ช่วงนี้อันตงหยางและจางลี่ซือใช้ค่ำคืนร่วมกันบ่อยครั้งจนนางนึกเป็นกังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ในสักวันหนึ่งอาจตั้งครรภ์ขึ้นมาก็ได้ แม้จะเป็นการดีเพราะจะทำให้ตำแหน่งของนางมั่นคงขึ้น ทว่านางกลับคิดว่าตอนนี้อันตงหยางก็เปิดใจให้นางแล้ว ในอนาคตข้างหน้าหากรักษาความสม่ำเสมอในการเข้าหาอันตงหยางเช่นนี้ต่อไปได้ก็คงไม่เกิดเรื่องร้ายใด ๆ ถึงขั้นที่นางจนตรอก
อีกทั้งนางยังอยากให้บุตรเกิดมาจากความรัก หาใช่ความใคร่ ความผิดพลาด หรือเพราะความจำเป็นของพวกผู้ใหญ่ นางตั้งใจจะเลี้ยงบุตรด้วยความรักหาที่ใดเปรียบได้ยากยิ่ง
ทำให้วันนี้นางมาดักรออันตงหยางหลังจากเขาไปเชื่อมสัมพันธ์กับดินแดนใกล้เคียง ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบอาทิตย์ในการเดินทางไป อยู่ที่นั่น และเดินทางกลับมา
เมื่อบุรุษเดินมาสังเกตเห็นนางก็เปลี่ยนเส้นทางก้าวเดิน ส่วนจางลี่ซือกำลังคิดด้วยความวิตกกังวลว่าควรเริ่มพูดเช่นไร
“เหม่ออะไรของเจ้า”
“ว้าย!?”
ตกใจโผเข้ากอดเอวเจียวลู่ เมื่อรู้สึกตัวนางก็รีบผละออกอย่างรวดเร็ว และเมื่อกันหน้ามาอีกทางก็พบกับอันตงหยางมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม ทว่าวันนี้กลับรู้สึกเย็นยะเยือกกว่าเก่า
“ถวายพระพรหยางอ๋องเพคะ”
เมื่อนางพูดจบอันตงหยางไม่ได้พูดอะไรออกมา กลับหันหลังเดินกลับไปราวกับไม่ต้องการเสวนากับนางทำให้นางลังเลอยู่พักหนึ่งว่าควรเดินตามไปดีหรือไม่
…ดูเหมือนว่าหยางอ๋องจะอารมณ์ไม่ดี ข้าควรมาหาวันหลังดีหรือไม่?...
“มิตามไปหรือซือหวางเฟย หากชักช้าเกรงว่าหยางอ๋องจะเข้าเรือนไปเสียก่อนนะพะยะค่ะ”
เจียวลู่โน้มหน้าลงมากระซิบบอกนาง เมื่อเห็นว่านางยังคงยืนนิ่งมองดูอันตงหยางเดินจากไปเช่นนั้น หากเป็นเมื่อก่อนคงจะรีบวิ่งเข้าไปหาแล้ว
“ข้าว่าข้ามาหาทีหลังดีหรือเปล่า วันนี้ดูเหมือนว่าหยางอ๋องจะอารมณ์ไม่ดี”
“หากอารมณ์ไม่ดี ซือหวางเฟยก็ไปทำให้หยางอ๋องอารมณ์สิพะยะค่ะ”
“อย่างข้าจะไปทำเช่นไรให้หยางอ๋องอารมณ์ดี ทำให้อารมณ์เสียก็ว่าไปอย่าง”
“ท่านรู้ตัวก็ยังจะขยันมาเข้าเฝ้าหยางอ๋องอีกสินะพะยะค่ะ”เจียวลู่ผุดยิ้มหยอกล้อจางลี่ซือ เขาค่อนข้างเอ็นดูนางเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง เอ็นดูในความกระตือรือร้นและความไม่ยอมแพ้ของนางแม้จะถูกอันตงหยางกระทำแสนเย็นชาก็ตาม
ทว่าเพราะความกระตือรือร้นและความพยายามของนาง ทำให้น้ำแข็งเย็นยะเยือกนั้นเริ่มมีไออุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว
“ข้าก็ต้องมาประจบประแจงบ้างสิ! มิเช่นนั้นก็คงถูกส่งกลับ!”
