กึง! แกร๊ก! โครม!
เสียงดังสนั่นจากห้องแต่งตัว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของหญิงสาวที่ชัดเจนจนไม่สนว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่
“โอ๊ย! กระเป๋าฉันอยู่ไหน! แว่นตาก็หาย! หูฟังก็...อ๊าก! ใครเอาไปเก็บ!”
คนตัวเล็กวิ่งพล่านทั่วห้องนอนในชุดนักศึกษาที่เพิ่งสวมได้ไม่สมบูรณ์ กระดุมเบี้ยว กระโปรงยังไม่รูดซิปดี รองเท้าหายไปข้างหนึ่ง ผมมัดข้างเดียว
เสิ่นจวิ้นยืนกอดอกพิงประตูห้องแต่งตัว นิ่งราวกับเป็นรูปปั้นหินอ่อนแห่งโรมัน สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบ แว่นขอบเงินสวมไว้เรียบร้อยพร้อมประชุม...แม้จะยังไม่ถึงเจ็ดโมง
เขาไม่พูดเร่งหรือตำหนิจนกระทั่งเสียงลี่เหม่ยดังไปถึงลำโพงบลูทูธในครัว
“เสียงดังตั้งแต่ตีห้า...เธอเป็นคนหรือนกหวีด?”
ลี่เหม่ยหยุดกึกหันขวับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ยกมือปาดเหงื่อที่ยังไม่ทันมี ก่อนจะตอบกลับทันควัน “ถ้าอยากให้บ้านเงียบ ก็อยู่คนเดียวสิคุณเสิ่น!”
เสิ่นจวิ้นไม่ตอบอะไรแค่ขยับปลายนิ้วไล่แว่นให้ตรง แล้วเดินผ่านเธอไปเงียบๆ
“เงียบแบบนี้...ใจร้ายแน่ๆ” เธอหรี่ตามองตามหลังเขา
ในขณะที่เธอหันกลับไปค้นหาหูฟังที่ซ่อนตัวอยู่ในซอกโซฟา
ร่างสูงหยุดอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก่อนจะเอียงหน้ากลับมาเล็กน้อย มองไหล่เล็กๆที่วิ่งวุ่นราวกับตัวการ์ตูน ริมฝีปากบางขยับเพียงมุมเดียว รอยยิ้มจางๆที่ไม่เคยมีตอนคุยกับผู้หญิงคนไหน...
“วุ่นวาย...” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเอง “...แต่ดันรู้สึกเหมือนห้องนี้เริ่มมีชีวิตขึ้นมาหน่อย”
เสียงร้องของเธอดังกลับมาอีกระลอก
“คุณเสิ่น! เจอรองเท้าขวาฉันมั้ย! มันหายไปกับความรักของเราหรือเปล่า!”
เขาเดินเข้าครัว ไม่ตอบแต่คว้ารองเท้าขวาที่เขาเห็นตั้งแต่เมื่อคืน...แล้ววางไว้ที่โต๊ะอาหารข้างกระเป๋า
“รักฉันหาไม่เจอ...แต่รองเท้าเธออยู่ตรงนี้”
.
.
