เช้าแรกในฐานะ ‘ภรรยาตัวปลอม’ มาถึงพร้อมแสงแดดอุ่นที่ลอดม่านบางเข้ามา
โต๊ะอาหารริมหน้าต่างกระจกบานใหญ่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเรียบหรู ชุดอาหารเช้าสไตล์ฝรั่งเศสวางอย่างประณีต ครัวซองต์ ไข่ลวก เบคอน กาแฟดำ และชาผลไม้ แต่ทุกอย่างกลับนิ่งเสียจนดูเหมือนโต๊ะประชุมมากกว่าที่สำหรับรับประทานอาหารจริงๆ
มือเรียวเล็กหยิบช้อนขึ้นอย่างเกร็งๆ ขณะเสิ่นจวิ้นนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่พูดอะไร
'นี่หรือ...ชีวิตหลังแต่งงาน?
ขอแค่มันไม่ใช่ชีวิตที่เหมือนถูกคุมขัง...ก็ยังดี'
เสิ่นจวิ้นวางช้อนลงเสียงโลหะกระทบกับขอบจานเบาๆ แต่สำหรับเธอมันดังก้องราวกับระเบิดลูกเล็กที่ระเบิดอยู่กลางอก
ร่างบางเงยหน้าขึ้นอย่างประหม่า
ดวงตาคมกริบมองตรงมาที่เธอ สายตาคู่นั้นเย็นเฉียบนิ่งสนิท
“ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียว” เสียงทุ้มของเขาดังขึ้นราบเรียบแต่เด็ดขาด
เสิ่นจวิ้นเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ กอดอก ดวงตาคมสบเธอแน่นิ่งแรงกดดันที่ไหลทะลักออกมาโดยไม่ต้องส่งเสียง
“ต่อจากนี้...อย่าคิดหนี อย่าคิดถอนตัว อย่าคิดว่าเรื่องระหว่างเราจะจบลงแค่คำว่า ‘เข้าใจผิด’!?” น้ำเสียงราบเรียบแต่ทุกคำคือการตอกตรึงมาเป็นอย่างดี
“ในสายตาคนทั้งโลก เธอคือ ลี่เหม่ย เสิ่น ภรรยาของฉัน” คนตัวสูงหยุดครู่หนึ่ง สายตานิ่งยิ่งขึ้น ราวกับสลักทุกคำไว้ตรงกลางอกเธอ “และฉันจะไม่ยอมให้เธอลบชื่อนี้...ไปง่ายๆ”
ลี่เหม่ยรู้สึกเหมือนอากาศทั้งห้องหายไปในพริบตา มือเล็กที่จับแก้วชาเย็นเฉียบราวกับร่างกายไม่ยอมตอบสนอง
เธอกลืนน้ำลายลงคอเอ่ยคำถามที่อัดแน่นด้วยสติ และความกล้าเผชิญหน้าที่ยังสั่นเล็กน้อยในเสียง
“แล้ว... ‘ลี่เหม่ย เสิ่น’ คนนี้ เป็นตัวปลอมมาตั้งแต่ต้นล่ะค่ะ?”
