวเล็กสีดำ เขียนลงไปช้าๆ
"บ้านนี้ไม่ใช่บ้าน มันคือห้องทดลองมนุษย์เย็นชา"
เธอจิ้มปลายปากกาลงแรงนิดหนึ่ง ก่อนจะเขียนต่อใต้บรรทัดนั้นว่า
"ถ้าวันหนึ่งฉันเลี้ยงเต่าในห้องนั่งเล่น บางที...มันอาจพูดกับฉันมากกว่าเขาก็ได้"
ไว้กว่าความคิด...ก็ลี่เหม่ยนี่แหละ
ร้านสัตว์เลี้ยงริมถนนเจริญกรุง
“ขอเต่าตัวนี้ค่ะ”
เสียงสดใสแต่แฝงความเหงาเอ่ยขึ้นหน้าตู้กระจกของร้านสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กที่แฝงตัวอยู่ระหว่างตึกแถวโบราณริมถนนเจริญกรุง
สาวหน้าหมวยยืนจ้องเต่าตัวจิ๋วที่กำลังเกาะขอบถาดน้ำเล็กๆ ดวงตาของมันเหมือนมองโลกด้วยความสงบแบบไม่หวังอะไร ซึ่งมันก็เหมือนเธอในบ้านหลังนั้น
“เอาตู้เลี้ยงด้วยไหมคะ?”
“เอาหมดค่ะ...ของเล่น เตียงเล็ก อาหาร เต่าทั้งหมดค่ะ”
เธอไม่ได้เลี้ยงเพราะอยากดูแล แต่เพราะอยากมีบางอย่างในห้องที่ตอบกลับเธอได้...แม้จะเป็นแค่เต่าที่ไม่พูด
เมื่อกลับถึงเพนต์เฮ้าส์ ลี่เหม่ยลากกล่องอุปกรณ์เข้าห้องนอนเงียบๆ ตอนที่เจ้าของห้องยังไม่กลับ
เธอวางเต่าลงในตู้แก้วเล็กบนโต๊ะข้างหัวเตียง แล้วนั่งคุกเข่ามองมันอย่างจริงจัง พึมพำเบาๆ
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่คุกกระจกสุดหรู” เธอยื่นนิ้วแตะกระจกเบาๆ พลางยิ้มมุมปาก
“ฉันตั้งชื่อให้นายว่า... ‘เสิ่นเสิ่น’ เพราะนายเงียบเหมือนเขาเป๊ะ แต่โชคดีนะ เสิ่นเสิ่น นายไม่น่าจะดุเท่าเขา”
เจ้าเต่าไม่ตอบและเธอไม่คาดหวังอยู่แล้ว
ลี่เหม่ยยิ้มบาง ลุกขึ้นไปวางกล่องของทั้งหมดแอบไว้ในตู้เสื้อผ้า
คนตัวเล็กที่คิดว่านี่คือภารกิจลับประจำบ้าน เพราะสิ่งของมีชีวิตไม่ได้อยู่ในกฎข้อไหนของเสิ่นจวิ้น
ถึงจะห้ามเลี้ยงสัตว์...แต่ก็ไม่ได้ห้ามเลี้ยงเต่าชื่อเหมือนสามีใช่ไหมล่ะ?
ช่วงกลางดึก...
เสิ่นจวิ้นกลับถึงบ้านด้วยสีหน้านิ่งเฉียบเหมือนเช่นเคย เดินผ่านห้องนอนโดยไม่ได้แวะ แต่ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นแปลกจางๆในอากาศ
“กลิ่นหญ้าแห้ง?” เสียงพึมพำ ก่อนส่ายหน้าเบาๆ เดินเข้าห้องทำงาน
ขณะเดียวกันในห้องนอน ลี่เหม่ยกำลังวางแครอทเส้นในชามเต่า พูดเสียงเบาให้ดูเหมือนบทสนทนา
“เสิ่นเสิ่น นายโชคดีนะ...แค่กิน นอน เดินไปมาในตู้ ยังไม่มีใครบังคับให้นั่งดีๆหรือเซ็นสัญญาแต่งงานหกเดือนเลย”
ใบหน้าหวานยิ้มน้อยๆเหม่ออยู่พักหนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“นายเป็นสิ่งมีชีวิตตัวแรกในห้องนี้...ที่ฉันไม่รู้สึกต้องปกป้องตัวเอง”
แสงไฟในตู้กระจกสะท้อนเงาหน้าเธอบางส่วน ชัดเจนว่าหญิงสาวที่เต็มไปด้วยมุกประชดกวนประสาท...แต่ก็มีบางมุมที่เหนื่อยเกินกว่าจะเถียงและในคืนนั้น ‘เสิ่นเสิ่น’ ก็กลายเป็นความลับในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบเกินไป
แต่ความลับ...มันไม่เคยอยู่เงียบได้นาน โดยเฉพาะในบ้านที่เจ้าของ...คือเสิ่นจวิ้นเหวิน
.