“เหตุใดท่านจึงไม่อยากกลับนัก?”
แน่นอนว่าเป็นคำถามที่ละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของผู้เป็นนายแต่รู้ทั้งรู้เจียวลู่ก็ยังถามออกไป จางลี่ซือไม่ถือสาอะไรกับความไร้มารยาทนี้เพราะเจียวลู่เป็นเพียงผู้เดียวที่อยู่กับนางแทบจะตลอดเวลา อีกทั้งยังมีส่วนช่วยให้นางเข้าหาอันตงหยางพร้อมทั้งปรับตัวให้เข้ากับที่นี่โดยง่าย
“เรื่องของข้า!”
เรื่องถามได้หรือไม่ได้นั่นอีกเรื่อง ส่วนเรื่องจะบอกหรือไม่บอกนั่นก็อีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน
จางลี่ซือรู้อยู่หรอกว่าเจียวลู่หลอกถามนางเพื่อที่จะเอาไปรายงานอันตงหยาง อาจจะถูกสั่งมาหรือเพื่อเอาความดีความชอบอะไรก็ตามแต่ นางไม่คิดให้พวกเขารู้เรื่องของนาง
นอกจากจะไม่เป็นที่รักในตระกูลแล้ว ชีวิตของนางไม่ต่างอะไรไปจากสาวใช้ หากพวกเขาได้รับรู้ก็คงจะดูถูกนางเป็นแน่…
“ไปเถอะซือหวางเฟย หากท่านไปถวายงาน หยางอ๋องจะต้องอารมณ์ดีแน่พะย่ะค่ะ”
คำแนะนำของเจียวลู่ทำเอานางคว่ำปากก่อนจะว่าอย่างรู้ทัน
“เพราะหยางอ๋องจะลงอารมณ์ใส่ข้าน่ะสิ!”
“ช่วงนี้ซือหวางเฟยฉลาดขึ้นนะพะยะค่ะ”เอียงคอพลางขมวดคิ้วบอกนางด้วยรอยยิ้มกว้าง ยิ่งทำให้นางมีท่าทางฟึดฟัดราวกับเด็กน้อยที่ไม่สามารถคุมอารมณ์ของตนเองได้
“เจียวลู่!”
“พะยะค่ะ”
“หากข้าเป็นที่โปรดปรานหยางอ๋องเมื่อใด เมื่อนั้นข้าจะลงโทษเจ้า!”
“กระหม่อมจะก้มหน้ายอมรับด้วยความยินดีพะยะค่ะ”
รู้สึกขัดใจกับการต่อปากต่อคำของบุรุษตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่านั้น แล้วนางก็ไม่ได้รู้สึกโกรธจริงจังอีกด้วย
สุดท้ายแล้วนางก็ตัดสินใจเดินไปยังเรือนไท่หยาง ทว่ากลับถูกดาบพาดขวางกั้นเอาไว้
“ขอประทานอภัยพะยะค่ะซือหวางเฟย หากไม่ได้รับอนุญาตจากหยางอ๋องกระหม่อมไม่สามารถให้ผ่านไปได้พะย่ะค่ะ”
เมื่อทหารองครักษ์เอ่ยประโยคนั้นจบนางก็คอตกก็จะแหงนหน้าขึ้นมองด้านบน…ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกเหมือนกับอันตงหยางเปิดใจให้นางมาบ้างแล้วแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึก บางทีที่ผ่านมาก็คงแค่ทำตามหน้าที่หรือรับน้ำใจนางไม่ให้เสียหน้าก็เท่านั้น
หากอันตงหยางเปิดใจให้นางจริง ๆ ก็คงบอกทหารให้นางสามารถเข้าออกที่นี่ได้ตามใจ
ในขณะที่นางกำลังล่าถอยกลับด้วยความเศร้าใจนั้น เจียวจิ้นก็เรียกรั้งนางเอาไว้ก่อน
“เชิญเสด็จซือหวางเฟยพะยะค่ะ”นางมองหน้าผู้พูดก่อนจะเหลือบมองเจียวลู่ที่อยู่ด้านหลังเยื้องไปเล็กน้อย เจียวลู่ยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าส่งเสริมผู้เป็นนาย
