“เฮ้อ!”
“เหตุใดจึงถอนหายใจเช่นนั้นพะยะค่ะ?”
เจียวลู่ถามออกไปเมื่อเห็นว่าจางลี่ซือนั่งเหม่ออีกทั้งยังทอดถอนหายใจอยู่หลายครา
นางไม่ได้ตอบอะไรออกไปราวกับม่ได้ยินในสิ่งที่เจียวลู่เอ่ยถามเพียงแต่นั่งเงียบและเหม่อมองทอดสายตาออกไปไกล
จางลี่ซือมาอยู่ที่นี่ได้สามเดือนแล้ว สถานะของนางไม่ได้มั่นคงแต่ก็ไม่ได้สั่นคลอน อันตงหยางเอ็นดูนางมากขึ้นซึ่งสำหรับนางแล้วถือเป็นแนวโน้มที่ดีเลยทีเดียวเพียงแต่ว่าเอาแต่อยู่ในตำหนักเช่นนี้ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับนาง แม้ว่าตำหนักเหนือนี้จะกว้างใหญ่ไพศาลนางเดินเที่ยวชมตลอดหนึ่งเดือนจึงจะครบ แต่สุดท้ายแล้วตำหนักแห่งนี้ก็เป็นเพียงตำหนักที่รวบรวมกองกำลังทหารเอาไว้มาก สตรีเพียงคนเดียวในนี้นั่นก็คือนาง
”เจียวลู่”
“พะยะค่ะ”
“ข้าออกไปข้างนอกได้หรือไม่?”
“หากซือหวางเฟยอยากเดินเที่ยวชมตำหนักเหนือแห่งนี้ย่อมได้พะยะค่ะ”
นางส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเหลือบสายตามองเจียวลู่ที่ดูเหมือนจะรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งนั้นออกมาเจียวลู่ก็เอ่ยปากขัดออกไปเสียก่อน
“หากซือหวางเฟยอยากออกไปนอกตำหนักจะต้องไปขออนุญาตจากหยางอ๋องก่อนพะย่ะค่ะ”
ตอบออกมาแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการบอกกับนางว่าไม่มีทางที่นางจะออกไปนอกตำหนักเหนือแห่งนี้ได้
“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ลองกราบทูลดูไม่ดีกว่าหรือพะยะค่ะ?”
“จากที่จะทำให้หยางอ๋องเอ็นดู หากข้าทูลออกไปเช่นนั้นจะไม่มองว่าข้าเป็นสตรีเอาแต่ใจไปเลยหรือ?”
“ก็คงเช่นนั้นพะย่ะค่ะ”
นางหันขวับไปมองเจียวลู่ที่กลั้วหัวเราะเบา ๆ กับคำตอบนั้น สรุปแล้วสิ่งที่เจียวลู่พูดมาคือแนะนำนางให้สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจไร้กังวล หรือเสนอออกมาเพราะอยากขับไล่นางออกไปกันแน่
“เหตุใดซือหวางเฟยมองกระหม่อมเช่นนั้นพะยะค่ะ”
“สรุปแล้วเจ้าอยากให้ข้าอยู่หรืออยากให้ข้าไปกันแน่ เจียวลู่!”
“อืม…ก็ต้องอยากให้อยู่สิพะยะค่ะ”
“ตอบช้าไปมั้ย!”
“ก็ดีกว่าไม่ตอบนะพะยะค่ะ”
“ข้าเกลียดเจ้าเหลือเกิน ออกไปเลยข้าจะอยู่ผู้เดียว!”
