บทที่ 13 ขึ้นมาบนตัวข้า

2345 Words
พรึ่บ! จางลี่ซือสะดุ้งเฮือกผุดลุกขึ้นจากเตียงนอนพลางกวาดสายตาไปรอบห้อง ...ข้าเผลอหลับไปเหรอ? หลับไปนานแค่ไหนกัน?... “หิวแล้วเหรอ?” “อ๊ะ ยะ หยางอ๋อง ขอประทานอภัยเพคะ!”นางรีบลงจากเตียง ยกมือขึ้นประสานแล้วคำนับอย่างนอบน้อม แม้อันตงหยางจะบอกว่านางนอนรอแต่นางเล่นหลับไปเลยเช่นนี้เป็นการเสียมารยาท กลัวว่าบุรุษจะขุ่นเคืองนางยิ่งนัก ถึงบุรุษจะไม่ใช่คนใจแคบก็ตามกระนั้นนางก็กลัวอยู่ดี “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เดี๋ยวข้าให้คนนำสำรับมาให้” “เอ่อ ระ รอก่อนเพคะ คือว่าหม่อมฉัน…”เรียกรั้งบุรุษก่อนที่เจ้าตัวจะร้องเรียกคนข้างนอก เวลานี้อาจจะดีแล้วเพราะเรื่องที่นางจะขอต่ออันตงหยางนั้นค่อนข้างที่จะเป็นการขัดขวางการสืบทอดทายาท และเป็นเรื่องใหญ่ที่ถึงขั้นอาจทำให้ความสัมพันธ์คนรักขาดสะบั้น ทว่าสำหรับอันตงหยางและจางลี่ซือนั้นหาได้มีความรักเกี่ยวข้อง การที่ยับยั้งการมีทายาทได้นั้นถือเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่าย “มีอะไร?” “…คือว่าหม่อมฉัน...อยากจะขอโอสถเพคะ” “โอสถหรือ? เจ้าป่วยตรงไหน เดี๋ยวข้าให้เจียวลู่จัดเตรียมไว้ให้”นางส่ายหน้าแล้วยื่นมือออกไปจับชายเสื้อของบุรุษก่อนจะว่า... “หม่อมฉันอยากขอโอสถที่ช่วยชะลอการตั้งครรภ์เพคะ” “ข้าไม่ให้”อันตงหยาวขมวดคิ้มจนแทบจะพันกันเป็นปม ...บอกอยากได้ความเอ็นดูจากข้า แต่นางกล้าเอ่ยสิ่งนี้ออกมาได้อย่างไรกัน... “หยางอ๋องเพคะ ได้โปรดฟังเหตุผลจากหม่อมฉันก่อนเพคะ” “อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เอ่ยออกมานั้นคือการขัดขวางการมีทายาทสืบสกุล หากผู้อื่นรู้เข้าจะว่าเช่นไร?” การพยายามไม่มีบุตรในการสืบทอดสกุลไม่ว่าจะในตระกูลใดย่อมเป็นเรื่องร้ายแรงถึงขั้นสามารถฟ้องหย่าได้ทันที อีกทั้งยังไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อีกด้วย ไม่ต่างอะไรจากตายทั้งเป็น กระนั้นนางสามารถพูดออกมาได้อย่างไร? มองนางด้วยสายตาเย็นยะเยือก... “เพราะเหตุนั้นข้าจึงมาขอร้องหยางอ๋องเพคะ...ทั้งหยางอ๋องและหม่อมฉันต่างไม่มีความรู้สึกส่วนตัวแก่กันนี่เพคะ อีกอย่างหม่อมฉันยังอายุอานามเพียงเท่านี้ กลัวว่าจะเกิดผลกระทบต่อบุตรในครรภ์ได้เพคะ” ร่างกายนางผ่ายผอม แม้ตอนนี้จะมีน้ำมีนวลขึ้นมาหน่อยก็ตาม เพราะพูดถึงเหตุผลนี้บุรุษก็เป็นอันชะงักไป แม้ว่าช่วงอายุของนางสมควรมีบุตรได้แล้วในตอนนี้ แต่หากขุนนางให้ดีกว่านี้หน่อยอาจจะดีกว่าก็เป็นได้ หากนางมาขอก่อนหน้านี้เขาก็คงจัดหาให้ไปแล้ว แต่ในตอนนี้กลับไม่เห็นด้วย... “ข้าให้แค่หนึ่งปี” ...