.
วันต่อมา...ที่เหมือนทุกวัน
เสียงประตูหน้าถูกผลักเปิดช้าๆ พร้อมฝีเท้าเรียบนิ่งของเสิ่นจวิ้นที่กลับถึงเพนต์เฮ้าส์ตรงเวลาเป๊ะตามนิสัย
เขาถอดเสื้อสูทพาดกับพนักโซฟา ก้าวเข้าไปในครัวเพื่อล้างมือ ทว่าเพียงวินาทีแรกที่เขาหยิบขวดสบู่...สายตาคมสะดุดกับบางอย่างที่วางอยู่ใกล้เตาอบ
“อาหารสัตว์?”
ซองเล็กๆสีฟ้ามีรูปเต่าพิมพ์อยู่เต็มถุง วางอยู่คู่กับขวดน้ำดื่มขนาดเล็กและกล่องพลาสติกใส่น้ำจืด
เสิ่นจวิ้นขมวดคิ้ว มือกำขอบอ่างแน่นโดยไม่รู้ตัว นิ่งเงียบ...เดินตรงไปยังห้องนอนที่เธอใช้เป็นหลักตั้งแต่ย้ายมาอยู่
ลี่เหม่ยกำลังนั่งยองๆพูดกับตู้กระจกใบเล็กที่วางอยู่มุมห้อง ข้างในมีเต่าตัวน้อยกำลังแช่น้ำอย่างสบาย
“เสิ่นเสิ่นจ๋า วันนี้กินเก่งมากเลยลูก~ แม่จะซื้อกุ้งมาให้ด้วยนะ ถ้าลุงมาเฟียนั้นไม่ดุ...”
พรึ่บ!!!
เสียงประตูเปิดออก
คนตัวเล็กสะดุ้งโหยง หันขวับไปเห็นคนตัวสูงทำหน้าเหวี่ยงยืนพิงกรอบประตู
“เธอแอบเลี้ยงสัตว์เหรอ?” เขาถามเสียงนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดแฝงในน้ำเสียง แต่นั่นแหละที่น่ากลัว
“ไม่แอบค่ะ เลี้ยงกลางใจเลยด้วยซ้ำ น่ารักปะล่ะ” ลี่เหม่ยพยายามกลบเกลื่อนด้วยมุกตลก
เสิ่นจวิ้นขยับกรามเบาๆ “ฉันเคยบอกแล้วว่า ห้ามเลี้ยงสัตว์”
“ก็ไม่ได้เลี้ยงเสือเลี้ยงสิงโตนี่คะ คุณเสิ่น แค่เต่าตัวเดียวเอง...ชื่อน่ารักด้วยนะ ‘เสิ่นเสิ่น’ ”
เขาเงียบไปสามวินาทีเต็มๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบและชัดเจน
“พรุ่งนี้เอามันออกไป”
แต่เหมือนฟ้าผ่าลงกลางเต่า ลี่เหม่ยนิ่งไปชั่วครู่ แววตาเปลี่ยนจากตกใจเป็นดื้อดึงทันควัน
“โอเคค่ะ...ไม่ต้องไล่มันออกหรอก ฉันจะออกไปเอง!”