“เพราะคนที่คุณเสิ่นต้องแต่งด้วยคือ...ลี่หาน?” ลี่เหม่ยถามออกไปเสียงเบา คำถามที่เธอรู้ดีว่าอาจเปลี่ยนชะตาทั้งหมด
เสิ่นจวิ้นยกยิ้มมุมปากแบบที่ไม่บ่อยนักจะปรากฏบนใบหน้าเขา
“งั้นก็แปลว่าฉันมันโง่...ที่เลือกจะเก็บของปลอมไว้ใกล้ตัว” เขาหยุดนิดเดียวเอ่ยต่อด้วยเสียงต่ำ เรียบชัดเจนจนไม่มีช่องให้ตีความผิด
“แต่นั่นก็เป็น ‘ของฉัน’ อยู่ดี”
หลังอาหารเช้าที่จืดสนิทในเชิงอารมณ์ผ่านพ้นไป ร่างบางลุกขึ้นหมายจะเก็บจานด้วยสัญชาตญาณของใครสักคนที่ยังไม่ชินกับบทบาท
“ไม่ต้อง!” เสียงทุ้มเย็นดังขึ้น
มือหนาวางแก้วกาแฟลงบนจานรองอย่างไร้เสียง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาแม่นยำและควบคุมได้จนเหมือนการแสดงที่ซ้อมมาแล้วนับพันครั้ง
ร่างสูงหันหลังเดินนำเข้าไปยังห้องทำงานขนาดย่อม ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเพนต์เฮ้าส์ โดยไม่มีคำอธิบายจังหวะก้าวของเขาชัดเจนพอจะสื่อว่าเธอต้องตามมา
ลี่เหม่ยชะงักเล็กน้อยด้วยความลังเล...แต่เมื่อเขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ประตูห้องที่ไม่ได้ปิด แผ่นหลังที่เดินไปข้างหน้าเหมือนเปิดทางไว้ ทำให้เธอไม่มีทางเลือกนอกจากก้าวตามเข้าไป
ภายในห้องทำงานเงียบสนิท โต๊ะไม้โอ๊คเข้มตัวใหญ่ตั้งตระหง่านกลางห้อง โทนสีเทากับน้ำตาลเข้มแต่งแต้มบรรยากาศให้เรียบขรึม ทุกอย่างสะท้อนถึงเจ้าของที่ไม่ชอบความวุ่นวาย และไม่เปิดช่องให้สิ่งใดเล็ดลอดจากการควบคุม
เสิ่นจวิ้นนั่งลงหลังโต๊ะ มือหยิบปากกาขึ้นอย่างแน่นิ่ง คล้ายกำลังเซ็นเอกสารบางอย่างก่อนจะเลื่อนแฟ้มเอกสารเล่มบางไปทางเธอ
ลี่เหม่ยรับไว้เงียบๆปลายนิ้วไล้ไปบนปกเรียบ เปิดมันออกอย่างระแวดระวัง หน้ากระดาษสีครีมเรียงตัวอักษรอย่างประณีตคม ชัดเจน และอ่านง่ายจนน่าขนลุก ไม่ใช่สัญญาทางกฎหมายแต่เป็น...กฎเหล็ก!!!
สายตาของลี่เหม่ยไล่ไปตามตัวหนังสือช้าๆทีละบรรทัด ทีละคำ
แววตาที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความสับสน ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจและกลายเป็นขุ่นจัดภายในเวลาไม่ถึงนาที
[ข้อกำหนดของบ้านต้าเหริน – เจ้าบ้าน : เสิ่นจวิ้น]
กฎเหล็กของเพ้นต์เฮ้าส์นี้มีดังนี้
1.ห้ามใช้ครัวหลัง 21:00 น.
(เว้นแต่มีใบอนุญาตจากฝ่ายควบคุมความหิว)
2.ห้ามเดินเข้าห้องทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต
(แม้จะมาขอปลั๊กชาร์จแบต)
3.ห้ามสั่งของออนไลน์โดยไม่แจ้ง
(เพื่อความปลอดภัยของระบบรักษาความปลอดภัยและ...ความสงบของบัตรเครดิต)
4.ห้ามเปิดกล้องวงจรปิดย้อนหลัง
(เว้นแต่เป็นหนังสือราชการ)
5.ห้ามปลุกเจ้าของบ้านด้วยเสียงดัง
(รวมถึงเสียงแมว เสียงกริ๊ด และเสียงภรรยาร้องเพลง)
6.ห้ามเลี้ยงสัตว์
(เลี้ยงคนเดียวเจ้าของบ้านก็เหนื่อยแล้ว)
ลี่เหม่ยเงยหน้าขึ้นทันที คิ้วขมวดแน่น
“นี่มันกฎจองจำ ไม่ใช่ชีวิตแต่งงาน!” เสียงหวานหลุดออกมาสูงกว่าปกติเล็กน้อย
แววตาเธอเริ่มแข็ง มือเรียวเล็กที่จับแฟ้มเอกสารแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสี
ทว่าเสิ่นจวิ้นกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ มองเธออย่างนิ่งเฉย สายตาเย็นเฉียบราวกับกำลังดูพยากรณ์อากาศไม่ใช่สาวหมวยหน้าบูดตรงหน้า
“ใช่” เขาตอบเรียบราวกับไม่เห็นความโกรธของเธออยู่ในสมการเลย
“และเธอก็ต้องทำตาม”
ลี่เหม่ยกลืนน้ำลายฝืดๆพยายามรักษาน้ำเสียงให้มั่นคง แต่ก็อดประชดไม่ได้
“แล้วจะมีช่องให้หายใจบ้างไหมคะ...หรือควรเซ็นแล้วไปอยู่กรงเลยดี?...”