ภายในหนึ่งปีนี้ข้าจะขุนให้เจ้ามีน้ำมีนวลมากกว่านี้เพราะหากเจ้าตัวเล็กแค่นี้แล้วยังมีบุตรอยู่ในครรภ์ เกรงว่าจะเป็นอันตรายทั้งเจ้าและบุตร ถึงครานั้นหากเจ้าปฏิเสธข้าคงต้องข่มเหงเจ้าทั้งวันทั้งคืนจนกว่าเจ้าจะตั้งครรภ์... “ขอบพระทัยหยางอ๋อง แค่นั้นก็มากพอเพคะ”นางยิ้มแย้มด้วยความดีใจ ถึงอย่างไรนางคิดว่าคงไม่ได้ปรนิบัติรับใช้อันตงหยางเกินหนึ่งปี เป็นธรรมดาของบุรุษที่ต้องมีนางสนมอีกสักสามสี่คน ส่วนนางเป็นหวางเฟยชายาเอก นางจะไม่สู้รบปรบมือกับเหล่านางสนม ไม่ชิงดีชิงเด่น แค่รักษาความโปรดปรานของอันตงหยางเอาไว้ในระดับที่พอดีก็พอ หรืออีกเหตุผลหนึ่งก็คือความโปรดปรานของอันตงหยางอาจจะโรยราไปตามกาลเวลาดั่งกลีบบุฝา เมื่อนั้นจางลี่ซืออาจถูกขับไล่ออกไปกรณีใดกรณีหนึ่งก็เป็นได้ หนึ่งในนั้นอาจจะเป็นเพราะนางขัดขวางการมีทายาทสืบสกุลของสมาชิกในราชวงศ์ เหตุผลที่จางลี่ซือจำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนี้ก็คือนางไม่ต้องการให้บุตรเกิดมาโดยไร้ความรัก หรือเป็นบ่วงคล้องคอ เพราะหากมีบุตรย่อมต้องคิดถึงบุตรมากกว่าตนเองอยู่แล้ว “ในเมื่อข้าอนุญาตแล้ว เจ้ามีสิ่งใดตอบแทนข้ากัน?” สายตาเจ้าเล่ห์มองจางลี่ซือ ส่วนนางนั้นยิ้มกว้างอย่างไม่รู้สึกรู้สากับสายตานั้นก่อนจะหยิบถุงหอมที่ปักลวดลายเสือขาวออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นมันไปตรงหน้า อันตงหยางเผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ นางช่างไม่รับรู้ถึงความต้องการของบุรุษเพศเอาเสียเลย หากสวามีเอ่ยกับภริยาเช่นนี้แน่นอนว่าจะต้องขึ้นเตียงเพื่อสานสัมพันธ์ธ์อย่างแน่นแฟ้น ทว่า…แบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่พึงพอใจ ยื่นมือออกไปรับมันมาด้วยรอยยิ้ม กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากถุงหอมนี้จะทำให้เขาคิดถึงนางตลอดเวลาอย่างไม่ต้องสงสัย “หยางอ๋องเพคะ” “…?” จางลี่ซือยิ้มแล้วกวักมือเรียกบุรุษให้โน้มหน้าลงไปหา อันตงหยางทำตามด้วยความสงสัย เสี้ยววินาทีต่อมานั้นสตรีตัวน้อยก็โอบแขนโอบกอดรอบลำคอแกร่งก่อนจะกระซิบเสียงหวานอีกทั้งยังจุมพิตเบา