จางลี่ซือตัดสินใจเดินตามเจียวจิ้นมาถึงหน้าห้องของอันตงหยาง นางค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างระมัดระวังเพราะท่าทีล่าสุดของบุรุษในห้องนั้นเย็นชาจนนางเสียวสันหลังวูบราวกับทำสิ่งใดผิดพลาดเอาไว้
“ถวายพระพรหยางอ๋องเพคะ…”
“มีอะไร”
“เอ่อ… หยางอ๋องกลับมาเหนื่อย ๆ ให้หม่อมฉันนวดให้ดีหรือไม่เพคะ?”อีกฝ่ายยังคงเงียบทำให้นางเริ่มใจเสีย หรือวันนี้นางควรถอยก่อนดี เพราะคนอารมณ์ไม่ดีหากเซ้าซี้มากจะเกิดความรำคาญใจเอาเสียเปล่า ๆ”ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันไม่รบกวนแล้วเพคะ”
จางลี่ซือประสานมือคำนับด้วยความนอบน้อมพร้อมบอกลา ทว่าเมื่อนางหันหลังกลับ อันตงหยางกลับเรียกนางเสียงเบา…
“นั่งก่อนสิ”
จากที่จะกลับทำให้นางต้องเดินเข้าไปนั่งบนเตียงอย่างเสียไม่ได้ อันตงหยางอ่านรายงานเกี่ยวกับสนธิสัญญาที่เพิ่งไปเชื่อมสัมพันธ์มากับรายงานความเรียบร้อยต่าง ๆ ของบ้านเมืองแล้วเอ่ยปากบอกให้นางนั่งรอ
แต่ผ่านมาร่วมชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีการพูดคุยเกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง จางลี่ซือถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างอึดอัด ระหว่างนั้นเองนางก็เกิดง่วงขึ้นมาจนตาแทบปิด และท้ายที่สุดก็สับปะหงกจะหน้าเกือบทิ่มลงพื้น หากไม่ได้อันตงหยางยื่นมือมาช่วยเอาไว้มีหวังได้ใช้ริมฝีปากสัมผัสพื้นเป็นแน่
“อ๊ะ!? ขอประทานอภัยเพคะหยางอ๋อง”เมื่อรู้สึกตัวนางก็รีบผละออกทันที
…น่าอายเสียจริง ซือเอ๋อร์!...
“หากง่วงก็นอนรอข้าก่อน เดี๋ยวรับสำรับมื้อเย็นพร้อมข้า”
“เอ่อ เพคะ”
อันตงหยางกลับไปนั่งบนเก้าอี้ส่วนตัวพร้อมทั้งหยิบตำราเอกสารงานบ้านเมืองขึ้นมาอ่านอีกครั้ง นางเหลือบมองอย่างอึดอัดใจ เหตุใดบุรุษจึงเรียกนางเข้ามาแต่แทบไม่พูดไม่จนน่าอึดอัด คิดแล้วก็ได้แต่แอบถอนหายใจเบา ๆ กับความไม่เข้าใจในตัวบุรุษก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงเพราะนางรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย
เหลือบสายตาจากเอกสารมองร่างบางที่เปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนอยู่บนเตียงเรียบร้อยก่อนจะดึงสายตากลับมาจดจ่อกับเอกสารตามเดิม
ใช้เวลาไม่นานนักอันตงหยางก็จัดเก็บเอกสารแล้วเรียกเจียวจิ้นให้นำสำรับเข้ามา เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็ปลุกสตรีตัวน้อยซึ่งนอนหลับตาพริ้ม
…ข้าควรเรียกนางเช่นไรดี? ลี่ซือ? ซือหวางเฟย หรือ…ซือเอ๋อร์?...