ยังไม่ทันจบประโยคเหน็บแนม คำตอบจากอีกฝั่งก็มาก่อนเหมือนเขารู้ล่วงหน้า
“เซ็นตรงนี้สิ เดี๋ยวฉันสั่งคนติดเหล็กดัดให้ทั้งเพนต์เฮ้าส์” น้ำเสียงยังคงเรียบ
ดวงตากลมโตสังเกตเห็น...มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลัง ขำเงียบๆกับความหงุดหงิดของเธอ
'คุณเสิ่นจวิ้นเหวิน...คุณบ้าไปแล้วจริงๆ'
ลี่เหม่ยวางแฟ้มลงบนโต๊ะด้วยมือที่ยังควบคุมอารมณ์ไว้แน่น
ใบหน้าหมวยเงยขึ้น สบตาเขาตรงๆดวงตากลมคู่นั้นยังคงมีไฟไม่ใช่เพราะกล้า...แต่เพราะไม่ยอม
“แล้วถ้าฉันไม่เซ็นล่ะค่ะ?”
เสิ่นจวิ้นนิ่งไปเพียงชั่วครู่ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวเข้ามาหาเธอทีละก้าวพลางโน้มตัวลงในระดับสายตา
“งั้นฉันก็จะไม่เซ็นหย่าให้เหมือนกัน” เสียงทุ้มต่ำเรียบเฉยเอ่ยขึ้นอย่างไม่เปิดช่องให้ต่อรอง
ใบหน้าหมวยไร้เครื่องสำอางชะงัก หัวใจเต้นผิดจังหวะ ริมฝีปากที่กำลังจะโต้แย้ง...เปิดค้างไว้โดยไม่มีเสียงหลุดออกมา
ทว่าเขาไม่แม้แต่จะรอคำตอบ ร่างสูงหมุนตัวกลับไปยังโต๊ะอย่างเรียบเฉย มือวางลงบนแฟ้ม พูดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย
“คิดให้ดี ลี่เหม่ย”
“จะอยู่ในบ้านฉัน...ต้องอยู่ในเงื่อนไขของฉัน”
และนี่คือข้อตกลง...ที่เธอไม่เคยเซ็นแต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่ทำตาม
“ยังไม่จบ”
"?" ลี่เหม่ยเลิกคิ้ว
เสิ่นจวิ้นเงยหน้าช้าๆ สบตาเธอครั้งแรกตั้งแต่เช้า ดวงตาคมเข้มไร้แววอ่อนโยน
“บ้านฉัน กฎฉัน ถ้าเธออยากอยู่ก็ต้องอยู่แบบที่ฉันอนุญาต”
“แน่ใจนะว่านี่คือบ้าน ไม่ใช่เขตปฏิบัติการพิเศษ?” เธอเท้าคางใส่เขา น้ำเสียงติดจะขบถ
“แน่ใจมาก” เขาตอบทันที
ลี่เหม่ยกลอกตา พูดพลางยกมือขึ้นทำท่าประกอบ “โอเคค่ะ กัปตันจวิ้น ขอสวมปลอกคอก่อนนะคะ จะได้เข้าฉากต่อไปเลยไหม?”