นางพูดด้วยท่าทางฟึดฟัดพร้อมทั้งออกปากไล่เจียวลู่ด้วยอารมณ์หงุดหงิด ไม่รู้ว่าช่วงนี้นางเป็นอะไรจึงรู้สึกหงุดหงิดง่ายชอบกล
“อ่า กระหม่อมทำให้ท่านอารมณ์เสียอย่างนั้นหรือ กระหม่อมทำให้ท่านอารมณ์ไม่ดีอย่างนั้นหรือ”แม้น้ำเสียงและรูปประโยคจะฟังดูสำนึกผิดก็ตาม แต่ใบหน้าและรอยยิ้มกลับสดใดราวกับจงใจหาเรื่องกวนให้นางไล่ เพื่อที่ตนจะได้ไปนั่งพักที่ชั้นล่าง”หากมีเรื่องอะไรให้กระหม่อมรับใช้ก็สามารถเรียกกระหม่อมได้ตลอดเวลาเลยนะพะยะค่ะ กระหม่อมจะคุ้มกันอยู่ด้านล่างพะยะค่ะ”
ว่าจบเจียวลู่ก็โค้งคำนับให้นางก่อนจะเดินจากไปมันที ทิ้งให้นางได้แต่มองตามตาปริบ ๆ
…เจียวลู่ ไอ้องครักษ์สันหลังยาว! หากถ้าได้เป็นที่โปรดปรานของหยางอ๋องเมื่อไหร่ เมื่อนั้นข้าจะสั่งลงโทษเจ้าให้เข็ดหลาบ!...
เมื่อเจียวลู่เดินออกไปนางก็รีบกลับเข้าห้องทันที ปิดประตู หน้าต่าง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีช่องทางไหนที่คนภายนอกสามารถมองเข้ามาได้นางก็รีบเปลี่ยนชุดทันที ชุดที่ดูเรียบง่ายที่สุด…
เสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็เลื่อนโต๊ะตัวหนึ่งออกห่างจากกำแพงห้อง พยายามทำทุกอย่างให้เสียงเบาที่สุด ก่อนจะยื่นมือออกไปดึงแผ่นไม้ขึ้นมาสองสามแผ่นพอให้นางหย่อนตัวลงไปได้
ทางลับ…นางพบเจอเมื่อตอนที่อันตงหยางอนุญาตให้พักอยู่ที่นี่ในตำแหน่งหวางเฟยอย่างเป็นทางการ ซึ่งการเจอกับทางลับนี้เป็นเพราะความซุกซนของนางเองที่เดินสำรวจห้องนี้ไปเรื่อย จึงเจอเข้ากับเสียงที่ฟังดูผิดปกติจากตรงอื่นจึงลองทุบ ๆ ดึง ๆ จึงพบกับเส้นทางลับ
ปกติแล้วหากนางไม่เรียกเจียวลู่ เจ้าตัวก็ไม่มีทางขึ้นมาหานางเองหากไม่มีคำสั่งมาจากอันตงหยาง ส่วนนางเองก็ไม่เคยเรียกเจียวลู่เลยสักครั้ง นางมีเวลาจนกว่าจะถึงเวลารับสำรับมื้อเย็นในการสำรวจเส้นทางลัดใต้ดินนี้
หย่อนตัวลงไปในทางลับพร้อมทั้งโคมไฟและถุงใส่ตำลึงเผื่อว่านางอาจจะเดินไปจนถึงทางออกของเส้นทางนี้ แต่ถ้าหากไม่เจอนางก็แค่เดินกลับมาถือว่าเป็นการเดินเล่น แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าจางลี่ซือรู้เส้นทางลับนี้มิเช่นนั้นก็คงถูกปิดตายหรือตัวนางอาจถูกย้ายไปเรือนอื่น
แม้ว่าทางลับจะมืดมิดแต่โชคดีที่มีแสงสว่างจากตะเกียงที่นางนำติดมาด้วย นางไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อยกลับกันนางรู้สึกตื่นเต้นกับการสำรวจทางลับในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นโชคดีสำหรับนางมากนักที่เดินมาได้ไม่นานนางก็พบแสงสว่างที่ปลายทางแล้ว
นางรีบเดินออกไปทันทีแล้วก็พบว่าที่นี่เป็นป่า… หันมองสำรวจไปรอบด้านก็เห็นเพียงต้นไม้สีเขียวขจีเท่านั้น แต่ตรงนี้เป็นเนินเขาไม่ผิดแน่นางจึงตัดสินใจวางตะเกียงไฟไว้ที่ด้านข้างทางลับก่อนจะเดินลงภูเขาไป