เธอลุกขึ้น หอบทั้งกล่องเต่า หมอน ผ้าห่ม ขวดน้ำและถุงขนมออกไปจากห้องนอนแบบไม่หันหลังมอง
เสิ่นจวิ้นขยับเท้าเหมือนจะห้าม...แต่หยุดไว้ที่ริมฝีปาก แค่มองเธอเดินออกไปพร้อมสิ่งมีชีวิตที่ชื่อเหมือนเขาเอง
ไม่ถึงห้านาทีต่อมา ลี่เหม่ยเอาทุกอย่างมากางในห้องนั่งเล่น ปูผ้าห่มกลางพรมอย่างงอนจัด พร้อมเต่าวางอยู่ตรงกลางเหมือนเทพเจ้าประจำบ้าน
“นอนนี่ก็ได้! ห้องคุณหนาวอยู่แล้ว ฉันไม่แคร์!” เธอหันไปพูดกับเต่าเสียงแผ่ว “เสิ่นเสิ่น...อย่าไปน้อยใจนะลูก เขาแค่ขาดความรักตอนเด็ก”
เต่าไม่ตอบ แต่เสิ่นจวิ้นที่อยู่ในห้องนอน ได้ยินทุกคำ
เขาหันหน้าเข้าหากระจกพลางถอนหายใจยาวๆ อย่างหมดความอดทนกับความวุ่นวาย...ที่ดันทำให้หัวใจเขาไม่ว่างขึ้นมาอีกครั้ง
ไฟห้องนั่งเล่นสว่างเพียงครึ่งเดียว แสงสีอุ่นสะท้อนเงาของหญิงสาวในชุดนอนลายการ์ตูนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนโซฟา
ลี่เหม่ยกอดกล่องกระจกใสที่มีเต่าตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ภายใน ใกล้ๆมีหมอนสามใบ ปูผ้าห่มบางๆทับลงบนพรมพอเป็นพิธี
“อย่างน้อยนายก็ไม่ออกกฎเพี้ยนๆ ใส่ฉันทุกวันนะ เสิ่นเสิ่น” บ่นพึมพำกับเต่าตัวน้อยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าแต่ประชดประชันขั้นสุด
เจ้าตัวในตู้ไม่ขยับ ไม่ตอบ แต่ดูจะเข้าอกเข้าใจเธอมากกว่าผู้ชายเจ้าของชื่อจริงๆซะอีก
เสียงประตูห้องนอนเปิดออก...
เสิ่นจวิ้นยืนพิงกรอบประตูด้วยใบหน้าเรียบเฉย ชุดนอนสีเทาเข้มตัดกับผิวซีดของเขา ดวงตาภายใต้แว่นทรงเรียบกวาดมองภาพตรงหน้า
ลี่เหม่ยกับเต่า บนโซฟากลางห้องนั่งเล่นในตอนดึก
เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ใส่อารมณ์ แต่ฟังดูเหมือนสายลมเย็นเฉียบเฉือนผ่าน
“เธอคิดจะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม?”
ลี่เหม่ยไม่เงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ มือยังลูบหลังเต่าไปพลาง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“ถาวร”
เสิ่นจวิ้นขมวดคิ้ว “ห้องมีเตียง เธอมีขา จะดื้อทำไม?”
“คุณมีสมอง ก็น่าจะเข้าใจว่าคนบางคนไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับคนที่ออกกฎเยอะกว่าเทคแคร์”
“กฎมีไว้เพื่อความปลอดภัย”
“เต่าฉันปลอดภัยค่ะคุณเสิ่น ไม่ได้แอบฝังระเบิด”
เขานิ่ง เงียบจนลี่เหม่ยเผลอมองขึ้น
“จะไล่ฉันเหรอคะ?”
เสิ่นจวิ้นเดินเข้ามาใกล้ ก้มมองกล่องกระจกแล้วพูดนิ่งๆ
“ฉันจะไม่ไล่เต่า...แต่จะไม่รับประกันว่าเธอจะไม่โดนลากกลับเข้าห้องถ้าเสียงเธอดังเกินไปอีก”
“โอ๊ย! คุณเป็นสามีหรือตำรวจจราจรค่ะ? ต้องคอยควบคุมระดับเสียงตลอดเวลาเลยเหรอ?”
“ถ้าเธอยังทำตัวเหมือนแตรรถ ก็จำเป็นต้องควบคุม”
ลี่เหม่ยกัดฟันแน่น เงยหน้ามองเขาอย่างท้าทาย
“ดีค่ะ งั้นคืนนี้ฉันจะเงียบ...แต่ถ้าเต่าพูดขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่ามาหาว่าฉันไม่เตือน”
เสิ่นจวิ้นถอนหายใจ หยิบผ้าห่มอีกผืนจากโซฟามาปิดหน้าเธอโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องไปโดยไม่หันหลังกลับ
แต่เพียงพ้นประตูเขาหยุดนิ่ง มุมปากกระตุกขึ้นน้อยๆ พึมพำเบาๆกับตัวเอง
“ถ้าจะมีใครในบ้านนี้ที่พูดมากกว่าเต่า...ก็คงเป็นเธอนั่นแหละ ลี่เหม่ย”
เช้าวันต่อมา...