“อย่าล้อเล่นกับกฎ ฉันจริงจัง” น้ำเสียงเขายังเย็นเยียบเหมือนเดิม คิ้วเข้มกระตุกน้อยๆ
ใบหน้าหมวยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างคนไม่ยอมแพ้ “ฉันก็จริงจังค่ะ ฉันจะเลี้ยงเต่าตัวนึง แล้วตั้งชื่อว่า ‘เสิ่นจวิ้น’ ไว้เรียกเวลาเหงา”
“ถ้าเธอเลี้ยง...ฉันจะปล่อยมันกลับแม่น้ำเจ้าพระยา”
คำตอบเฉียบขาดของเขาทำให้เธอสะอึกเล็กน้อย
“ใจร้าย!!!” ลี่เหม่ยพึมพำเบาๆ
เสิ่นจวิ้นไม่ได้พูดอะไรอีก มุมปากที่กระตุกขึ้นนิดๆ... บอกว่าเขากำลัง ‘พอใจ’ กับการเถียงที่ไม่จบง่ายๆแบบนี้
คนตัวเล็กกว่าไม่ได้ถอยหนี ก้าวเข้าไปใกล้เขาอีกนิด ยกคางขึ้นจ้องตอบกลับอย่างท้าทาย
“คุณกลัวอะไรเหรอคะ? ...คุณเสิ่นจวิ้น”เธอถามเสียงเรียบ
“กลัวว่าคนอื่นจะรู้ความจริงเหรอ ว่าฉันไม่ใช่เมียตัวจริงของคุณ?”
บรรยากาศเหมือนถูกดึงให้เงียบกริบไปชั่ววินาที
ใบหน้าหล่อยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยไม่ใช่เย้ยหยัน แต่มีบางอย่างซ่อนอยู่คล้ายความพ่ายแพ้ที่เขาไม่ยอมรับ
“ไม่...” ร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้จนปลายจมูกแทบจะแตะกัน ลมหายใจร้อนผ่าวแตะผิวเนียนบางเบา
“ฉันกลัวว่าผู้ชายคนอื่นจะรู้...ว่าเธอน่ารำคาญแค่ไหน” เขาหยุดเพียงครู่เดียว ก่อนเอ่ยต่อในน้ำเสียงเดียวกัน
“...แล้วพวกเขาจะยังอยากแย่งเธอไปอยู่ดี”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล
ไม่ใช่เพราะคำว่า "น่ารำคาญ" แต่เพราะคำว่า "กลัวว่าคนอื่นจะอยากแย่งเธอ" จากปากคนอย่างเสิ่นจวิ้น
นั่นมัน...น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
เขาก้าวถอยหลังรักษาระยะห่างเพื่อให้เธอได้หายใจ คว้าแฟ้มจากบนโต๊ะกลับคืน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับต้องการตัดบทสนทนา
“เธอจะเซ็นหรือไม่เซ็นก็ได้”
“แต่ถ้าคิดจะผิดสัญญาเมื่อไหร่...”
“ฉันก็มีวิธีจัดการ ที่ไม่ต้องใช้กระดาษแผ่นนี้”
ท่ามกลางความเงียบที่ปกคลุมห้องทำงานของเสิ่นจวิ้น
ลี่เหม่ยนั่งเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่ไม่เคยปล่อยให้ใครชิงความได้เปรียบไปได้โดยง่ายหลังจากบทสนทนาที่ตึงเครียดระหว่าง "สามีผู้ไร้รอยยิ้ม" และ "ภรรยาตัวปลอม"
ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความสงัดเงียบงันราวกับพายุเพิ่งพัดผ่านไป และกำลังรอคอยใครสักคนเป็นผู้เริ่มเกมใหม่อีกครั้ง
มือเรียวเล็กเอื้อมไปหยิบปากกาหมึกดำจากกล่องบนโต๊ะ ปลายนิ้วแตะลงบนช่องว่างสำหรับลายเซ็นบนหน้ากระดาษ
ความเงียบปกคลุมไม่ถึงสามวินาที เธอจรดปากกาเซ็นชื่อลงไปอย่างหนักแน่น
'ลี่เหม่ย หลิน'