“ซือเอ๋อร์…”แม้น้ำเสียงจะแผ่วเบาแต่ก็ได้ยินชัดเจนว่าอันตงหยางเรียกนางเช่นไร สตรีกึ่งหลับกึ่งตื่นลืมตาขึ้นมายิ้มกว้างเมื่อเห็นอันตงหยาง
“ท่านโกรธหม่อมฉันหรือเพคะ”สตรีตัวน้อยคิดว่าอยู่ในห้วงแห่งความฝันเหมือนคราก่อนที่นางได้ดึงบุรุษมาจุมพิตหวังออดอ้อน จึงถามออกไปตามใจคิดก่อนจะยื่นสองแขนออกไปหมายโอบกอด ซึ่งบุรุษก็ทำตามอย่างว่าง่ายด้วยความพ่ายแพ้ต่อรอยยิ้มหวาน ๆ ของนาง
“โกรธ”
“เหตุใดจึงโกรธเพคะ?”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้ความผิดของตนเองกันเล่า”
“หม่อมฉันระมัดระวังมิให้หยางอ๋องโกรธ หากเผลอทำผิดพลาดก็มิอาจรู้ได้เลยเพคะ เพราะหม่อมฉันมิรู้ว่าหยางอ๋องทรงโปรดปรานสิ่งใดหรือเกลียดชังสิ่งใดเพคะ หม่อมฉันกลัวเหลือเกินว่าท่านจะเกลียดชัง…”
“เหตุใดเจ้าจึงกลัวว่าข้าจะเกลียดชังเจ้า?”
“เพราะหม่อมฉันหลีกหนีความเกลียดชังจากครอบครัว…จึงอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ซึ่งไร้ความเกลียดชังเพคะ”
ประโยคนี้ทำเอาทุกคนเงียบกริบ แม้แต่อันตงหยางเองยังจ้องดวงหน้างดงามนิ่ง ภายใต้รอยยิ้มแสนเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์นั้นซ่อนเร้นสิ่งใดไว้กัน?
“สิ่งที่ข้าเกลียดชัง…คือการที่สตรีที่ข้าครอบครองโอบกอดบุรุษอื่น”
“แล้วสิ่งที่โปรดปรานล่ะเพคะ?”
ดวงตาของนางหรี่ลงเรื่อย ๆ ราวกับนางต้องการจะพักผ่อนแล้ว อันตงหยางระบายรอยยิ้มอ่อนโยนที่แม้แต่เจ้าตัวเองยังไม่รู้ตัว
“ตอนนี้ข้ากำลังเริ่มโปรดปรานเจ้า”
“อย่าไล่หม่อมฉันเลยนะเพคะ...”
...ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ซือเอ๋อร์...
แล้วดวงตาของนางก็ปิดสนิทลงด้วยความเหนื่อยล้า...
“เจียวจิ้น สั่งให้คนของเราที่อยู่เมืองหลวงสืบเรื่องของตระกูลจางมาอย่างละเอียด โดนเฉพราะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซือหวางเฟย ระวังอย่าให้ใครจับได้เป็นอันขาด เพิ่มรางวัลได้ตามใจชอบถือเป็นค่าเสี่ยงชีวิต”
“พะยะค่ะ หยางอ๋อง”
หากเป็นเมื่อก่อนก็คงปล่อยผ่านไป แต่ในตอนนี้ความรู้สึกบางอย่างได้ก่อเกิดขึ้นภายในใจของบุรุษจนเขาไม่อาจนิ่งนอนใจได้เฉย ๆ กลัวว่าจะทำอะไรที่มีผลกระทบกระเทือนทางใจของสตรีในครอบครองของเขา
แม้ก่อนหน้านี้จะเคยเย็นชา ทว่าแต่นี้ต่อไปจะลองอ่อนโยนกับนางมากขึ้น นั่นเป็นเพราะ...
...เหตุใดในสายตาข้าตอนนี้นางช่างดูน่าเอ็นดูเสียจริง...