เสียงประตูห้องนอนเลื่อนเบาๆ ร่างสูงในชุดเชิ้ตสบายๆกำลังเดินออกมา...
แต่ภาพที่หยุดฝีเท้าของเขาไม่ใช่แสงแดดตอนเช้า..ใคือกล่องใสใบเดิม วางนิ่งๆหน้าประตูห้อง ข้างในมีเต่าตัวเล็กกะพริบตาช้าๆ เหมือนรู้ว่าตัวเองกลายเป็นของกลางในสงครามประสาท
มีโพสต์อิทแผ่นเล็กแปะอยู่บนกล่องลายมือของลี่เหม่ยชัดเจนมาก ราวกับตั้งใจให้เขาอ่านชัดตั้งแต่ระยะสิบเมตร
"ฝากด้วยนะคะ มันจะไม่ส่งเสียงเหมือนฉันแน่นอน"
-เหม่ย-
เสิ่นจวิ้นยืนมองกล่องอยู่นาน แววตาคมนิ่งของเขาขยับวูบเล็กน้อย ก่อนที่มุมปากจกระตุกขึ้นนิดๆ เขาย่อตัวลงนั่งมองหน้าเต่าที่อยู่ในตู้กระจกใบเล็ก
“อย่าทำหน้าเหมือนเธอ...” เขาพึมพำเสียงทุ้มต่ำ “มันทำให้ฉันลังเล”
เย็นวันเดียวกันในห้องครัวของเพนต์เฮ้าส์
กลิ่นผัดกะเพราโชยฟุ้งจากกระทะ ลี่เหม่ยในชุดสีอ่อนยืนทำอาหารอยู่คนเดียว เสียบหูฟังข้างเดียว อีกมือเปิดโทรศัพท์ดูคลิปสอนทำอาหาร
เสียงฝีเท้าเบาๆดังขึ้นจากทางเดิน ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวข้างหลังเงียบๆในมือหนาคือกล่องเต่าใบเดิม แต่ครั้งนี้...เขาเอากลับมาเอง
คนตัวสูงวางกล่องลงตรงโต๊ะทานข้าว
“เลี้ยงได้” เขาพูดเสียงเรียบ...แบบที่เธอฟังไม่ออกว่าเย็นชาหรือกำลัง ‘ยอมแพ้’
“หา?” ลี่เหม่ยหันขวับมาด้วยความตกใจ
“แต่ฉันขอตั้งชื่อใหม่” เสิ่นจวิ้นไม่มองเธอตรงๆ
เธอขมวดคิ้ว “ชื่อเดิมของมันน่ารักจะตาย เสิ่นเสิ่นอะ”
“เปลี่ยนเป็น ‘เหม่ยเหม่ย’ ” เขาตอบเรียบเฉย
“อะไรนะ?” ลี่เหม่ยแทบวางตะหลิวไม่ลง
เสิ่นจวิ้นเหลือบมองเธอเต็มตาเป็นอีกครั้ง
“เพราะมันชอบทำบ้านวุ่นวาย...เหมือนเธอ”
“ไม่!” เธอตะโกนตอบทันที สีหน้าเหมือนเพิ่งถูกยึดสมบัติในเกม
เสิ่นจวิ้นยักไหล่ มุมปากกระตุกนิดๆอย่างคนที่คิดว่าชนะโดยไม่ต้องใช้เสียงดัง
“งั้นก็เก็บมันให้ดี อย่าให้ฉันต้องตั้งชื่อใหม่อีก”
“คุณมัน…! เอาเปรียบแม้แต่เต่า!”
“เอาเปรียบเฉพาะคนที่เสียงดังเกินไป...กับเต่าที่หน้าเหมือนเจ้าของ”
ลี่เหม่ยปิดเตาอย่างหงุดหงิด แต่ในใจกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
บางที...การมีใครสักคนที่ ‘ยอมให้เลี้ยงเต่า’