เดินลงมาใช้เวลาพักใหญ่นางก็มาถึงหมู่บ้านจนได้ ผู้คนต่างเดินกันขวักไขว่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วฟังดูครึกครื้น นางเผยรอยยิ้มกว้างแล้วเดินปะปนเข้าไปในฝูงคน
…ตลาด ข้าไม่ได้แอบมาตลาดนานเท่าไหร่แล้วนะ ตลาดของพวกชาวบ้านน่าสนุกกว่างานเลี้ยงของชนชั้นสูงอีก…
นึกถึงสมัยก่อนที่นางมักจะแอบลอบออกมาจากจวนโดยมีสาวใช้ที่เอ็นดูนางช่วยเหลืิแม้จะเดือนละครั้งก็ตาม
จางลี่ซือกวาดสายตามองไปโดยรอบ สิ่งของเครื่องใช้และเครื่องประดับวางเรียงรายให้เลือกซื้อเลือกหา แม้นางจะมีตำลึงที่ได้มาจากอันตงหยางซึ่งเป็นค่าตำแหน่งหวางเฟยก็ตาม กระนั้นนางก็ไม่รู้จะซื้อสิ่งใกด หากอยู่ในเมืองหลวงนางก็คงบริจาคให้ผู้ยากไร้บ้าง ซื้อของไปฝากเด็ก ๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้าง
ตอนนี้นางอยู่ตัวคนเดียวภายในเมืองที่ไม่รู้จักนางจึงไม่รู้ว่าจะใช้ตำลึงนั้นซื้อสิ่งใดให้ใครหรือครั้นจะซื้อให้ตนเองนางก็มีอยู่แล้ว นางไม่ใช่สตรีที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยอยู่แล้วเพราะสถานะนางตอนอยู่ตระกูลเดิมได้กินอาหารครบสามมื้อก็ดีเท่าไหร่แล้ว จะมีก็แต่ตอนที่นางกำลังจะถูกส่งมาถวายตัวให้กับอันตงหยางนี่แหละที่ได้กินอาหารครบทุกมื้อ จากที่ร่างกายมีแต่หนังหุ้มกระดูกจนเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาเล็กน้อย
เที่ยวเล่นในตลาด เดินชมนกชมไม้ นั่งเล่นคิดไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเริ่มพลบค่ำ นางลืมไปเสียสนิทว่าต้องรีบกลับก่อนมื้อเย็น มิเช่นนั้นนางโดนจับได้แน่ ๆ ว่าแอบออกมาเที่ยวข้างนอกโดยใช้ทางลับ แล้วก็ต้องรู้ไปถึงหูของอันตงหยาง ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้สิ่งที่นางทำมาทั้งหมดพังทลายด้วยเรื่องคราวนี้ก็เป็นได้
…ไม่น่าเลยซือเอ๋อร์ ข้าน่าจะนั่งหงอยอยู่ที่เรือน หากถูกไล่ออกวันนี้ก็มิอาจปฏิเสธได้เลย…
คิดได้ดังนั้นนางก็รีบเดินเท้ากลับขึ้นภูเขา ทว่าในตอนนั้นเองกลับมีมือดีฉุดตัวนางเข้าตรอกซอยมืด!
จางลี่ซือกระทุ้งศอกไปด้านหลังหวังให้โดนผู้ร้ายก่อนจะหมุนตัวออกมา คว้าปิ่นปักผมหมายจะแทงไปที่ลำคอของผู้ร้าย ทว่ากลับถูกคว้าข้อมือไว้แน่นแล้วดึงเข้าหาตัว สตรีตัวน้อยใช้ข้อเสียเปรียบของตนให้เป็นประโยชน์โดยการกระทุ้งหัวเข่าขึ้นมาเล็งไปที่หว่างขา ช่างน่าเสียดายที่อีกฝ่ายรู้ตัวหักหลบได้ทัน
สตรีตัวน้อยเริ่มมืดแปดด้าน นางสังเกตท่าทีของฝ่ายตรงข้ามมิใช่ชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่ จะต้องเป็นผู้มากความสามารถ
…หรือจะเป็นมือสังหารที่ตระกูลจางส่งมากัน? เพราะข้าหมดประโยชน์แล้วจึงอยากเขี่ยชื่อทิ้งออกจากตระกูลแต่เพราะไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ จึงใช้วิธีนี้อย่างนั้นหรือ!?...