บรรยากาศบนรถยนต์หรูสีดำของตระกูลเสิ่นเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของคนขับ
เสิ่นจวิ้นนั่งหลังพวงมาลัย ท่าทางนิ่งขรึมจนเหมือนกำลังคิดแผนปิดดีลระดับโลก ส่วนคนนั่งข้างๆคือเมียในนาม ที่ตอนนี้กำลังหาวปากกว้าง มือหนึ่งควานหาหูฟัง มืออีกข้างเลื่อนเพลย์ลิสต์
เสียงจังหวะ K-pop ดังขึ้นในรถพร้อมเสียงร้องตะโกนของนักร้องชายที่ลากโวคอลยาวเหมือนวิ่งหนีหนี้
เสิ่นจวิ้นกดปุ่มปิดเสียงอย่างไม่สบอารมณ์
ห้านาทีต่อมาเสียงเพลงเดิมดังขึ้นอีก...ลี่เหม่ยแกล้งกดเพิ่มวอลุ่ม
เขากดปิดอีก คราวนี้พร้อมหันมามองเธอด้วยหางตา
ใบหน้าหมวยยักคิ้ว แกล้งยิ้มหวานเหมือนจะขายของริมถนน
“โอเคค่ะ มีสามีสายมินิมอล ชอบความเงียบ ชีวิตต้องมีระเบียบสินะ”
เสิ่นจวิ้นไม่ตอบขับรถต่อไปอย่างใจเย็น
แม้มือจะบีบพวงมาลัยแน่นขึ้นเล็กน้อย...เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ไล่เธอลงจากรถ ทั้งที่เมื่อเช้าเธอทำครัวเหมือนสนามรบ
และตอนนี้ยังทำรถเขาเป็นเวทีคอนเสิร์ต
มหาวิทยาลัย MBU
รถจอดเทียบที่หน้าประตู ลี่เหม่ยกำลังจะเปิดประตูลง
“ถ้ามีใครมาถามว่าเธอเป็นใคร...”เสียงเข้มดังขึ้นอย่างเรียบแต่เด็ดขาด
สาวหน้าหมวยหันกลับด้วยความสงสัย
“ให้ตอบว่า ‘เมียเสิ่นจวิ้น’ เข้าใจไหม?”
ดวงตากลมโตกะพริบตาปริบๆ ยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองที่เริ่มร้อน
“คุณเสิ่น...วันนี้คุณดื่มน้ำหวานมาเหรอคะ? หรือเมามา?”
เขาไม่ตอบแค่มองเธออีกวินาที ก่อนจะกดปลดล็อกประตูฝั่งผู้โดยสารให้เธอลง
“อย่าเดินใกล้ผู้ชายคนไหนเกินหนึ่งเมตร...เว้นแต่จะเป็นศพ”
ลี่เหม่ยหัวเราะ หยิบกระเป๋าแล้วเดินลง
แต่เธอไม่รู้เลยว่าคนที่เธอแอบเรียกว่า ‘มาเฟียเย็นชา’ กำลังแอบมองเธอผ่านกระจกมองหลังด้วยสายตาที่ไม่ได้นิ่งเหมือนเดิมอีกแล้ว
แสงแดดสาดผ่านกระจกตึกเรียน C ของมหาวิทยาลัย ลี่เหม่ยในชุดนักศึกษาสีขาวกระโปรงดำ เดินสบายๆชิวๆตามทางเดินกับเพื่อนกลุ่มเดิม เสียงหัวเราะของเธอดังลอดเข้าไปในกล้องวงจรปิดที่ซ่อนไว้ในรถหรูที่จอดอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
บนหน้าจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ในห้องทำงานส่วนตัวของประธานเสิ่น ภาพจากกล้องถ่ายทอดสดเต็มจอ
เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าทำ...เพราะอยากรู้ว่า 'เมียตัวปลอมของเขา' อยู่กับใคร
ทว่าในตอนนั้น พีทเพื่อนชายคนหนึ่งของลี่เหม่ย กำลังยื่นมือไปลูบหัวเธอเบาๆ
“เฮ้ย...ยัยเหม่ย!ทำไมวันนี้น่ารักจังวะ หลงอะ”
มือของเสิ่นจวิ้นที่ถือปากกาขนนกจากอิตาลีหยุดนิ่ง กล้ามกรามสองข้างขึ้นชัด เขาหรี่ตาเล็กน้อย มองภาพซ้ำเหมือนต้องการเช็กว่าไม่ผิดคน
“จางเหวย” เสียงเรียกสั้นมาก แต่น้ำเสียงต่ำลงหนึ่งระดับ
บอดี้การ์ดคนสนิทที่ยืนรอคำสั่ง รีบหันมาทันที “ครับ นายท่าน?”
เสิ่นจวิ้นยังไม่ละสายตาจากจอ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือผู้ชายคนหนึ่ง...กำลังเอานิ้วแหย่แก้มเมียเขา ทั้งที่เขายังไม่เคยทำแบบนั้นเลย
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนเอามีดเย็นเฉียบกรีดกลางกระดาษ
“ถ้าผู้ชายคนนั้น...แตะต้องตัวเธออีกครั้ง”
“ก็เชิญมันไปทำงานที่ขั้วโลกเหนือ”
จางเหวยกะพริบตา ยกมือขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกไหม
“...ขั้วโลกเหนือ?”