ๆ ที่แก้มสากของบุรุษอีกด้วย …หากเจ้าทำเช่นนี้ข้าจะอดใจได้เช่นไร ซือเอ๋อร์… หากนางไม่ต้องการสานสัมพันธ์ธ์แน่นแฟ้นกับเขาในตอนนี้ การกระทำของนางก็ถือว่าผิดพลาดมหันต์ บุรุษไม่ปล่อยให้นางผละออกง่าย ๆ โอบเอวบางเข้าแนบกายแล้วใช้มืออีกข้างรั้งท้ายทอยก่อนจะโน้มหน้าลงไปบดจูบบนริมฝีปากอวบอันน่าหลงใหล ทั้งถ้อยคำเอาอกเอาใจ ออดอ้อน หรือขอสิ่งใด อีกทั้งยังจุมพิตแก้มของบุรุษได้อย่างน่าเอ็นดู เรียวลิ้นชอกชอนเข้าไปในโพรงปากหวานฉ่ำ ดูดลิ้นเล็กอย่างย่ามใจ จางลี่ซือจำต้องแหงนหน้าขึ้นรับจูบแสนดื้อดึงอย่างจำยอมเพราะร่างกายนางถูกบังคับเอาไว้หมดแล้ว ไม่มีทางที่จะขัดขืนได้เลย แม้นางจะจูบเก่งขึ้นแต่ก็ยังอ่อนอ้อยกว่าบุรุษอยู่ดีทำให้ระยะเวลาการจูบไม่ยาวนาน บุรุษถอนจูบออกเพื่อให้นางพักหายใจ ระหว่างนั้นก็โอบร่างนางตวัดขึ้นบนเตียงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าคมคายซุกไซร้ซอกคองามระหงแล้วฝากฝังรอยรักไว้เป็นทางยาว นี่เป็นวิธีการตีตราว่านางคือสตรีที่เขาครอบครองแต่เพียงผู้เดียว หากรอยลบเลือนหายเขาก็จะฝากฝังรอยใหม่ให้ทันที นั่นคือสิ่งที่อันตงหยางนึกคิดในตอนนี้ สตรีตัวน้อยหลับตาเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสตามสัญชาตญาณ อาภรณ์ถูกปลดเปลื้องจนเนื้อตัวเปล่าเปลือยพร้อมที่จะอิงแอบแนบชิดกันจนกว่าจะรุ่งสาง…แม้ว่าท้ายประโยคจะเป็นความคิดของอันตงหยางผู้เดียวก็ตาม เพราะจางลี่ซือนั้นอาจจะไม่สามารถอยู่ได้ถึงรุ่งสาง ในตอนที่กายแกร่งกำลังจะถูกสอดแทรกเข้าไปในช่องรักนุ่มนิ่มนั้นกลัยถูกอิสตรีห้ามเอาไว้ก่อน อันตงหยางขมวดคิ้วมองนางที่ยิ้มกว้าง จางลี่ซือเคลื่อนตัวเองออกมาใต้อาณัติของบุรุษแล้วเป็นฝ่ายขึ้นไปอยู่บนตัวของบุรุษเสียเอง …ข้าเป็นคนอ้อนขอก็ต้องปรนนิบัติเอาอกเอาใจเสียบ้าง… จางลี่ซือเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมอันตงหยางแล้วจัดการพรมจูบลงบนริมฝีปากหยักแผ่วเบา ไม่มีการรุกล้ำมากกว่านั้นราวกับแกล้งให้อีกฝ่ายต้องการนาง เลื่อนลงมาที่ลำคอแกร่ง จรดริมฝีปากลงผิวกายแล้วเบาก่อนจะใช้ลิ้นลากเลียเหมือนอย่างที่เขาเคยทำให้นาง ออกแรงดูเบา ๆ แล้วเลื่อนลงมาที่แผงอกแกร่ง มัดกล้ามกำยำทำให้นางรู้สึกใจเต้นก่อนจะใช้ลิ้นเลียที่ปลายยอดปทุมถัน ดูดเบา ๆ แต่ก็สร้างความกระสันให้แก่บุรุษซึ่งพยายามอดทนอดกลั้นไม่จับนางกระแทกเสียตอนนี้ หากนางอยากทำก็จะให้นางทำ…เท่าที่ตนยังสามารถอดทนได้ ฝ่ามือเนียนนุ่มลูบไล้ไปทั่วทั้งร่างกายได้สัดส่วนบุรุษ มัดกล้ามเป็นก้อนแข็งพาให้หัวใจกวงน้อยของนางสั่นไหว จนกระทั่งนางเคลื่นกายมาจนถึงแก่นกายบุรุษเพศที่เด่นหราอยู่ตรงหน้า แข็งตึงและไม่ยอมโอนอ่อนลงแม้แต่น้อย หากจะเปรียบเทียบก็คล้ายกับเด็กดื้อที่จำเป็นต้องปราบพบศ ซึ่งอาจารย์ปราบพยศของมันก็คือแม่นางจางลี่ซือซึ่งบัดนี้ยื่นมือออกไปโอบกำรอบแก่นกายเบา ๆ สร้างความกระสันให้กับบุรุษ นางเหลือบสายตาช้อนมองอันตงหยางเพื่อสังเกตท่าที ในตอนแรกนางไม่มั่นใจเพียงแค่ทำเหมือนอย่างที่บุรุษทำให้นางก็เท่านั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าของบุรุษอีกทั้งยังถ้อยคำเร่งเร้าทำให้นางรู้ได้ทันทีว่านางทำได้ดีแล้ว “เร็วหน่อยสิ” อ้าปากครอบครองแก่นกายอุ่นที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อหากได้รับการเล้าโลมมากเพียงพอ นางครอบครองที่ลึกแต่ก็ไม่สามารถครอบครองได้สุด เสียงครางกระเส่าบ่งบอกว่านางทำได้ดีแล้วยิ่งทำให้นางเร่งจังหวะตัวเองเร็วขึ้นอีกหน่อย แก่นกายแข็งตึงยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีกนางจึงออกแรงดูดร่วมด้วย “อ่า เจ้าช่าง…!” ในตอนนั้นเองนางก็ผละออกเพราะไม่สามารถปราบพยศมันได้ ดวงตากลมน้ำตาคลอจากการครอบครองแก่นกายลึกอยู่หลายนาที “ขึ้นมาบนตัวข้า” จางลี่ซือทำตามอย่างว่าง่าย นางขึ้นนั่งบนตักบุรุษโดยนั่งทับส่วนนั้นเอาไว้ ยกฝ่ามือขึ้นแตะบ่าแกร่งเพื่อพยุงตนเองก่อนจะอ้าขาเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ หย่อนกายลงครอบครองแก่นบุรุษเพศ “…!?” แต่เพราะตัวนางเองไม่ได้รับการเล้าโลมมากพอ แม้จะมีอารมณ์ร่วมแต่ภายในกายนางยังไม่พร้อมรบ ไม่รอให้นางชักช้าเพราะตอนนี้บุรุษแทบไม่หลงเหลือความอดทน จับร่างนางกดลงครอบครองแก่นกายของตนจนนางร้องเสียงหลงพร้อมทั้งสะดุ้งสุดตัว เผลอลงเล็บบนบ่าหนาจนเป็นรอยทั้งสิบนิ้ว “อื้ิอ!” สะโพกของนางถูกกดลึกแล้วถูกยกออก เป็นเช่นนั้นอยู่หลายครั้งจนช่องทางของนางเริ่มพร้อม ดวงตาเรียวคมเงยหน้าขึ้นมองจางลี่ซือที่แก้มแดงระเรื่อ ตอนนี้อกของนางเด่นหราอยู่ตรงปากของบุรุษ ซึ่งก็ดูเหมือนกับว่าเขาจะรู้ถึงสิ่งนั้น “ขย่มข้าสิ ซือเอ๋อร์” ประโยคนั้นของอันตงหยางทำเอานางใจเต้นระรัว ทั้งประโยคที่ท้าทายให้นางทำและการเรียกชื่อของนางที่น่าเอ็นดู