คิดได้ดังนั้นดวงตานางก็รื้นน้ำตาขึ้นมา ถึงจะไม่ได้รับความรักอย่างไรก็เป็นครอบครัว หากอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรืออย่างไร? เหตุใดจึงต้องส่งมือสังหารมาหานางเช่นนี้ด้วย?
ร่างของนางถูกรัดจากด้านหลัง ฝ่ามือปิดปากนางจนแทบหายใจไม่ออก ไม่สามารถขยับร่างกายได้เลย สถานการณ์บังคับให้นางต้องยอมจำนน
…หากข้าต้องตายไปทั้งแบบนี้ ข้าจะมิยอมตายไปเพียงผู้เดียว!...
นางคว้าดาบที่เหน็บเอวของบุรุษขึ้นมาแล้วเตรียมจะแทงร่างของตนทะลุกไปหาอีกฝ่าย ทว่าในตอนนั้นกลับถูกผู้ร้ายจับฝ่ามือที่กอบกุมดาบเอาไว้แน่นแล้วดึงห่างออกจากตัวนางให้มากที่สุด อีกทั้งยังมีผู้ร้ายอีกคนซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนจับมือเอาไว้ก่อนจะคว้าดายออกไปจากมือนางโดยง่าย
“เจ้าคิดจะทำการใดกัน!!”
น้ำเสียงแข็งกร้าวดังที่ข้างหู ทรงพลังและอำนาจมากล้นจนนางสะดุ้ง แต่น้ำเสียงแบบนี้มีคนเดียวที่นางรู้จักดี
“ยะ หยางอ๋อง!?”
ร่างของนางถูกบังคับให้หันกลับไปสบตากับตน โอบเอวบางเข้าแนบชิดพร้อมทั้งโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ จางลี่ซือรู้สึกประหม่าจนต้องยกมือขึ้นดันแผงอกกว้างนั่นเอาไว้ แม้ว่ามันจะไร้ประโยชน์ก็ตามเพราะเรี่ยวแรงของบุรุษช่างมหาศาล รัดตัวนางจนแทบหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
“หยางอ๋องเพคะ หม่อมฉันหายใจไม่ออก อ๊ะ!”ตัวนางถูกตวัดขึ้นพาดบ่าทันทีก่อนที่อันตงหยางจะออกคำสั่งกับอวครักษ์ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าตอนนี้อยู่ในอารมณ์ที่ไม่ว่าใครก็ตามห้ามยุ่ง!
“เตรียมม้า เราจะกลับตำหนักเดี๋ยวนี้”
อันตงหยางจับนางขึ้นบนหลังม้าก่อนจะกระโดดขึ้นไปซ้อนหลัง แล้วควบม้าออกไปทันที ระหว่างนั้นนางจึงแหงนหน้าขึ้นเพื่อพูดคุยกับอันตงหยาง ทว่าสีหน้าของบุรุษทำให้นางต้องเงียบปากลง…
…หากพูดอะไรออกไปตอนนี้ให้หยางอ๋องไม่พอใจล่ะก็มีหวังข้าถูกเฉดหัวออกจากตำหนักในวันนี้แน่ ๆ ทางที่ดีสงบเสงี่ยมเอาไว้ก่อนดีกว่า…
ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะมาถึงตำหนักเหนือ จางลี่ซือรู้สึกสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดช่วงเวลาถึงแต่งต่างกันเพรยงนี้ นางใช้เท้าเดินจากทางลับออกมาใช้เวลาไม่นาน แต่ทางกลับขึ้นม้าใช้เวลานานกว่า หรือเป็นเพราะขึ้นเนินเขากัน?
ร่างบอบบางถูกอุ้มลงจากตัวม้าแล้วพาเดินเข้าไปในเรือนไท่หยางทันทีโดยไม่ยอมปล่อยนางลง
“หยางอ๋องเพคะ หม่อมฉันเดินเองได้เพคะ”
“หากข้าปล่อยเจ้าเดี๋ยวเจ้าก็หนีไปอีก”ประโยคนี้ทำเอานางอับอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี หารู้ไม่ว่าประโยคนี้สามารถตีไปในความหมายอื่นที่นางไม่มันนึกคิดได้