เสิ่นจวิ้นวางปากกาเอนหลังพิงเก้าอี้หนังสีดำ สายตากลับไปจ้องจอด้วยแววที่ไม่ใช่แค่จับผิด...แต่มันมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่
“ใช่ ไปขุดน้ำแข็ง เก็บปลา สู้หมีขั้วโลกไปเลยยิ่งดี”
ภาพในจอ ลี่เหม่ยยังคงหัวเราะกับกลุ่มเพื่อน แต่เธอไม่รู้เลยว่าแค่การที่ผู้ชายคนหนึ่งเอามือแตะหัวมันทำให้ ‘มาเฟียเงียบ’ คนหนึ่ง...อยากจะส่งคนไปปิดสนามมหาวิทยาลัยทั้งสนาม
เขาไม่ได้พูดออกมาดังแต่ในใจกลับตะโกนลั่น'เมียฉัน....จะไม่ใช่ของเล่นใครทั้งนั้น'
.
.
ประตูหน้าห้องเพนต์เฮ้าส์ดัง โป๊ก! หนึ่งที
ตามด้วยเสียงข้าวของหลายถุงกระแทกกันดังกรุ๊งกริ๊งเหมือนขบวนขายลูกชิ้นยำรถเข็น
“โอ๊ย!!! ประตูนี่มันมีแค้นส่วนตัวกับหน้าฉันรึไง!”
ลี่เหม่ยยืนอยู่หน้าประตู มือหนึ่งหิ้วถุงแกง อีกข้างเป็นถุงของทอดจากตลาดโต้รุ่ง กระเป๋าสะพายหลุดไปด้านหลังกับผมที่รุ่ยลงมา
ประตูห้องเปิดออกพอดี เสิ่นจวิ้นยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใส่ชุดลำลองสีเทาเข้ม ใบหน้าหล่อแบบไร้อารมณ์เหมือนทุกวัน เขากวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ลี่เหม่ย...เธอทำให้เพนต์เฮ้าส์ดูเหมือนตลาดสด”
คนตัวเล็กไม่ได้สะทกสะท้าน หอบหายใจแรงเพราะขึ้นลิฟต์ไม่รอกดแล้วประชดด้วยรอยยิ้มกว้างเกินเหตุ
“ก็ดีแล้วค่ะ ชีวิตคุณจะได้ไม่เหงาอีกต่อไป”
เธอเดินผ่านเขาเข้าไป วางของบนเคาน์เตอร์ครัว กลิ่นหอมของปีกไก่ทอดกระแทกจมูกอย่างแรง
เสิ่นจวิ้นชะงักหนึ่งวินาทีเหมือนจมูกจะขัดใจ แต่หัวใจเหมือนจะยอมรับโดยไม่รู้ตัว
ร่างสูงหันหลังจะเดินกลับเข้าห้อง แต่หยุดนิ่งไปเพียงครู่หนึ่ง ก่อนพูดช้าๆเสียงของเขาไม่ได้ดัง แต่กระแทกตรงกลางอกเธอ
“เสียงเธอมันวุ่นวาย...”
“...แต่ฉันชักจะติดมันแล้วสิ”
ลี่เหม่ยหยุดมือที่กำลังหยิบข้าวเหนียวไก่
เงยหน้ามองแผ่นหลังของเขาหัวใจเต้นโครมเหมือนกลัวตกชั้น
“คุณเสิ่น...!?”
เขาไม่ตอบเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ทิ้งเธอไว้กลางห้องพร้อมเสียงตึ้กตั้กในอกที่ยังดังไม่หยุด
ทว่าภายในห้องนั้น คนตัวโตยืนพิงประตู
ถอนหายใจเบาๆพร้อมคำพูดในใจ
“ผู้หญิงบ้าอะไร...เสียงดังขนาดนี้”
"วุ่นวายชะมัด...!"