ก้มหน้าลงไปมองที่จุดเชื่อมของกายทั้งสองก่อนจะเบนสายตาหนีอย่างนึกอาย เงยหน้าขึ้นก็ต้องสบตากับดวงตาเรียวคมซึ่งมองนางราวกับจะกลืนกินไปทั้งตัว “เร็วสิ ขย่มข้า ซือเอ๋อร์” ยกสะโพกขึ้นและกดลงอย่างเชื่องช้า ค่อย ๆ เร่งจังหวะเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ตามกำลังตน ความเสียวซ่านแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายจนจางลี่ซือกัดริมฝีปากระบายอารมณ์ อันตงหยางกอดรัดเอวบางไว้แนบแน่นอีกทั้งยังก้มหน้าซุกอยู่ที่ทรวงอกของสตรีพร้อมทั้งดูดกลืนยอดปทุมถันสีสวยเข้าปากอย่างย่ามใจ ขยับกายเข้าหาเป็นจังหวะนุ่มนวล แม้ไม่หนักหน่วงเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าน่าพึงพอใจสำหรับอันตงหยาง นางกดตาลงมองบุรุษที่กำลังดูดกลืนทรวงอกของตนไปเกือบครึ่งก็ได้แต่นึกอับอาย เวลาต่อมาดวงตาเรียวคมก็ช้อนขึ้นสบตากับนางทำเอาดวงหน้าหวานแดงซ่านยิ่งกว่าเดิม “อ่า…”อันตงหยางร้องครางอีกทั้งยังบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงเต็มฝ่ามือแล้วจับกระแทกลงมาให้รุนแรงและหนักหน่วง สตรีตัวน้อยได้แต่โอบกอดร่างบุรุษแนบแน่น ใบหน้าคมคายซุกเข้าทรวงอก สูดกลิ่นกายหอมของสตรียิ่งทำให้แก่นกายแข็งตึงแทบระเบิด ในที่สุดร่างบอบบางก็กระตุกสองสามที เจ้าของร่างร้องครางเสียงหวาน ทว่าอันตงหยางยังคงไม่เสร็จ เขาต้องการนางลึก ๆ มากกว่านี้ จับร่างนางยกขึ้นสูงแล้วกดลงลึกจนนางรู้สึกจุกขึ้นมา ท้ายที่สุดก็หลั่งสายธารสีขาวเข้าไปในตัวนางจนเอ่อล้น… จางลี่ซือหายใจหอบก่อนจะค่อย ๆ ผละออกอย่างเชื่องช้าเพราะร่างกายของนางตอนนี้ค่อนข้างอ่อนเพลียจากการสานสัมพันธ์ที่รอบนี้นางเป็นคนคุม ทว่าในขณะที่กำลังคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้วอันตงหยางก็โอบเอวบางและตวัดร่างนางนอนลงบนเตียง “อ๊ะ!?” เมื่อนางนอนราบอยู่บนเตียงโดยที่เรียวขายังคงเกี่ยวเอวบุรุษอยู่ อันตงหยางก็ขยับสะโพกถาโถมร่างกายใส่นางอย่างหนักหน่วง จางลี่ซือทำได้แค่ร้องครางเสียงหวานใต้ร่างของเขาจนกว่าบุรุษจะหมดความกำหนัด ไม่เคยเลยที่อันตงหยางจะจบด้วยการสานสัมพันธ์แนบแน่นแค่เพียงครั้งหรือสองครั้ง และวันนี้ก็จบลงรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ซึ่งมันจบลงตอนฟ้าสางพอดิบพอดี…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD